ดินแดนแห่งทะเลหมอก สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย ดินแดนแห่งทะเลหมอก สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย ดินแดนแห่งทะเลหมอก สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย ดินแดนแห่งทะเลหมอก สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย
ดินแดนแห่งทะเลหมอก สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย ดินแดนแห่งทะเลหมอก สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย ดินแดนแห่งทะเลหมอก สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย ดินแดนแห่งทะเลหมอก สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย
ดินแดนแห่งทะเลหมอก สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย ดินแดนแห่งทะเลหมอก สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย ดินแดนแห่งทะเลหมอก สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย ดินแดนแห่งทะเลหมอก สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย
ดินแดนแห่งทะเลหมอก สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย ดินแดนแห่งทะเลหมอก สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย ดินแดนแห่งทะเลหมอก สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย ดินแดนแห่งทะเลหมอก สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย
 
 

 

ดินแดนแห่งทะเลหมอก สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย


เคยมีคนบอกว่าถ้าจะเที่ยวภูเขาให้เที่ยวในช่วง “ปลายฝนต้นหนาว” เพราะจะให้อีกบรรยากาศหนึ่งที่คุณประทับใจได้ไม่รู้ลืม ขบวนการท้าพิสูจน์ จึงเริ่มต้นขึ้น สรุปกันว่าไปเพชรบูรณ์ดีกว่า เพราะยังไม่เคยไป

กำหนดการถูกกำหนดขึ้นอย่างกระทันหัน แบบกำหนดวันนี้พรุ่งนี้เดินทาง ไปกันแบบว่าตั้งจุดหมายแรกไว้ที่เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ ก่อนเดินทางเราเร่งเช็คข้อมูลจากหลายๆ หน่วยงาน ซึ่งต่าง confirm เหมือนกันว่าน้ำไม่ท่วม (เราไปกันช่วงต้นเดือนตุลาคม)

 

 
ดินแดนแห่งทะเลหมอก สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย : photo by hana  
 
 

 

“เขาค้อ” เป็นชื่อที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์เมืองไทยเลยทีเดียวว่าเป็นพื้นที่สีแดง ที่คุกรุ่นไปด้วยควันไฟของการสู้รบจากผู้ที่มีแนวคิดทางการเมืองที่แตกต่างกัน (ช่วง พ.ศ. 2511-2525 ) เรียกได้ว่าเป็นดินแดนต้องห้ามของคนทั่วไปเลยทีเดียว เมื่อเวลาผ่าน ความขัดแย้งยุติ ความสวยงามโดดเด่น “เขาค้อ” หรือฉายา “ดินแดนแห่งทะเลหมอก สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย” จึงเป็นที่รู้จักแทน

 

 
 
  ดินแดนแห่งทะเลหมอก สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย : photo by hana
 

“เขาค้อ” เป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาเพชรบูรณ์นั้น ประกอบไปด้วยทิวเขาน้อย-ใหญ่มากมาย ยอดสูงที่สุด สูง 1,174 เมตรจากระดับน้ำทะเล ต้นค้อพืชตระกูลปาล์มลักษณะคล้ายต้นตาลขึ้นกระจายอยู่ทั่วไปเป็นที่มาของชื่อ “เขาค้อ”

ทีแรกกะกันว่าจะยิงยาวไปเข้าค้อเลย แล้วแวะกินขนมจีนกันที่อำเภอเมืองก่อนขึ้นเขาค้อ แต่ความหิวไม่เข้าใครออกใคร ไก่ย่างวิเชียรบุรีจึงเป็นด่านแรกที่เราแวะ แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ ไก่ย่างเค้าย่างได้กรอบและหอมทีเดียว ก่อนขึ้นรถเรายังแอบตุนเสบียง ข้าวหลามกระบอกเล็กๆ ที่มีขายอยู่หน้าร้านติดมือมาด้วย มารู้ทีหลังว่าเมืองนี้ ข้าวหลามเป็นอาหารขึ้นชื่อ (เชยจริงๆ) เมื่อหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน(เฉพาะเรานะ คนอื่นไม่เกี่ยว 555)

 

 
 
 
 

 

เราเข้าเขตเขาค้อกันตอนประมาณบ่าย 2 โมง
เลทนิดหน่อยจากที่เราวางแผนไว้ รถตู้(ที่เรานั่งไป) ทำหน้าที่ไต่เขาไปเรื่อยๆ อากาศเริ่มเย็นลงทั้งๆ ที่เพิ่งบ่าย 2 กว่าๆ เอง แล้วก็ถึงจุดชมวิวได้บรรยากาศมาก มีร้านขายของสด ที่ชาวบ้านนำมาขายให้กับคนที่ผ่านไปมาและนักท่องเที่ยว ท่ามกลางร้านเหล่านั้นร้านกาแฟตั้งอยู่ตรงกลางพอดี ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือเปล่าเพราะจากตรงนั้นสามารถมองเห็นวิวทั้งซ้ายและขวาได้ดีมาก อ๋อ!!! ลืมบอกกาแฟอร่อยมากด้วยค่ะ มะลิว่าอร่อยกว่ากาแฟสดที่มีขายกันทั่วไปซะอีก (หรือเป็นเพราะบรรยากาศไม่แน่ใจ)

ก่อนถึงที่พักผ่านเนินมหัศจรรย์ จะมีป้ายบอกระยะให้รถจอด ดับเครื่อง แล้วปลดเกียร์ว่างจากนั่นรถจะไหลขึ้นเขาเอง มหัศจรรย์จริงๆ แฮ่ม..แอบมาเปิดหนังสือท่องเที่ยว คู่มือในการเดินทาง เค้าบอกว่าจากสายตาเราจะมองเห็นเราว่าไหลขึ้นเขา แต่ในความเป็นจริงตามหลักวิทยาศาสตร์ว่ามันเป็นภาพลวงตา เพราะมีการวัดความสูงของระดับเนิน ที่เราเหมือนไหลขึ้นนั้นอยู่ต่ำกว่าระดับถนนทั่วไป

 
ดินแดนแห่งทะเลหมอก สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย : photo by hana  
 
 

 

เขาค้อทะเลหมอก คือ ที่พักที่เราจองไว้ เป็นที่พักที่ไม่เน้นเปิดบ้านพัก(บ้านพักมีแค่ 3 หลังเท่านั้น) แต่เน้นกางเต้นนอนมากกว่า เก็บของกันเรียบร้อยแล้ว ล้างหน้าล้างตานิดหน่อย ใกล้เย็นแล้วดังนั้นที่เที่ยวจึงเลือกใกล้ๆ เป็นหลัก ที่แรกคือ ไร่บีเอ็น เป็นสวนเกษตรแบบผสมผสาน น่าเสียดายที่ไปเย็นแล้วดังนั้น จึงไม่ได้เข้าไร่ เดินเล่นแถวๆ ด้านหน้าเป็นแปลงดอกไม้เท่านั้น

                                                                                                            

 
 
  ดินแดนแห่งทะเลหมอก สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย : photo by hana ดินแดนแห่งทะเลหมอก สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย : photo by hana  
 
 

 

จากนั้นแวะนมัสการพระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก เนื่องจากเขาค้อเป็นสมรภูมิรบ มีคนเสียชีวิตบริเวณนี้เป็นจำนวนมาก ดังนั้นปีกาญจนาภิเษก ประชาชนชาวเขาค้อจึงร่วมใจกันสร้างเจดีย์นี้ขึ้นเมื่อ วันที่ 23 สิงหาคม 2542 เพื่อเป็นสิริมงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมสารีริกธาตุ ที่อัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกามาบรรจุในองค์พระเจดีย์ ใกล้ 6 โมงแล้ว กลับไปดูพระอาทิตย์ตกที่บ้านพักกันดีกว่า

เสียงอะไรดัง ซ่า ซ่า ชะโงกออกจากบ้านมาดู ฝนตก แหม.. ให้ได้อย่างนี้สิ กลางวันเราเที่ยวสนุก กลางคืนฝนตก นอนหลับ เย็นสบายอีกต่างหาก

 

 
 
 
 

เช้าวันที่สอง มะลิตื่นแต่ 6 โมงเช้าเพื่อมาดูพระอาทิตย์ขึ้น หันซ้าย หันขวา ก็ไม่เจอ แต่แสงรำไรเริ่มมีแล้ว อีกอย่างเห็นสายหมอกรำไร อยู่ไกลๆ รีบอาบน้ำ แต่งตัว ออกมากินอาหารเช้ากัน ยังคุยกันอยู่เลยว่าหมอกน้อยเนอะ ไม่ทันไรหมอกเต็มลานกินข้าวทีเดียว เลยเข้าใจแล้วว่า หมอกมาสาย มาให้ทันเห็นกันทั่วต่างหากล่ะ

สมคำ ทะเลหมอก เพราะหมอกเต็มไปหมดสีขาวขุ่นนิดนิด ต่างจากหมอกหน้าหนาวที่จะสีขาวนวล แต่ทะเลหมอกหน้าฝนนี้ดูจะชุ่มฉ่ำ เหมือนมีละอองน้ำไหลผ่านตัว ให้ความรู้สึกสดชื่น บวกกับที่เมื่อคืนฝนตกทำให้เห็น พื้นดินยังคงชุ่มฉ่ำ ต้นไม้ใบหญ้าบังคงพร่างพราวไปด้วยหยดหยาดน้ำที่เกาะตามใบและลำต้น ส่วนที่ผืนดินก็จะอบอวลไปด้วยกลิ่นไอดินเป็นเสน่ห์แบบ “ปลายฝนต้นหนาว” ให้จดจำไม่รู้ลืม

ภูทับเบิกเป็นแหล่งท่องเที่ยวแหล่งใหม่ที่เพิ่งมีคนรู้จักในช่วง 4-5 ปีหลังนี้เอง เป็นเส้นทางเดียวกับภูหินร่องกล้า แต่แยกออกไปอีก 40 กม. ระหว่างทางสวนกับรถกระบะที่บรรทุกกะหล่ำมาเต็มคันรถทีเดียว ปัจจุบันภูทับเบิกเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง ซึ่งได้อพยพมาอาศัยอยู่ที่บ้านทับเบิก

 
ดินแดนแห่งทะเลหมอก สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย : photo by hana  
 
 

หมู่ที่ 14 และหมู่ที่ 16 ต.วังตาล อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ ขึ้นเขาไปได้สักพัก ก็เห็นไร่กระหล่ำอยู่ปะปลายขึ้นไปเรื่อยๆ

ฮุ้ฮู.. ทุ่งกระหล่ำ ทุ่งกระหล่ำตลอดแนวเลย ละลานตาไปหมด ลงไปยืนไม่นานหมอกคลุมเต็มเนิน มองไปเห็นแต่หมอก พอหมอกจางจึงเห็นชาวไร่กำลังเก็บกระหล่ำกันอยู่เต็มไปหมด จากที่คุยกับชาวไร่ ได้ความว่า กะหล่ำเขาจะปลูกกันเฉพาะบนเขาเท่านั้นอย่างที่เห็น ส่วนหมอกที่นี่จะมาเป็นระลอก มีมาเรื่อยๆ ลงหนามองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากหมอก สักพักก็จางหาย อีกสักพักก็ตั้งเค้ามาใหม่ เป็นอย่างนี้ทั้งวัน จึงทำให้ภูทับเบิกเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และดึงดูดใจนักท่องเที่ยวที่นิยมสัมผัสวิถีชีวิต วัฒนธรรมชุมชนชาวเขา และแหล่งธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่กำลังมีกระแสความนิยมอยู่ทั่วไป ภายใต้คำกล่าวที่ว่า “นอนทับเบิก สัมผัสความหนาว ดูดาวบนดิน”

 

 
 
  ดินแดนแห่งทะเลหมอก สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย : photo by hana  
 
 

 

ก่อนทางขึ้นจุดชมวิวที่สูงที่สุดของภูทับเบิกมีป้าย  กล่าวต้อนรับ และบอกว่า นอนภูทับเบิก 1 คืน อายุยืน 10 ปี เห็นจะจริง เพราะอากาศบนภูดีมาก มาก ขอย้ำ สนุกกันจนลืมเวลา บ่ายกว่าแล้ว ออกมาที่ภูหินร่องกล้า เพื่อแวะทานอาหารที่ห้องอาหารของอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ไก่ทอดอร่อยมาก..ขอบอก (เป็น vote number 1 อาหารอร่อยสุด ประจำทริปทีเดียว)

 
ดินแดนแห่งทะเลหมอก สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย : photo by hana  
 
 

 

อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ตั้งอยู่บนรอยต่อของสามจังหวัด คือ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก และอำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ มีเนื้อที่ประมาณ 191,875 ไร่ ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2527 เป็นพื้นที่ที่มีธรรมชาติแปลกตาและสวยงาม ทั้งยังเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ เป็นยุทธภูมิสำคัญในอดีต ที่เกิดจากความขัดแย้งของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.)

ภูหินร่องกล้ามีลักษณะภูมิอากาศคล้ายกับภูเขาสูงของจังหวัดเลยเช่น ภูกระดึงและภูเรือ เนื่องจากมีความสูงในระดับไล่เลี่ยกัน อากาศจะหนาวเย็นเกือบตลอดปี โดยเฉพาะในฤดูหนาว อุณหภูมิจะต่ำประมาณ 4 องศาเซลเซียส แม้ในฤดูร้อนอากาศก็ยังเย็นสบาย อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีประมาณ 18-25 องศาเซลเซียส
แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในเขตอุทยานฯ ทางด้านประวัติศาสตร์ ได้แก่ พิพิธภัณฑ์การสู้รบ โรงเรียนการเมืองการทหาร กังหันน้ำ สำนักอำนาจรัฐ โรงพยาบาลรัฐ ลานอเนกประสงค์ สุสาน ทปท. ที่หลบภัยทางอากาศ หมู่บ้านมวลชน

 

 
 
  ดินแดนแห่งทะเลหมอก สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย : photo by hana
 

ทางด้านธรรมชาติ ได้แก่ ลานหินแตก ลานหินปุ่ม ผาชูธง น้ำตกร่มเกล้า-ภราดร น้ำตกศรีพัชรินทร์ น้ำตกหมันแดง น้ำตกผาลาด น้ำตกตาดฟ้า ธารพายุ…

ดูเวลาแล้ว เราจึงเลือกแวะแค่ลานหินปุ่ม
ลานหินปุ่มอยู่ห่างจากลานจอดรถ ประมาณว่าน่าจะเกือบๆ 4 กิโลเมตรได้ เพราะจากทางเข้า เดินไปได้ระยะหนึ่งถึงมีป้ายบอกระยะทางว่าจากนี้ 3.5 ก.ม. จะถึงลานหินปุ่ม อยู่ริมหน้าผา ลักษณะเป็นลานหินซึ่งมีหินผุดขึ้นมาเป็นปุ่ม เป็นปม ขนาดไล่เลี่ยกัน คาดว่าเกิดจากการสึกกร่อนตามธรรมชาติของหิน ลองนึกภาพเอาเองนะคะว่า มะลิใช้นั่งแทนเก้าอี้ได้นี่ต้องปุ่มใหญ่แค่ไหน ตรงนี้ในอดีตบริเวณนี้ใช้เป็นที่พักฟื้นคนไข้ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) เหตุเพราะใกล้โรงพยาบาล และอยู่บนหน้าผา มีลมพัดเย็นสบาย

ระหว่างทาง(เดิน) ไปลานหินปุ่มจะผ่าน แนวตะเข็บหรือลานประหัตประหาร ของคนไทยที่มีแนวคิดทางการเมืองต่างกัน ปัจจุบันคงเหลือฐานปืน และปืนยาว

 
 
 
 

 

ที่เคยใช้ไว้เป็นอนุสรณ์ให้คนรุ่นหลังได้ระลึกถึง จากนั้นยังผ่าน ผาชูธง  เป็นหน้าผาสูงชัน สามารถเห็นทิวทัศน์ได้กว้างไกล จะสวยงามมากในยามพระอาทิตย์ตกดิน บริเวณนี้เคยเป็นสถานที่ซึ่ง ผกค. ขึ้นไปชูธงแดงรูปค้อนเคียวทุกครั้งที่รบชนะฝ่ายรัฐบาล

เดินกันพอได้เหงื่อไม่มากนัก เพราะอากาศเย็นสบาย แต่กว่ากลับออกมาที่ลานจอดรถได้ ก็เหนื่อยเอาการเหมือนกัน (ก็เล่นเดินเกือบ 4 กิโลเมตร แบบขึ้นเขานี่คะ ) และแล้วก็..มีเสียงร่ำร้องจากลูกคณะให้กลับที่พักเถอะ คาดว่าคืนนี้คงหลับสบาย เพราะได้ออกกำลังกาย(เดิน) กันมาทั้งวันแล้วนี่ และฝนตกอีกแล้วให้อากาศเย็นสบายๆ เหมือนนอนห้องแอร์ อุณหภูมิประมาณ 20 องศาได้ แหม..เรียกว่าฝนเป็นใจเลยนะนี่

 
ดินแดนแห่งทะเลหมอก สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย : photo by hana  
 
 

 

ว้า..วันนี้ต้องกลับแล้ว เร็วเชียว(ก็ ยังอยากเที่ยวต่อนี่) วันนี้เราลงไปที่อ่างเก็บน้ำรัตนัย หลังจากที่มองๆ กันมาสองวัน  เพราะจากที่พักเราจะเห็นอ่างเก็บน้ำอยู่ตรงกลางแอ่งกระทะ จากนั้น ตั้งใจกันว่าจะไป อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง (หนองแม่นา) แต่พอเข้าไปถึงที่ทำการอุทยาน เจ้าหน้าที่แจ้งว่าเข้าชมได้รอบๆ ที่ทำการอุทยานเท่านั้นนะครับ ไปลึกกว่านี้ไม่ได้ เพราะปีนี้ฝนเยอะ และนาน ทำให้ทางไม่ดี เมื่อวานมีออฟโรดเข้ามายังไปติดหล่มระหว่างทาง ได้ยินดังนั้นเราก็ขบวนถอยแล้วค่ะ แล้วตั้งใจไว้ว่าคราวหน้าก็ได้

 

 
 
  ดินแดนแห่งทะเลหมอก สวิสเซอร์แลนด์เมืองไทย : photo by hana  
 
 

 

ปิดทริปคราวนี้ด้วยขนมจีนคุณตา ก็ไหนๆ แล้วขอแวะหน่อย ถ้าถามว่าขนมจีนคุณตาอร่อยมากไหม มะลิว่าไม่มาก แต่เป็นการกินขนมจีนครั้งที่สนุกที่สุดก็ว่าได้เพราะมีทั้ง น้ำยาป่า น้ำยากะทิ น้ำพริก และแกงเขียวหวานไก่ เป็นถ้วยๆ ให้เลือกตักราดเองเป็นคำๆ ขนมจีนก็จะจับพอดีคำ (บีบกันสดๆ ในครัวด้านใน) วางเคียงคู่กับผักสดอีกตะกร้าใหญ่..

เที่ยวก็สนุก อาหารก็อร่อย กินก็อิ่ม ตลอดทริป ว้า..น้ำหนักขึ้นอีกแล้ว

 

มะลิ

 

 
 

 

 

  ความคิดเห็นที่  
   
  โดย  

 
Home | About Bareo | News & Events | Art of Design | Decor Guide | The Gallery | Living Young | Talk to Editor | Links
 
บริษัท บาริโอ จำกัด
50 ซอยบรมราชชนนี 4 ถนนบรมราชชนนี เขตบางพลัด กรุงเทพฯ 10700 Tel. 66 2881 8536-7 Fax. 66 2881 8538
house servic, decoration design home architect architecture interior design designer homeplan residential furniture family decorat building build planning cost news information structure arch drawing apartment idea bangkok develop foreman เฟอร์นิเจอร์ การซ่อมแซมบ้าน วัสดุแต่งบ้าน ห้องนอน ห้องรับแขก ห้องอาหาร ออกแบบ ตกแต่งภายใน ออกแบบตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์ บ้านสวย มัณฑนากร สถาปัตย์ ตกแต่ง บารีโอ บริการ ปรึกษา รับสั่งผลิตเฟอร์นิเจอร์ตามแบบ รับเหมาตกแต่ภายใน วรวุฒิ ธรรมกุลางกูร มยุรี ธรรมกุลางกูร