หลังจากเยี่ยมชมอ่าวฮาลอง ลองลิ้มชิมรสอาหารทะเลในเวียดนามแล้ว คุณจีไกด์ของเราก็นำพวกเราเข้าไปที่พักซึ่งเป็นโรงแรมหรูหราและได้ห้องที่มองเห็นอ่าวฮาลองอย่างชัดเจน พอค่ำลง พวกเราก็พากันออกไปทานอาหารที่ภัตตาคารย่านชานเมืองฮาลองซึ่งต้องขับรถออกไปพอสมควร โดยในระหว่างที่กำลังกลับรถเพื่อที่จะเข้าไปจอดรถในภัตตาคาร ผมก็สังเกตุเห็นปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งที่ใช้แสงจากหลอดไส้ ทำให้เกิดแสงสีเหลืองและเงาของคนที่กำลังทำกิจกรรมต่างๆ ในปั๊ม เกิดเป็นภาพที่น่าประทับใจมาก แต่ดูเหมือนคุณจีจะไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไร เลยไม่ยอมให้ผมถ่ายภาพ แถมบอกว่า

 

 
 
   

        “ปั๊มพวกนี้เก่ามากแล้ว ไม่สวยหรอก เอาไว้ผมจะหาปั๊มใหม่ๆ มาจอดให้ถ่ายภาพดีกว่า”
โธ่...ที่ผมอยากได้ภาพนั้น เพราะในบ้านเราคงไม่มีปั๊มรุ่นเก่าๆ แบบนั้นให้เห็นอีกแล้ว ถ้าเป็นปั๊มใหม่ๆ ผมกลับไปที่กรุงเทพ สวยกว่าทั้งสีสัน ทั้งการให้บริการแบบครบเครื่อง บวกร้านเซเว่นให้ซื้อของ จะไม่ดีกว่าหรือครับ...เฮ้อ...แล้วก็ได้แต่เสียดายที่ไม่ได้ภาพนั้นมา

        ยังดีที่คืนนั้น มีงานฉลองเปิดสะพานใหม่อย่างที่ผมได้เกริ่นเอาไว้ในตอนแรก โดยทางเวียดนามอ้างว่าเป็นสะพานขึงที่ยาวที่สุดในอาเซียน ทั้งๆ ที่ผมว่าในกรุงเทพของเรายาวกว่าแน่ๆ แต่ผมก็ต้องทำตัวเป็นแขกที่ดี เลยต้องหลิ่วตาตามไปก่อน เดี๋ยวจะโดนยำเอา เพราะดูเหมือนคนเวียดนามจะ “เห่อ” กับสะพานนี้มาก

   
   
 
 

 

        และในการขึ้นสะพานที่ยาวที่สุดของเวียดนามนั้น ก็ไม่ใช่ง่ายๆ นะครับ เพราะดูเหมือนคนทั้งเมือง รวมทั้งอีกสองสามเมืองใกล้เคียงจะแห่กันมาเที่ยวสะพานกันซะหมด เรียกว่า ใครไม่มาเป็นเชยแหลก ทำให้บนสะพานยาวๆ นี้เล็กลงอย่างถนัดตา เพราะมีรถทุกชนิดอยู่เต็มสะพานทั้งสองฝั่ง ถ้าอยากรู้ว่าในเวียดนามมีรถอะไรบ้าง คุณสามารถสำรวจบนสะพานนั้นได้เลยครับ

        นอกจากนั้น บนสะพานก็มีเสียงแตรดังสนั่นหวั่นไหว ลองนึกดูนะครับ ว่าเวลาปกติ คนขับรถในเวียดนามก็จะใช้แตรกันอย่างฟุ่มเฟือยอยู่แล้ว แต่คราวนี้การจราจรแทบจะกลายเป็นจราจล เพราะผู้คนหลั่งไหลกันขึ้นไปบนสะพานเพื่อดูพลุฉลองงานเปิด (ลูกเล็กกว่าของเราเยอะ และมีน้อยกว่าด้วย) บ้างก็บีบแตรขอทาง บ้างก็บีบแตรด่า ส่วนอีกหลายเสียงก็บีบเพื่อฉลองสะพานอีกแนะ!!!

        และนี่ยังไม่นับในเรื่องของการขับรถผิดกฎจราจรที่สามารถทำได้ทุกกระบวนท่า เพราะตำรวจจราจรก็รีบโบกมือลา แค่เห็นปริมาณรถอันมหาศาลที่วนไปเวียนมา ไอ้รายเก่าก็ไม่ยอมลง กลับรถกันซ้ำไปมาอยู่ได้ ซ้ำร้ายกว่านั้น บางรายก็จอดซะหน้าตาเฉยเลย ไม่สนหรอกว่ารถข้างหลังจะเป็นยังไง ส่วนรายใหม่ที่มาทีหลังก็จะขอเบียดขึ้นไปยลสะพานซะให้ได้ นี่ถ้าผมเป็นตำรวจ ก็คงต้องรีบลาพักแล้วไปเปลี่ยนชุดเพื่อไปชมสะพานมั่งแหละ... ของแบบนี้ ใช่ว่าจะมีบ่อยๆ ซะเมื่อไหร่ ส่วนพวกเราหลังจากที่วนครบรอบไปกลับแล้ว ก็พยายามจะฝ่าลงไป ซึ่งก็ดันไม่มีทางลงซะอีก เพราะพวกเล่นวิ่งย้อนทางจนทางลงกลายเป็นทางขึ้นไปหมดแล้ว!!!

 

 

 
 
   
 
 


“Mr.G and the bridge”

        ในที่สุด คนขับรถของเราและคุณจีก็ได้ใช้วิชาโบก เบียดและบังรถคันอื่น เพื่อให้พวกเราได้ลงสะพานที่อัดแน่นไปด้วยฝูงชนชาวเวียดนาม จนผมเริ่มคิดว่าไม่น่าจะแปลกอะไร หากตอนเช้าจะมีข่าวสะพานหักกลางลงมาบ้างเพราะคนเยอะเหลือเกิน แต่สุดท้าย พวกเราลงมากันจนได้ แล้วคนขับรถก็พาพวกเราวนรอบเมืองจนได้ที่เหมาะๆ อยู่ที่หนึ่งซึ่งผมได้ถ่ายภาพคุณจีกับสะพานไว้เป็นที่ระลึกด้วย (น่าเสียดายที่ผมทำ E-mail ของคุณจีหาย เลยไม่สามารถส่งไปได้) ลองดูกันนะครับ ว่าสะพานของเวียดนามยิ่งใหญ่แค่ไหน...

 

 

 
 
   
 
 


“Waiting”

        ภาพนี้ ผมบังเอิญได้มาในขณะที่ยืนถ่ายภาพสะพานใหม่ของเวียดนามอยู่ และสังเกตุเห็นหนูน้อยคนนี้กำลังเล่นกับพี่ชายอยู่ สักครู่พี่ชายก็วิ่งออกไปจากบริเวณนั้น ปล่อยให้เธอมองตาม ผมเลยจับภาพและอารมณ์ในช่วงนั้นโดยให้เธอยืนโดดเดี่ยวขัดแย้งกับขอบภาพที่เต็มไปด้วยผู้คน นอกจากนี้ แสงและเงาที่ได้มาในภาพยังช่วยให้ภาพดูสมบูรณ์มากขึ้นอีกด้วย (ชอบจัง)

 

 

 
 
   
   



     

 

“At the Gas Station”

        ภาพนี้เป็นภาพที่ผมขอทางคุณจีเป็นพิเศษให้จอดรถในตอนเช้าวันต่อมา เพื่อที่จะได้ลงไปบันทึก
ภาพกิจกรรมภายในปั๊มน้ำมัน โดยปั๊มน้ำมันของเวียดนามนี้ จะเป็นปั๊มขนาดเล็กเป็นอาคารที่เจาะช่อง
เปิดด้านหน้า เปิด-ปิดด้วย ประตูเหล็กยืด และมีเด็กปั๊มที่แต่งตัวในชุดช่างฟิตคอยให้บริการน้ำมันแก
่ลูกค้าซึ่งโดยมากมักจะเป็นรถมอเตอร์ไซค์ หากลองสังเกตุโคมที่อยู่ด้านบนจะเป็นโคมหลอดอินแคน
เดสเซนต์ หรือหลอดไส้ ซึ่งจะให้สีออกเหลืองนวลๆ คงไม่ต้องบอกนะครับว่าหากได้บันทึกภาพ
ตอนกลางคืนแล้ว แสงจะสวยแค่ไหน

 

 

     

 

 

 

“In the Coal Town”

        ขากลับจากอ่าวฮาลอง พวกเราได้
ผ่านเมืองถ่านหิน (ซึ่งผมหลับในตอนขามา)
โดยเมืองนี้จะมีทรัพยากรธรรมชาติสำคัญ
คือถ่านหิน และจะมีฝุ่นของถ่านหินที่ขุดขึ้น
มาได้ ลอยมาปกคลุมเมืองอยู่ตลอดเวลา
เลยทำให้คนในเมืองต้องมีผ้าปิดหน้าไว้
อยู่เสมอ

        เมืองนี้เป็นอีกเมืองหนึ่งที่มีสิ่งน่าสนใจ
สำหรับการถ่ายภาพอยู่มาก แต่ดูเหมือนคุณจี
จะไม่ค่อยเต็มใจให้พวกเราบันทึกภาพของ
เมืองนี้เท่าไรนัก

   
   

 

 

“คนเลี้ยงวัว” (The Cowpuncher)

        ภาพนี้ ผมได้มาขณะที่นั่งรถผ่าน และเห็นคนเลี้ยงวัวผู้นี้กำลังพาวัวมากินหญ้าอยู่ข้างถนน นอกเมืองถ่านหิน ทันทีที่ผมเห็น ก็ยกกล้องขึ้นกดชัตเตอร์โดยสัญชาตญาณ และชายคนนี้ก็รอจนผมยกกล้องลงแล้วโบกมือให้ ซึ่งผมก็ได้โบกมือตอบ บางครั้งมิตรภาพก็ได้มาโดยไม่ต้องเอ่ยปากนะครับ

 

 

 
   
   

       

        พวกเราได้กลับมาถึงเมืองฮานอยก็ปาเข้าไปบ่ายสองโมงครึ่ง ซึ่งระยะทางจริงๆ ก็ราวๆ ร้อยกว่ากิโลเมตร แต่เนื่องจากในประเทศเวียดนามมีกฎบังคับให้รถวิ่งได้เร็วไม่เกินห้าสิบหรือหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง บวกกับที่พวกเราแวะเที่ยวซะเยอะ เลยทำให้มาถึงร้านอาหารสายไปหน่อย แต่ต้องขอบอกว่าร้านอาหารที่พวกเราไปทานในครั้งนี้เป็นร้านที่อร่อยมากจริงๆ เป็นร้านชื่อ Zen ขายอาหารเวียดนามแบบบุฟเฟต์ ที่สุดยอดในรสชาด หากท่านใดมีโอกาสแวะไปเวียดนาม ลองไปหาที่ร้านนี้นะครับ อร่อยจนยกนิ้วให้หมดสิบนิ้วเลย

 

 

   
   
   


“ไหว้พระ”

        หลังจากอาหารมื้ออร่อย พวกเราก็เลยไปไหว้พระกันที่ Van Mieu หรือ Temple of Literature ซึ่งคุณจีเล่าว่าเป็นสถานที่สอบของบัณฑิตที่จะเข้ารับราชการ แบบเดียวกับการสอบจอหงวนของจีน ที่เป็นแบบนี้เพราะเวียดนามเคยเป็นเมืองขึ้นของจีนเป็นระยะเวลานานพอสมควร จนอิทธิพลและวัฒนธรรมของจีนฝังรากลงไปลึกมากทีเดียว

        ใน Van Mieu นั้น จะแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนแรกจะเป็นที่พักผ่อนของผู้ที่จะเข้ามาสอบ ซึ่งจัดเป็นสวนขนาดใหญ่ จัดผังแบบสมมาตรทั้งซ้ายขวา ดูร่มรื่น ก่อนที่จะลอดใต้ซุ้มประตูเข้าไปยังส่วนที่สองที่เป็นศาลาที่เก็บศิลาหรือแผ่นหินที่จารึกชื่อของบัณฑิตที่สอบได้ ซึ่งมีอยู่นับพันชื่อซึ่งน่าจะกินเวลาเป็นนับร้อยปีที่เวียดนามอยู่ภายใต้อิทธิพลของจีน

        ตรงด้านในของส่วนที่สอง จะมีวัดเล็กๆ ที่ชาวเวียดนามนิยมมากราบไหว้บูชา เพราะเชื่อว่าจะทำให้มีสติปัญญาดี และที่นี้เองที่ผมได้เก็บภาพของลูกสาวขณะกำลังไหว้พระไว้ด้วยครับ

        และในส่วนที่สาม ที่พวกเราต้องเดินอ้อมไป จะเป็นลานโล่งกว้าง ปูด้วยแผ่นหิน นัยว่าจะเป็นที่ให้นั่งสอบกลางแจ้ง (ที่ฮานอย อากาศดีมาก ไม่ค่อยร้อนเหมือนบ้านเรา) และมีอาคารพระราชวังตั้งขวางอยู่ คงเป็นสถานที่ให้กับกษัตริย์ของเวียดนามมาประทับ ขณะที่มีการสอบ โดยด้านหลังอาคารก็ยังมีสวนสวยอีก แต่ไม่ค่อยมีคนเดินเข้าไปเท่าไร พวกเราโผล่เข้าไปเก็บภาพนิดนึง แล้วก็กลับออกมา

 

 

   
       
   

“ถนนสามสิบหกสาย” (36 Routes)

        ตกดึก คุณจีก็ได้ว่าจ้างรถสามล้อถีบ (ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร ลืมถาม!) ให้พาพวกเราไปตระเวณราตรีในย่านถนนสามสิบหกสายที่เป็นย่านการค้าเก่าของเมือง โดยที่มาของชื่อของย่านนี้มาจากจำนวนของถนนทั้ง 36 เส้นที่ตัดกันไปมา และในแต่ละเส้นก็จะมีช่างในสาขาอาชีพต่างๆ ประจำอยู่ เช่น ช่างตีเหล็ก ช่างไม้ ช่างทอง เป็นต้น เรียกว่าอาชีพไหนก็ไปอยู่ตรงนั้น ทำให้ง่ายต่อชาวเมืองที่จะไปติดต่อหาซื้อสินค้าหรือบริการ เปรียบเสมือนกับเป็นห้างสรรพสินค้ากลางแจ้งที่จะมีร้านค้าแต่ละประเภทแยกกันอยู่ในแต่ละส่วน

        พวกเราก็ได้อาศัยสามล้อถีบที่เป็นสัญญลักษณ์ของเวียดนาม คือเอาผู้โดยสารไว้ข้างหน้า (ถ้ามีอะไรก็โดนก่อน) ลัดเลาะไปตามถนนเส้นต่างๆ ในย่านนั้น และถ้าชอบใจตรงไหน ก็บอกให้สารถีหยุดรถ แล้วก็ลงไปเก็บภาพกลับมา

 


   
       
   


“Supper”

        อีกมุมหนึ่งในย่านถนนสามสิบหกสาย พวกเราหันไปเห็นร้านขายเฝอและเนื้อย่าง มีมอเตอร์ไซค์จอดเรียงกันเป็นตับ แถมด้วยแสงไฟสีเหลือง อย่างนี้ก็คงไม่พลาดล่ะครับ กับบรรยากาศสุดคลาสสิคของร้านอาหารค่ำของชาวฮานอย

 

 

   
 
 

“Smoke Generator"

         หลังจากที่พวกเราลงไปเก็บภาพกันพอสมควรแล้ว ขณะที่จะกลับขึ้นสามล้อ ก็มีพี่คนหนึ่งเข้ามาเรียก และขอให้พวกเราถ่ายภาพขณะที่เขากำลังพ่นควันจากบ้องไม้ไผ่ ซึ่งเข้าใจว่าน่าจะเป็นคล้ายๆ กับบ้องยาสูบมากกว่าบ้องกัญชา เพราะควันคล้ายๆ กับบุหรี่มาก และออกมาเยอะจริงๆ ผมก็เลยฉลองศรัทธาซะหน่อย เก็บเอาภาพมาฝากเป็นที่ระลึกครับ...

 

 
 
 

 

จบจากการตระเวณถนนสามสิบหกสายแล้ว พวกเราก็กลับมายังจุดนัดพบเพื่อเตรียมขึ้นรถกลับไปยังที่พัก โดยมีคุณจีรออยู่ ซึ่งก็ได้จัดแจงจ่ายค่าจ้างค่าแรงถีบสามล้อกันไป แต่ดูเหมือนสารถีของเราอยากจะได้ทิปเพิ่ม แต่คุณจีก็ยังใจแข็งอีกเช่นเคย บอกปัดกันท่าเดียว ไม่ยอมให้พวกเราให้ทิปด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เป็นเงินเรานะเนี่ย โดยที่คุณจีให้เหตุผลว่าตกลงกันไว้ล่วงหน้าแล้ว ว่าไม่มีทิปเพิ่ม พวกเราก็ไม่ค่อยอยากจะขัดใจไกด์สักเท่าไร เพราะยังต้องคุยกันอีกสองวัน พวกเราเลยเดินจากมาโดยไม่ต้องเสียตังค์เพิ่ม...
(โปรดติดตามภาคจบในตอนหน้า...)

--Isyss--

 

 
 

 

 

 
Home | About Bareo | News & Events | Art of Design | Decor Guide | The Gallery | Living Young | Talk to Editor | Links
 
บริษัท บาริโอ จำกัด
50 ซอยบรมราชชนนี 4 ถนนบรมราชชนนี เขตบางพลัด กรุงเทพฯ 10700 Tel. 66 2881 8536-7 Fax. 66 2881 8538
house servic, decoration design home architect architecture interior design designer homeplan residential furniture family decorat building build planning cost news information structure arch drawing apartment idea bangkok develop foreman เฟอร์นิเจอร์ การซ่อมแซมบ้าน วัสดุแต่งบ้าน ห้องนอน ห้องรับแขก ห้องอาหาร ออกแบบ ตกแต่งภายใน ออกแบบตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์ บ้านสวย มัณฑนากร สถาปัตย์ ตกแต่ง บารีโอ บริการ ปรึกษา รับสั่งผลิตเฟอร์นิเจอร์ตามแบบ รับเหมาตกแต่ภายใน วรวุฒิ ธรรมกุลางกูร มยุรี ธรรมกุลางกูร