|
ตราบใดที่มนุษย์ยังยกอำนาจเป็นเงื่อนไขสูงสุดในการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์ ตราบนั้นสงครามยังดำเนินอยู่ต่อไป นี่เป็นภาพยนตร์ชวนง่วงที่อยากชวนคุณไปดูครับ
Lions for Lambs เรื่องราวการเมืองที่เล่นกันบนโต๊ะ แต่ใช้ชีวิต เลือดเนื้อจริงๆของเพื่อนร่วมชาติแทนเบี้ยบนกระดาน ผลงานกำกับเรื่องล่าสุดของพระเอก Superstar Robert Redford นอกจากทั้งกำกับและแสดงนำแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังมีอีกสองThe Big ทั้ง Tom Cruise และ Meryl Streep เรื่องของ 3 สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันภายในวันเดียวกัน เนื้อเรื่องที่อัดแน่นไปด้วยบทสนทนาที่จะเผยเบื้องหลังของสงครามที่ลากชะตากรรมของคนทั้งโลกเข้าไปเกี่ยวข้อง
ในห้องทำงานของท่านวุฒิสมาชิกแจสเปอร์ เออร์วิง (พี่ทอม ครูส) ดาวรุ่งจากรีพับลิกันที่หมายตาตำแหน่งประธานาธิบดีคนต่อไป เชิญผู้สื่อข่าวอาวุโสให้สัมภาษณ์แบบส่วนตัวถึงหนึ่งชั่วโมงเต็ม เกี่ยวกับยุทธศาสตร์ใหม่ที่พี่แกพึ่งคิดได้สดๆร้อนๆ และนำไปใช้กับการรบในอัฟกานิสถาน เพื่อให้ผู้สื่อข่าวนำเสนอต่อสาธารณชนหวังเอาการยุทธครั้งนี้กอบกู้คะแนนนิยมของรีพับลิกันให้กลับคืนมา
|
|
|
|
|
|
|
ป้าเมอรีล สตรีพ แสดงเป็น แจนีล รอท นักข่าวอาวุโสที่ผ่านงานข่าวมาอย่างโชกโชนตั้งแต่ครั้งสงครามเวียดนาม บทสนทนาช่วงชิงไหวพริบระหว่างซีเนเธอร์ เออร์วิงกับ ป้าแจนีล แสดงความเก๋าเกมของสื่อมืออาชีพที่ไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์ให้กับนักการเมืองง่ายๆ เมื่อท่านวุฒิสมาชิกบอกนักข่าวสาวใหญ่ว่า ด้วยยุทธศาสตร์นี้นะจะทำให้เรา(อเมริกา)ชนะสงคราม ก็โดนป้าแจนีลสวนกลับหน้าหงายว่า แล้วทำไมไม่คิดยุทธศาสตร์ที่จะพาทหารของเรากลับบ้านสักที ตัวเลขที่แท้จริงของทหารอเมริกันที่เสียชีวิตนับตั้งแต่นายบุชเปิดฉากสงคราม(ที่เรียกหรูๆว่า ต่อต้านการก่อการร้าย) หกปีผ่านไป จนถึงปัจจุบันนี้ ถ้าผมจำไม่ผิดไม่ต่ำกว่า 3,000 คนครับนี่เป็นเรื่องเสียดแทงใจคนอเมริกันอยู่ทุกวันนี้ และฮอลีวู้ดก็ไม่เคยพลาดที่จะนำเรื่องนี้มาประชดประชันถ้ามีโอกาส
|
|
|
|
|
|
|
ขณะเดียวกันที่มหาวิทยาลัย West Coast ในห้องทำงานส่วนตัวของอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ ดร.มัลเลย์ (ลุงโรเบิร์ต เรดฟอร์ด) นัดคุยกับนักศึกษาหนุ่มคนหนึ่ง(Andrew Garfield) เจ้าหนูนี่เป็นเด็กหัวดี สนใจเรียน มีทีท่าอนาคตจะไปได้ไกลโลด แล้ววันหนึ่งเจ้านี่กับเบื่อหน่ายการศึกษา หายหน้าหายตาไม่เข้าเรียนซะงั้น อาจารย์ก็ร้อนใจและเสียดาย อนาคตของชาติ จึงเรียกตัวเจ้าหนูมาสอบถาม แรกๆเจ้าหนูก็โยกโย้ว่า เรียนๆแล้วมันเบื่อกิจกรรมเยอะไหนจะต้องนัดเดตสาวๆอีก ดร.มัลเลย์ก็เลยเล่าเรื่องรุ่นพี่ 2 คนของเจ้าหนูนี่ให้ฟัง อีกซีกโลกบนเทือกเขาในอัฟกานิสถาน รุ่นพี่ 2 คนอดีตลูกศิษย์ของดร.มัลเลย์ แอเรียนและเออร์เนสต์ (Derek Luke และ Michael Pena) ตัดสินใจทิ้งอนาคตที่สดใส สมัครเข้าเป็นทหารรบกับฝ่ายตาลิบัน ออกปฏิบัติภารกิจอันเดียวกับที่ท่านวุฒิสมาชิกกำลังโฆษณากรอกหูสื่ออยู่นั่นแหละ ทั้งสองคนโดนโจมตีบาดเจ็บสาหัสอยู่ในถิ่นของศัตรู หนังใช้วิธีตัดสลับไปมาระหว่างสามสถานที่ ฉากที่ลุงเรดฟอร์ดตั้งใจอัดผู้ชมเป็นฉากที่หัวหน้าหน่วยรบพยายามเข้าช่วยแอเรียนและเออร์เนสต์ โดยการดึงภาพจากดาวเทียมหาพิกัดของทั้งสองคน เป็นภาพพร่าเลือนที่เห็นทั้งสองอยู่ท่ามกลางดงศัตรูนับร้อย อดสูจนต้องตั้งคำถามว่าสิ่งที่ทั้งสองคนเสียสละไปเพื่ออะไร เพื่ออุดมการณ์ เพื่อชาติ หรือเพื่อให้ท่านวุฒิสมาชิกก้าวเท้าเข้า White House อย่างสง่างามกันแน่
|
|
|
|
|
|
สิงโตและลูกแกะตามชื่อเรื่องมาจาก สมัยสงครามโลก ทหารเยอรมันเรียกกองทัพอังกฤษอย่างเปรียบเทียบว่า สิงโตคือทหารกล้าที่เสี่ยงตายออกรบตามการวางแผนของลูกแกะซึ่งก็คือผู้บังคับบัญชาการที่อยู่สุขสบายในแนวหลังแต่คิดวางแผนยุทธศาสตร์ที่ผิดพลาด ขาดทักษะ ทำให้สิงโตต้องพลีชีพสังเวยความเขลาของลูกแกะ เออร์เนสต์และแอเรียนเป็นตัวแทนพลเมืองชั้นสอง ทั้งสองคนเป็นนักศึกษาผิวสี ยากจนที่มีสติปัญญาดี กว่าจะฝ่าฟันจนได้เข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัยและเป็นที่ยอมรับของเพื่อนร่วมชั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะศรัทธา ความหวังที่จะเป็นตัวแทนชนชั้นของตนทำประโยชน์เพื่อบ้านเมือง แม้ว่าดร.มัลเลย์จะพยายามทัดทานแต่ด้วยอุดมการณ์ทำให้ทั้งสองตัดสินใจหันหน้าสู่สมรภูมิ
โลกของเรามีประชากรหกพันล้านคน ทุกวันนี้เราสูญเสียเยาวชนที่มีคุณค่าอย่างแอเรียนและเออร์เนสต์ไปกี่ล้านคนแล้วครับจากสงครามที่ไม่จำเป็นต้องเกิดทั่วโลก เราฟาดฟันกัน ทำร้ายและทำลายกันเพื่ออำนาจที่ไม่มีอยู่จริง ไม่มีใครครอบครองได้ถาวร มันเปลี่ยนมือไปเรื่อยๆ และสิงโตก็ต้องพลีชีพไปเรื่อยๆเพื่อให้ลูกแกะตัวแล้วตัวเล่าขึ้นมาเรืองอำนาจ
|
|
|
|
|
|
เมื่อเช้าผมพึ่งอ่านข่าวว่านายเควิน รัดด์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของออสเตรเลียเตรียมกล่าวคำขอโทษอย่างเป็นทางการกับชาวอะบอริจิ้นพื้นเมืองที่โดนกดขี่เอาเปรียบจากคนผิวขาว ถึงแม้จะช้าไปสักสองร้อยปี แต่ถ้าเป็นคำขอโทษที่มาจากความรู้สึก ความสำนึกจริงๆ ไม่มีวาระซ่อนเร้น ก็ขอคารวะครับ สำนึกแบบนี้แหละครับที่อยากให้ผู้นำทั่วโลกมีติดตัว เป็นสามัญสำนึกที่มองเห็นคุณค่าของทุกชีวิตร่วมโลก
|
|
|
|
|
อย่างที่เกริ่นบอกไว้แต่แรกว่านี่เป็นหนังชวนง่วง ถ้าคุณไม่ชอบกับหนังที่มีบทสนทนายืดยาวไม่มีฉากตื่นตา อย่าไปชมเลยครับ แต่ถ้าคุณชอบฟังการอภิปรายการเมือง สนใจประเด็นเบื้องหลังเบื้องลึกสงครามอย่างครอบคลุมทั่วด้าน (และเป็นแฟนคลับโรเบิร์ต เรดฟอร์ดอย่างผม) ชอบชมหนังที่ตีแผ่เกมแห่งอำนาจ หนังเรื่องนี้ถูกโฉลกกับคุณครับ หนังเรื่องนี้ขายความสามารถของนักแสดงล้วนๆ ถ้านักแสดงไม่ปึ้กแป้กแน่ๆครับ โดยเฉพาะพี่ทอมกับป้าเมอรีล ในฉากห้องทำงาน มุมกล้องธรรมดามากๆ เหมือนเราแอบดูสองคนคุยกัน แต่มันเด่นที่ทั้งสองคนปะทะกัน ฝ่ายนักการเมืองก็ใช้คารมพยายามโน้มน้าวสื่อ ฝ่ายสื่อก็พร้อมจะตรวจสอบนโยบายอย่างเข้มข้น พี่ทอมมาแบบมั่นใจในความเป็นนักการเมืองเจ้าเสน่ห์ของตน ดวงตาสุกสกาว รอยยิ้มอย่างที่ฝึกยิ้มหน้ากระจกมาแล้วว่าเก๋แน่ๆ ขณะที่ป้าเมลริลแกนิ่มๆเล่นน้อยๆแต่เรารู้สึกว่ามันเยอะ แกกำลังคิดอะไรอยู่ คนดูจะรู้สึกได้ว่าแกคลางแคลงไม่เชื่อคำไม่หมอนี่หรอก |
|
|
|
|
|
บทดร.มัลเลย์ของลุงเรดฟอร์ดก็ไม่ธรรมดาครับ เป็นอาจารย์ที่พร้อมให้คำปรึกษาและรับฟังศิษย์ เมื่อเจ้าหนูที่โดดเรียน เปิดใจว่าที่จริงแล้วเขาไม่เชื่อมั่นว่าการเรียนจะแก้ปัญหาอะไรได้ มันเหมือนสูญเปล่า ก็เลยไม่รู้จะเรียนไปเพื่ออะไร อาจารย์ไม่ได้ให้คำตอบแก่ศิษย์แต่การพูดคุยกันร่วมชั่วโมงกับดร.มัลเลย์ทำให้เจ้าหนูกลับไปคิดเอง คิดถึงแรงบันดาลใจที่รุ่นพี่ทำลงไป หนังไม่ได้ให้คำตอบหรือบทสรุปใด แถมทิ้งท้ายเปิดประเด็นให้คนดูกลับบ้านไปคิดต่ออีกด้วย(ดูแล้วเหนื่อยนะ) หากเราเมินเฉยต่อปัญหา โดยที่ไม่ทำอะไรเลย แล้วมาโอดครวญมันก็ใช่ที่นะครับ เหมือนอย่างที่เออร์เนสต์และแอเรียนบอกกับดร.มัลเลย์ก่อนไปรบว่า ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่คนเริ่ม แต่ปัญหามันอยู่ที่เราทุกคน ที่ไม่ยอมทำอะไรเลยต่างหาก
อย่าอยู่เฉยๆนะครับ เดือนนี้เป็นอีกเดือนที่มีความหมายสำหรับเราคนไทยทุกคน คิดพิจารณาให้รอบคอบแล้ววันที่ 23 ธันวาคม ไปลงมือทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อแสดงว่าคุณไม่ได้อยู่เฉยๆ คุณไม่ได้ยอมจำนน อย่างน้อยๆคุณก็ได้ลงมือทำอะไรแล้ว คุณได้เลือกลูกแกะตัวที่มีจริยธรรมมากที่สุดแล้ว และไม่ปล่อยให้สิงโตต้องเดียวดาย ...สวัสดีปีใหม่ครับ
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
-- บูรพา -- |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|