ขณะที่สามาคมเครื่องดื่มสหรัฐ ( เอบีเอ ) ออกมาวิจารณ์ผลวิจัยหลายชิ้น ที่เชื่อมโยงการบริโภคน้ำอัดลมกับความหนาแน่นของกระดูก โดยนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งและกลุ่มบริษัทในอุตสาหกรรมเครื่องดื่มที่ตีพิมพ์ในจดหมายเหตุ เวชกรรมวัยรุ่นและกุมารเวชศาสตร์ออกมาโต้แย้งว่าผลการศึกษาเมื่อปี 2543 ไม่ได้บ่งชี้ว่าเด็กสาวเหล่านั้นดื่มน้ำอัดลมก่อนที่กรูกของพวกเธอจะเปราะ
เอบีเอ โต้แย้งรายงานของดอกเตอร์ทัคเกอร์ด้วยว่าไม่มีงานวิจัยชิ้นใดบงชี้ได้ว่ากาเฟอีนและฟอสฟอรัสเป็นอันตรายต่อสุขภาพกระดูก
ด้านนายโรแบร์โต ปาซิฟิซิ ผู้ชี่ยวชาญโรคกระดูกพรุนของมหาวิทยาลัยอีโมรี ระบุว่าการใช้ยาสเตียรอยด์ประวัติครอบครัว การสูบบุหรี่และปัจจัยอื่นๆ มีส่วนก่อให้เกิดโรคกระดูกพรุนมากกว่าการดื่มน้ำอัดลม แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเห็นพ้องต้องกันว่า ชาวสหรัฐส่วนใหญ่ยังต้องการแคลเซียมปริมาณมากขึ้น เพื่อรักษาสุขภาพของกระดูก
รายงานทางการแพทย์ทั่วไประบุว่า วิตามินดี และโปรตีน รวมทั้งการจำกัดปริมาณอาหารให้สมดุลประกอบกับการออกกำลังกาย ก็มีความสำคัญเช่นกัน พร้อมแนะนำให้หลีกเลี่ยงการบริโภคเกลือในปริมาณมาก
ทั้งนี้เด็กอายุระหว่าง 9-18 ปี ต้องการแคลเซียมวันละ 1,300 มิลลิกรัม ขณะที่ผู้ใหญ่อายุต่ำกว่า 50 ปี ต้องการแคลเซียม 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ส่วนผู้ใหญ่อายุมากกว่า 50 ปี ควรได้รับแคลเซียมวันละ 1,200 มิลลิกรัม ขณะที่นักโภชนาการ แนะว่าอาหารที่เป็นแหล่งแคลเซียม ได้แก่ บร็อกโคลี กะหล่ำปลี น้ำส้มคั้น และเนยแข็ง
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสุขภาพกระดูกหลายคน เตือนบรรดาผู้ป่วยให้จำกัดการบริโภคน้ำอัดลม ด้วยเหตุผลทางสุขภาพทั่วไป รวมถึงสุขภาพกระดูก ขณะที่เฟลิเซีย คอสแมน ผู้อำนวยการด้านคลีนิกของมูลนิธิกระดูกพรุนแห่งชาติ แนะนำว่า ผู้ป่วยสามารถดื่มน้ำอัดลมได้อย่างมากที่สุด 4 กระป๋องต่อสัปดาห์ และควรเลืกดื่มอน้ำอัดลมประเภทไดเอท
ขอขอบคุณ บทความดีดี จาก นสพ. กรุงเทพธุรกิจ วันที่ 22 ตุลาคม 2550 ค่ะ
|