|
คุณเคยเป็นแบบผมไหมครับ..บ่อยครั้งที่เผชิญปัญหาแก้ไม่ตกหรือเบื่อหน่ายกับเรื่องส่วนตัวบางอย่าง ผมนึกอยากเสกให้ตัวเองไปที่ไหนก็ได้ในโลกนี้ โลกที่ไม่มีใครรู้จักเรา และเราไม่รู้จักใคร โลกที่เราไม่ต้องมีตัวตนเพื่อพิสูจน์ตามหาคุณค่าอะไร แต่ผมก็ไม่เคยไปถึงที่แห่งนั้น เพราะถึงแม้ต่อให้ผมไปไกลแค่ไหนก็จะมีคนอย่างน้อยหนึ่งคนที่รู้จักเราเสมอ เขาตามเราไปทุกๆที่ ใช่ครับเราหนีตัวเราเองไม่พ้นหรอกครับ แล้วก็หนีปัญหาของเราไม่พ้นเช่นกัน แล้วผมก็ต้องกลับมาโลกใบเดิม มาทำงานหามรุ่งหามค่ำแก้ปัญหานี้เพื่อที่จะไปเจอปัญหาใหม่ให้ตามแก้ไขวนเวียนซ้ำซากไปเรื่อยๆ วันดีคืนดีท้อแท้เบื่อหน่ายโดนนายด่า ก็ถามตัวเองว่าเรามาทำอะไรในโลกใบนี้ตามลมตามแล้งไปวันๆ แต่ถ้าหากสมมติว่าอยู่ๆเช้าวันหนึ่งลืมตาตื่นขึ้นมา แล้วความทรงจำสูญหายไปหมด ไม่รู้ว่าเราเป็นใคร ลืมแม้กระทั่งชื่อตัวเอง ผู้คนรอบกายล้วนเป็นคนแปลกหน้า ถามว่าระหว่างแบบนี้กับแบบน่าเบื่อหน่ายเราจะเลือกแบบไหน แหม..ผมก็ต้องเลือกอยู่แบบอดๆอยากๆแบบเดิมของผมสิครับ ขอตายอย่างสงบดีกว่า...
|
|
|
|
|
ไม่มีอะไรหรอกครับพอดีผมดู The Bourne Series แล้วเกิดฟุ้งซ่านขึ้นมา ใครที่บอกว่าเป็นแฟนของ Matt Damon แล้วไม่ได้ดูงานไตรภาคชุดนี้ ก็เหมือนไปเขมรแล้วไม่ได้ไปเที่ยวนครวัด ประมาณว่ามาไม่ถึงเขมร อารมณ์แบบนั้นเลยครับ พี่แมตต์ เดม่อนแกไม่ได้แจ้งเกิดจากงานชุดนี้ก็จริง ยังจำได้ไหมครับ ที่เด็กดีกรีฮาร์วาร์ดอย่างพี่เขาควงพี่เบน แอฟเฟคซี้ปึกคว้าทั้งออสการ์และลูกโลกทองคำ สาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยมจาก Good Will Hunting หนังในดวงใจของผมนะนั่น ตั้งแต่นั้นมา แกก็ขายเป็นแพคเกจ ช่วงนั้นมีงานของทั้งคู่ทยอยตามมาไม่ขาดสาย แต่ให้ตายไม่มีเรื่องไหนเข้าตาและขึ้นหิ้งเป็นสุดยอดเท่า Good Will Hunting อีกเลย นี่พูดกันอย่างไม่ได้อิจฉานะนี่ผมว่าช่วงหลัง พี่ทั้งสองขายเครดิตเก่าๆจากงานนี้ด้วยซ้ำ ยิ่งมีช่วงหนึ่งที่พี่เบนแกไปคบป้าเจโลควงฉายไปฉายมาหลุดวงโคจรไปเลย พี่แมตต์นี่ยังมีงานเด่นๆเข้าหูเข้าตาบ้าง
|
|
|
แล้ว The Bourne ก็ผ่านเข้ามา ครับภาคแรกเรารู้จัก เจสัน บอร์นจาก The Bourne Identity สร้างจากบทประพันธ์ของ Robert Ludlum โดยครองอันดับ 1 อยู่นานถึง 8 สัปดาห์เชียวครับ เมื่อภาพยนตร์ออกฉายในปี 2002 น่าเสียดายที่เจ้าของบทประพันธ์ไม่มีโอกาสได้ชมงานที่เขามีส่วนอำนวยการสร้างด้วยเพราะเสียชีวิตไปก่อนในเดือนมีนาคม 2001 The Bourne Identity เล่าเรื่องราวของ ชายนิรนามที่ได้รับการช่วยชีวิตจากเรือประมงกลางมหาสมุทร ในตัวไม่มีหลักฐานบอกว่าเขาเป็นใคร มีเพียงกระสุน 2 นัดที่ฝังในตัวเขาเท่านั้นที่บอกหมายเลขบัญชีธนาคารในสวิส เมื่อฟื้นขึ้นมาเขาจำอะไรเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้เลย แถมยังพบว่าตัวเองมีทักษะการต่อสู้เหนือคนธรรมดา นั่นเป็นจุดเริ่มต้นการค้นหาอดีตของตัวเอง ข้อมูลจากกล่องนิรภัยธนาคารในสวิสทำให้รู้ว่าตัวเองมีชื่อว่า เจสัน บอร์น พร้อมเงินสดจำนวนมากและหนังสือเดินทางหลายสิบเล่ม แล้วอยู่ๆก็ถูกสั่งเก็บโดยองค์กรลับที่ตัวเองเคยสังกัด ถูกตามล่า ทำให้ต้องหนีตลอดเรื่อง |
|
|
|
|
ข้ามประเทศเป็นว่าเล่น The Bourne Identity เป็นผลงานกำกับของ Doug Liman ที่ประสบความสำเร็จกับการจับพี่แมตต์มาแปลงโฉมเป็นสุดยอดจารชน พี่บรูซ วิลลิสที่ว่าตายยาก มาเจอพี่เจสัน บอร์นที่ทั้งตกตึก รถชน ระเบิดภูเขาเผากระท่อม ยังไงก็ไม่เจ็บไม่ตาย เจสัน บอร์นไม่ได้มีแค่ฉากบู๊ระห่ำมาขายเท่านั้น มีพระเอกเป็นสุดยอดจารชนทั้งที เราจึงได้ดูเทคนิคงานจารชนที่สนุกเร้าใจไปพร้อมๆกับหน้าเครียดๆของพี่แมตต์ (ทำไมสายลับต้องทำหน้าเครียดด้วย เคยสงสัยเหมือนผมไหมครับ) ถึงเครียดก็มีหัวใจนะครับ สาวแปลกหน้าที่จับผลัดจับผลูมาเป็นคู่กายคู่ใจของบอร์นคือ มาเรีย ครู้ทซ์ รับบทโดย Franka Potente พี่ดัก ไลแมน ผู้กำกับเขาไม่ปล่อยให้เจสัน หนีเปล่าเปลี่ยวหรอกครับเขาให้หนีบน้องฟรังก้าหนีไปด้วย จูบไปด้วย เอ้าแล้วก็มีภาคสองตามมา (ก็ภาคแรกมันโกยรายได้ถล่มบอกซ์ออฟฟิศนี่นา) The Bourne Supremacy ออกฉายในปี 2004 ภาคนี้เป็นผลงานของผู้กำกับมือรางวัล Paul Greengrass ที่เคยฝากผลงาน Bloody Sunday กวาดรางวัลจากงานเทศกาลหนังทั่วโลกรวมทั้งจากเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ด้วย ผลงานพี่พอล กรีนกราสส์ที่เราพึ่งผ่านตาไปหมาดๆก็ United 93 งานหนังที่ถ่ายทอดกึ่งสารคดีและเกือบเข้าตาออสการ์เรื่องราวเกี่ยวกับระเบิดเครื่องบิน 11 กันยาระทึกขวัญทั่วโลกไงครับ พี่พอลแกเจ๋งนะครับทำหนังกล่องก็เข้าตา ทำหนังโกย(เงิน)ก็เข้าเป๋า ทั้ง The Bourne Supremacy และภาคล่าสุด(ที่คิดว่าสุดท้าย) The Bourne Ultimatum แกก็เหมากำกับทั้งสองภาคเลยครับ แม้จะเว้นช่วงห่างกันถึง 3 ปีแต่เนื้อหามันต่อเนื่องกันทั้งมุขและบท ผมดูภาค 3 แล้วต้องย้อนหาภาค 2 มาดูอีกรอบก็มันเลือนๆลางๆไงครับแล้วก็เลยต้องย้อนไปถึงภาคแรกด้วยเลย กลายเป็นรอบนี้ผมดู ภาค 3 แล้ว2 และ1 ตามลำดับ
|
|
|
|
|
|
" ผู้กำกับมือรางวัล Paul Greengrass ติวเข้ม Matt Damon " |
|
|
ใน The Bourne Supremacy ยังคงทีมนักแสดงชุดเดิมครบชุดครับ ภาคนี้เจสัน บอร์นถูกอดีตตามมาหลอกหลอน การไม่รู้ว่าตัวเองเคยเป็นใครและทำอะไรมาบ้างมันเหมือนมีปิศาจในใจ ยังปะติดปะต่อความทรงจำไม่ถึงไหน จู่ๆพี่พอลผู้กำกับก็ให้น้องฟรังก้าถูกเก็บซะตั้งแต่ต้นเรื่องเลย เมื่อสาวคนรักต้องตายไปต่อหน้าต่อตา เจสันเหมือนถูกบีบให้เข้ามุม แล้วเขาก็ใช้ทักษะชั้นเลิศของตัวเอง ดับเครื่องชนวิ่งเข้าหาอดีตของตัวโดยที่ไม่ยอมเป็นฝ่ายถูกล่าอีกต่อไป จากนั้นก็สนุกสิครับ เราคนดูก็ได้เห็นพลานุภาพของงานจารกรรมที่ทำได้ทุกวิถีทางโดยไม่คำนึงถึงถูกผิด ให้บรรลุซึ่งเป้าหมายเท่านั้นเป็นพอ ซึ่งดูแล้วหนาวยะเยือกชอบกล ของโปรดสำหรับคนชอบหนังแอกชั่น พี่พอลใส่มาหมดแม๊กซ์เลยครับ ผมชอบฉากการต่อสู้ในครัวครับ น้อยเรื่องนะครับที่หนังแนวจารกรรมทริลเลอร์ จะใส่แอกชั่นกันในครัว ที่มีตู้เย็น โต๊ะเตรียมอาหาร เครื่องปิ้งขนมปังเป็นของประกอบฉาก แล้วได้ใช้ด้วย มันตูมตามได้ใจดีจัง
|
|
|
|
|
|
|
นางเอกคนเดียวของทุกภาค |
|
|
ภาคที่สองนี้เปิดโปงความฟอนเฟะขององค์กรลับของชาติ เทรดสโตนที่เป็นหน่วยสังหารในสังกัดซีไอเอ เป็นปฏิบัติการลับสุดยอดมีโครงข่ายงานครอบคลุมทั่วโลก มีเจสัน บอร์นเป็นนักฆ่าหมายเลขหนึ่งขององค์กร ซึ่งที่จริงองค์กรนี้ถูกสั่งปิดไปตั้งแต่ภาคแรกแล้ว เพียงแต่เจสัน บอร์นที่ควรตายเพื่อปิดฉากความลับสุดยอดขององค์กรไว้ไม่ยอมตายมันจึงเป็นเรื่องขึ้นมา นอกจากไม่ยอมตายตามสั่งแล้วบอร์นยังเกิดสำนึกกับสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไปในอดีต เขาพยายามคลี่คลายหาผู้อยู่เบื้องหลังพร้อมๆกับการชำระอดีตอันเจ็บปวดของตัวเอง
แล้วก็มาถึงภาคที่ 3 The Bourne Ultimatum ในที่สุดภาคนี้เจสัน บอร์นก็ได้รู้ตัวตนจริงๆ ชื่อจริงๆของตัวเองสักที บอร์นสืบสาวจนรู้ที่มาของตัวเอง ภาคที่สามที่ผมคิดว่าเป็นภาคจบแล้วนะ(ก็ Ultimate มันแปลว่า สุดท้าย แล้วนี่นา แต่ก็ไม่แน่อยู่ดี ยิ่งเปิดตัวสัปดาห์แรกกวาดไปเกือบ 80 ล้านเหรียญ เราอาจได้ตามลุ้นเจสัน บอร์นกันต่ออีกก็ได้) พี่พอลผู้กำกับเขาปล่อยของเต็มที่เลยครับ สนุกระทึกตั้งแต่ต้นจนจบ แถมมีหักมุมตีลังกาสามรอบอีกต่างหาก ไม่ปล่อยให้คนดูหายใจหายคอกันเลย จากปฎิบัติการเทรดสโตน (ในภาค 1 และ 2) ที่เป็นโครงการล่าสังหารลับสุดยอดของซีไอเอ เปลี่ยนมาเป็นภารกิจ แบลกไบอาร์ มีนักหนังสือพิมพ์ได้ข้อมูลมาจากแหล่งข่าว จึงนำมาเขียนเปิดโปง คราวนี้ก็เป็นเรื่องสิครับ ด้วยพลังของสื่อ ทำเอาเก้าอี้ของผู้อำนวยการซีไอเอสั่นสะเทือน วงแตกเมื่อทั้งบอร์นและระดับบิ๊กขององค์กรต่างวิ่งเข้าหานักข่าวและพยายามหาตัวแหล่งข่าวที่จงใจปล่อยข่าวนี้ออกมา
|
|
|
|
|
|
เตรียมฉากสุดแสนวุ่ยวายที่สถานีรถไฟ |
|
|
และด้วยความเป็นมือหนึ่งของอดีตองค์กรนี้ จากการฝึกฝน ความเฉียบคมในการอ่านและควบคุมเกม (รวมทั้งเป็นพระเอกด้วย) ทำให้บอร์นก้าวล้ำก่อน 1 ก้าวเสมอ หนังมันแน่ตรงนี้แหละครับ ผมปรบมือให้ Tony Gilroy ที่เหมาเขียนบทภาพยนตร์ทั้ง 3 ภาค เราจะได้เห็นการเฉือนคม ชิงไหวพริบกันตลอดเวลา เหมือนที่ตัวละครตัวหนึ่งพูดไว้ว่า สิ่งที่บอร์นทำ ไม่เคยผิดพลาด เขาไม่มั่ว เขามีเป้าหมายเสมอ แต่ผมต้องขอเตือนกันก่อนนะครับว่า นี่เป็นภาพยนตร์แอกชั่นตีหัวเข้าบ้าน คือยังไงพระเอกก็ไม่ตาย แล้วก็อย่างที่บอกว่า พระเอกจะก้าวล้ำกว่าคู่แข่งหนึ่งก้าวเสมอ ด้วยความที่หนังกำหนดให้เจสัน บอร์น มีสายตาที่แหลมคม อ่านเกมขาด คาดเดาสถานการณ์ได้แม่นยำมากมาก แม่นเกินไปจนทำให้ตัวหนังขาด..ผมขอเรียกว่า อารมณ์ขยี้ ละกัน คือมันไม่บดอารมณ์เราอย่างที่คิด พระเอกมันเก่งจนชืด (คุณอาจจะเถียงว่า นี่มันไม่ใช่หนัง ดรามา แบบเกาหลีนะ) คือดูแล้ว ผ่านแล้วผ่านเลยมันไม่ติดไง ใช่ต้องใช้คำว่า มันไม่จารึก ถามว่า หนังสนุกไหม ผมตอบว่า สนุกครับ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมคงไม่สามารถจดจำอะไรเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ได้ มันไม่สามารถประทับจนเป็นหนังในดวงใจผมได้ แบบประเภทที่บอกว่า ชอบหนังเรื่องนี้ เพราะมันเป็นแบบนี้ ชอบฉากนี้ พูดถึงแล้วเราสามารถนึกบางฉากบางบทสนทนาบอกมาได้เป็นฉากๆๆ แม้ว่าเราจะดูหนังเรื่องนั้นผ่านมากี่ปีแล้วก็ตาม
|
|
|
|
|
The Bourne ทั้งสามภาคไม่สามารถให้ความรู้สึกแบบนั้นกับผมได้ แต่ถ้าตัดเรื่องความสมจริงทิ้งไป แล้วคุณเป็นแฟนหนังแอกชั่นพันธุ์แท้ ไปดูฉากกรีดกรายไล่ล่ากันบนท้องถนนด้วยพาหนะสารพัดชนิดก็คุ้มแล้วครับ ได้ชมเทคนิคการซอยและตัดภาพฉึบฉับ ตระการตากับฉากท่องมหานครทั่วโลก ทั้ง แทนเจียร์ ตูริน ลอนดอน ปารีส นิวยอร์ค มาดริด มากันครบ เพียงพริบตาคุณได้ท่องทั่วโลก รวมถึงยอดฝีมือที่มาต่อกรกับเจสัน นักฆ่าแต่ละนายไม่ใช่ลูกไก่นะครับระดับฝีมือและมีสมองติดมาด้วย(ไม่โง่) อ้อ อีกอย่างที่พลาดไม่ได้คือไปชมแก้มป่องๆของน้อง Julia Stiles ที่รับบทเป็น นิกกิ้ อดีตเจ้าหน้าที่ของเทรดสโตนที่กลับใจมาช่วยพระเอก น้องจูเลียเล่นมา 3 ภาคแล้ว ภาคนี้จะเด่นที่สุด (เธอเป็นนางเอกเจ้าของรางวัล Teen Choice Award จากภาพยนตร์ The Prince & Me ครับ) ถึงแม้จะชืดไปนิดสำหรับผม สิ่งสำคัญที่ได้ใจผมจากภาคนี้ คือ บทสรุปสุดท้ายกับชะตากรรมของตัวเองและองค์กรที่เคยสังกัด ที่เจสันขอเป็นผู้กำหนดเอง |
|
|
ในหนังบอกว่า สาเหตุที่เจสัน กลายมาเป็นนักฆ่า เพราะเขาสมัครใจจะเข้าร่วมโครงการเอง เขาเป็นผู้เลือกองค์กรไม่ใช่องค์กรเป็นผู้เลือกเขา แล้วท้ายที่สุดเมื่อเขาต้องเลือกระหว่างการฆ่า เพื่อ ฆ่าและฆ่า ต่อๆไป เขาตัดสินใจที่จะยุติบทบาทที่สร้างรอยลึกในใจด้วยการไว้ชีวิตศัตรูที่ตามฆ่าเขา และตั้งคำถามกับเพื่อนร่วมอาชีพว่า สิ่งที่ทำลงไปนั้นเพื่ออะไร นายมองดูตัวเองสิ นั่นคือคำพูดสุดท้ายที่เจสัน ถามเพื่อนนักฆ่า ก่อนทิ้งตัวลงจมหายไปกับสายน้ำเหมือนฉากเปิดเรื่องของภาคแรก...
The Bourne Ultimatum สำหรับผมเอาไป สองดาวครึ่งหนาๆเกือบสามครับ เป็นหนังที่สนุก ลุ้น น่าที่จะเสียเวลาไปชม แต่โปรดกระพริบตาบ้างนะครับ เพราะการจ้องภาพยนตร์ที่ตัดภาพฉับไวรวดเร็วตลอดเวลาอย่างเรื่องนี้อาจทำลายสุขภาพสายตาของคุณ โปรดถนอมสายตาไว้ดูงานอื่นของ แมตต์ เดม่อนบ้าง ถ้าคุณไม่อยากพลาดอะไรไป..ขอบคุณครับ
|
|
|
-- บูรพา -- |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|