ทันทีที่เสียงกริ่งของโรงเรียนลูกของผมดังขึ้นในวันสุดท้ายของเทอมแรก แผนการท่องเที่ยวก็ถูกกำหนดขึ้นอย่างเร่งด่วน เพื่อเป็นการผ่อนคลายจากที่ต้องตื่นก่อนไก่โห่ติดต่อกันมาเป็นเวลา 18 สัปดาห์ (ตัวเลขนี้ มาจากเพื่อนของเราในทริปที่เป็นเจ้าของโรงเรียน เลยพอจะรู้บ้างว่าในแต่ละเทอมมีกี่สัปดาห์เพื่อสรุปแผนการสอนในแต่ละชั้น) พวกเราได้ตกลงกันที่จะออกไปเที่ยวทางภาคเหนือ ทั้งๆ ที่มีเสียงเตือนแว่วๆ มาว่า “ยังไม่หมดฝนเลยนะ”


          เรื่องฝนกับพวกเรา ดูเหมือนจะสนิทกันไปแล้ว เพราะเราไปเที่ยวทีไร ก็เจอฝนทุกที จนเดี๋ยวนี้ หากไปเที่ยวแล้วไม่เจอฝน คงรู้สึกแปลกๆ (ทีตอนหน้าหนาว ก็ไม่ยักกะไปเที่ยว-Hana) ยิ่งกำหนดการของเราอยู่ในระหว่างวันที่ 5-11 ตุลาคมด้วย ก็คงหนีฝนไปไม่พ้นแน่ๆ


           กำหนดการของเราขั้นต้น จะเป็นการบินไปลงที่เชียงใหม่ ก่อนที่จะเช่ารถตู้พร้อมคนขับให้ตระเวณไปตามที่เราต้องการ ซึ่งตอนแรกพวกเรากะว่าจะเที่ยวในเชียงใหม่ แล้วขึ้นดอยอ่างขางเสียก่อน จึงค่อยไปเมืองปาย แวะซะสองสามวัน ก่อนที่จะไปเที่ยวที่ปางอุ๋ง และสุดท้ายไปจบที่อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน เพื่อขึ้นเครื่องบินกลับ



 
   
 



          แต่ดูเหมือนที่ประชุมจะมีเสียงแตก และก็สรุปให้เราใช้เส้นทางเดิมที่เราเคยไปมาเมื่อสองปีที่แล้ว คือออกจากสนามบิน ก็ลงใต้ทางอำเภอฮอด เข้าออบหลวง ผ่านสวนสน แล้วไปโผล่ที่แม่สะเรียง จากนั้นก็ขึ้นเหนือผ่านอำเภอเมือง เข้าไปแวะพักที่ปางอุ๋ง ก่อนที่จะไปพักผ่อน ปล่อยเวลาให้เดินไปช้าๆ ที่เมืองปาย แล้วค่อยเข้าเชียงใหม่ทางอำเภอฝาง แวะขึ้นไปสูดอากาศที่ดอยอ่างขาง ก่อนที่จะกลับมาที่สนามบินเพื่อกลับกรุงเทพ โดยจะใช้เวลารวม 6 วันพอดี ซึ่งเส้นทางท่องเที่ยวนี้ หากดูในแผนที่ ก็จะเป็นลักษณะของวงกลม คือเริ่มต้นและวนไปในทิศทางเดียวจนกลับมาจบที่จุดเดียวกัน อันกลายเป็นที่มาของชื่อทริปนี้ครับ “Circle of the North”


          สาเหตุที่เราเลือกเส้นทางที่สอง เพราะมีเรื่องของเวลามาเกี่ยวข้อง คือเราไม่อยากที่จะไปพักที่ “ปางอุ๋ง” อันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ Hot ที่สุดของเมืองไทยในยุคนี้ ในช่วงวันธรรมดา เพราะเกรงว่าจะไม่มีคนไปเที่ยวและอาจจะไม่ปลอดภัยได้ เราจึงเลือกที่จะไปพักที่ปางอุ๋งในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ที่เราคาดว่าจะมีคนไปพักมากกว่า และน่าจะอุ่นใจได้มากกว่า


          พอใกล้วันเดินทาง พวกเราก็มีเรื่องให้ตื่นเต้นเล่น คือพายุใต้ฝุ่นเลกีมา ได้พัดผ่านเข้ามายังบ้านเราทางตอนเหนือ ซึ่งก็แน่นอนที่พวกเราจะได้ผจญกับฝนกระหน่ำ ทำเอาพวกเราเริ่มลังเลว่าจะไปดี หรือไม่ไปดี ยิ่งช่วงก่อนหน้านั้นมีข่าวเครื่องบิน Low Cost ตกเพราะปัญหาพายุกรรโชกเสียด้วย เล่นเอาพวกเราต้องรอเช็คข่าวกันจนนาทีสุดท้าย (ก่อนเข้านอน เพราะเครื่องของพวกเราออก 6 โมงครับ...แฮ่)



 
   
 

 

          พวกเราเลือกบินในตอนเช้าตรู่ เพื่อจะได้ไปถึงที่เชียงใหม่เช้า และมีเวลาขึ้นไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพและครูบาศรีวิชัย ก่อนที่จะไปแวะเยี่ยมเด็กๆ ที่คุ้นหน้าคุ้นตากันทุกปีที่หมู่บ้านม้ง ดอยปุย ซึ่งจะว่าไปแล้ว การบินในช่วง Low Season ก็ดีไปอย่าง เพราะที่นั่งจะราคาถูกมาก พวกเราบินไป-กลับ กรุงเทพ-เชียงใหม่ ด้วยการบินไทย ในราคาเพียงพันกว่าบาทเท่านั้น และเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับเพื่อนร่วมทริป ผมจึงช่วยจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินให้ก่อนด้วยบัตรแพลทินัม ให้ทุกคนได้อุ่นใจว่า หากเครื่องตก ทางบ้านจะได้ค่าประกันคนละยี่สิบสามสิบล้าน...


          ตอนที่พวกเราเช็คอิน ก็ต้องลุ้นว่าเพื่อนร่วมทริปจะมีใคร Cancel หรือไม่ เพราะมีเสียงแว่วๆ มาเหมือนกัน ว่าอาจจะสละสิทธิ์ขออยู่ดูพายุที่บ้านดีกว่า แต่ในที่สุด คณะพรรคของพวกเราก็มาถึงที่สนามบินดอนเมืองกันครบทุกคน (พวกเราบินไปจากดอนเมือง แต่ขากลับลงที่สุวรรณภูมิ)


          พอได้ไปใช้บริการที่ดอนเมือง ผมก็รู้สึกประทับใจว่าสนามบินดอนเมืองนี่ถึงจะเล็กมาก แต่ก็สะดวกดีสำหรับผู้โดยสารที่จะบินในประเทศ เพราะเช็คอินเสร็จ ก็เดินไปรอขึ้นเครื่องได้เลย ไม่ต้องผ่านแหล่งช็อปปิ้งหรือทางเดินยาวๆ เหมือนที่สุวรรณภูมิ แถมห้องน้ำที่นี่ ถึงจะเชยแต่ก็สกปรกน้อยกว่ามาก (อยากให้ทางสนามบินสุวรรณภูมิ ดูแลห้องน้ำทุกๆ สามสิบนาที ก็ยังดี ไม่ใช่ปล่อยให้เน่าอย่างนี้) แต่สนามบินในประเทศแบบนี้ ก็คงไม่ค่อยสะดวกสำหรับผู้โดยสารที่ต้องเปลี่ยนเครื่อง เพราะเรายังขาด Mass Transit ที่จะเชื่อมต่อสนามบินทั้งสองเข้าด้วยกัน ถ้าอย่างไร ผมก็จะคอยเอาใจช่วยให้เสร็จไวๆ นะครับ



 
   
 

 

          ขอนอกเรื่องนิดนึง เกี่ยวกับสนามบินสองแห่งในเมืองเดียวกัน ที่ใครออกมาบอกว่าไม่มีใครเข้าทำกันนี่ ผมขอเถียงเลยนะ อย่างปารีส ก็มีสนามบินสองแห่ง และเป็นนานาชาติทั้งคู่อีกด้วย คือ ชาลส์ เดอโกลล์ กับ Orly หรือแม้แต่ที่นิวยอร์คที่คนไทยไปกันเยอะๆ ก็มีสองแห่งเช่นเดียวกัน คือ John F.Kennedy กับ Newark ซึ่งหากจะเรามีสนามบินสองแห่งบ้างก็ไม่แปลก แต่ขอให้ชัดเจนในแนวทางและทำงานแบบมืออาชีพ อย่ามัวแต่ทะเลาะกัน หรือเห็นแก่เงินใต้โต๊ะจากประเทศคู่แข่ง เพียงเท่านี้ ประเทศของเราก็น่าจะเป็น Hub แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้สบายๆ

           ในที่สุด เช้าวันที่ 5 ตุลาคม พวกเราก็ได้เดินทางมาถึงสนามบินเชียงใหม่แบบนุ่มนวลตลอดการเดินทาง อากาศก็กำลังสบาย ไม่หนาวไม่ร้อน และพวกเราก็ได้พบกับคนขับรถที่ได้ติดต่อไว้ล่วงหน้า เขาได้แนะนำตัวว่า “วิทย์” ว่าแล้ว ก็พาพวกเราไปรอขึ้นรถตู้ “ป้ายแดง” แบบ Commuter ก่อนที่จะพาพวกเราขึ้นเขาไปไหว้พระธาตุ

 

          หลังจากที่พวกเราได้ขึ้นไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพแล้ว พวกเราก็ได้ออกเดินทางต่อไปยังหมู่บ้านม้งดอยปุย เพื่อไปถ่ายภาพเด็กๆ กัน โดยช่วงที่ขึ้นไปไหว้พระนั้น พวกเราซึ่งเป็นชาวพุทธก็ได้ไปไหว้พระขอพร พรมน้ำมนต์และผูกสายสิญจ์สีขาว ก็มีเพื่อนเราคนนึงที่นับถือคริสต์ (คนที่เป็นเจ้าของโรงเรียนนั่นแหละ) ก็ได้แต่ยืนดูอยู่ห่างๆ  โดยมีช่างภาพประจำวัดหลายคนเข้าไปทักทาย เพราะเห็นว่าพวกเราแต่ละคนพกกล้องและเลนส์กันเป็นล่ำเป็นสัน (แบกกันจนร่างกายล่ำกันเป็นแถวๆ) ก่อนที่จะบอกยิ้มๆ ว่า “เห็นพวกพี่สะพายกล้อง เหมือนมืออาชีพเลย” นี่...ไม่อยากบอกเลยนะ ว่าแค่นี้นะจิ๊บๆ ถ้าเอาแบบเต็มสูบละก้อ จะมีกระเป๋าแบบลากแถมมาด้วย...ฮึ


 
   
 

 


          พวกเราขึ้นไปถึงที่หมู่บ้านม้ง ซึ่งเริ่มจะมีละอองฝนโปรยลงมา จากนั้นชุดกันฝนที่อุตสาห์ไปซื้อจากร้าน Daiso 60 บาท ก็ได้ฤกษ์นำออกมาใช้งาน ซึ่งภรรยาผมเลือกแบบ “ค้างคาว” คือเปิดแขนไว้ ทำให้ถ่ายภาพได้สะดวก และไม่ร้อนอบอ้าว พวกเราได้เริ่มเดินขึ้นไปบนหมู่บ้าน ซึ่งคราวนี้เลือกเดินทางตรงไปข้างหน้าบ้าง เพราะด้านข้าง เราขึ้นไปบ่อยแล้ว


          พวกเราเดินขึ้นไปอุ่นเครื่องในหมู่บ้านกันซะเพลิน ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยจะมีอะไร แต่พวกเราก็ใช้เวลากันไปซะชั่วโมงนึงเต็มๆ ก่อนที่จะรู้สึกตัวแล้วเดินย้อนกลับไปที่น้ำตกประจำหมู่บ้าน (เสียค่าเข้าชมคนละ 10 บาท) และเนื่องจากวันนั้นเป็นช่วง Low Season และมีฝนตก พวกเราก็เลยได้ครองพื้นที่กันอย่างสบาย ก่อนที่จะไปลองยิงหน้าไม้เล่นดูบ้าง โดยลูกชายผมเสียเงินไปหลายสิบบาท ได้แค่ถากมะละกอไปมา แต่ “น้าทราย” คนเก่งกลับยิงถูกภายในครั้งเดียว เล่นเอาแกบ่นอุบและพาลว่าน้าทรายฟลุ๊คที่ยิงถูก


          ส่วนผมพอถ่ายรูปเบื่อแล้ว ก็เลยมาขอยิงหน้าไม้เล่นบ้าง ปรากฎว่าลูกแรกยิงสูงไปเล็กน้อย ทั้งๆ ที่ผมว่าเล็งกลางเป้าแล้วเชียว ลูกที่สองเลยกดต่ำลงมาเล็กน้อย คราวนี้เลยโดนกลางลูกเต็มๆ ทำให้คิดได้ว่าหน้าไม้นี้คงจะเหินนิดๆ ลูกเลยลอยขึ้น คราวนี้ลูกชายผมเลยยิ้มออกมาได้หน่อย และบอกว่า “ปาป๊าน่ะยิงแม่น ไม่ฟลุ๊คเหมือนน้าทรายหรอก เพราะปาป๊ามียิงลองหน้าไม้ด้วย” เป็นไงครับ ตรรกะของเด็กปอห้า...


 
   
         
   
 

 

          จากหมู่บ้านม้งดอยปุย พวกเราก็ออกเดินทางลงมายัง La Gritta โรงแรมอมารี รินคำ ร้านอาหารโปรดของเราตั้งแต่ทริปที่แล้ว (ตอนเลี้ยวซ้ายไปเมืองปาย) คราวนี้ พวกเราก็ได้อิ่มอร่อยกับรสชาดของอาหารที่น่าประทับใจอีกครั้ง โดยใช้เวลาทานอาหารรวมทั้งสิ้นเกือบสองชั่วโมง ทำเอาอิ่มกันถ้วนหน้า โดยตั้งความหวังว่าขากลับจะมาแวะอีกซักมื้อ ซึ่งจะทำได้มั้ย คงต้องค่อยๆ อ่านไปนะครับ


           หลังจากเสร็จมื้อเที่ยง พวกเราก็ออกเดินทางไปอำเภอฮอดทันที ซึ่งระหว่างทางจากฮอดออกไปทางออบหลวงนี้ เป็นที่ราบเป็นส่วนมากประกอบกับมีฝนตกตลอด พวกเราจึงพร้อมใจกันหลับยาว ปล่อยให้วิทย์ทำหน้าที่ขับรถไปอย่างเหงาๆ คนเดียว


          ผ่านไปสามชั่วโมงเศษ พวกเราก็มาถึงอำเภอแม่สะเรียง ซึ่งพวกเราพึ่งจะรู้ตัวว่าเราผ่านสวนสนไปโดยไม่ได้ลงไปแวะ แต่ทุกคนก็ไม่ค่อยเสียดายเท่าไร เพราะฝนที่ตกมาตลอดทางนั่นเอง

 

 
   
 

 

 

           และเมื่อพวกเราเข้าไปถึงที่พักที่โรงแรมริเวอร์เฮาส์รีสอร์ทที่อำเภอแม่สะเรียง ซึ่งเป็นโรงแรมขนาดเล็กแต่น่ารัก พวกเราที่อ่อนเพลียมาจากการเดินทางตลอดทั้งวัน เลยสมัครใจอยู่ในห้องพักจนถึงเวลาอาหารค่ำ และในช่วงเวลาว่างนี้ ที่ผมได้มีโอกาสดูภาพที่เก็บมาตลอดทั้งวัน ก่อนที่จะพบว่ามีภาพที่ใช้ได้อยู่น้อยมากจนแทบหมดกำลังใจ ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะเราอยู่ในรถเกือบตลอดเวลา และช่วงที่ออกไปถ่ายภาพ ฟ้าก็จะทึมๆ และฝนตกปรอยๆ ภาพออกมาเลยค่อนข้างน่าผิดหวังไปด้วย

 

 
  --Isyss--        
           
           
           
           
           
 
 
Home | About Bareo | News & Events | Art of Design | Decor Guide | The Gallery | Living Young | Talk to Editor | Links
 
บริษัท บาริโอ จำกัด
50 ซอยบรมราชชนนี 4 ถนนบรมราชชนนี เขตบางพลัด กรุงเทพฯ 10700 Tel. 66 2881 8536-7 Fax. 66 2881 8538