|
เช้าต่อมาที่เมืองปาย พวกเราก็ทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวออกไปตระเวณตลาดเช้าในเมืองแวะซื้อของกระจุกกระจิกเพื่อนำกลับไปฝากเพื่อนๆ ที่เฝ้าคอยอยู่ที่ Office ก่อนที่จะออกไปเที่ยวไหว้พระ และหา Location เพื่อถ่ายภาพกลับมาฝาก ไม่ว่าจะเป็นที่ วัดน้ำฮูที่มีน้ำไหลออกจากเศียรพระ สะพานเหล็กเก่าสมัยสงครามโลกที่มีรูปร่างคล้ายสะพานซังฮี้แบบย่อส่วน ซึ่งปัจจุบันได้เลิกใช้ไปนานแล้ว วัดพระธาตุแม่เย็นซึ่งเป็นสถานที่ที่เราพบกับทิวทัศน์ที่สวยงามเหมาะแก่การถ่ายภาพ Landscape เป็นอย่างยิ่ง จากนั้น พวกเราจึงได้กลับไปนอนผึ่งพุงอาบแดดเล่นน้ำสระในโรงแรมอย่างสนุกสนาน
ส่วนตัวผมไม่ค่อยจะถูกกับกิจกรรมทางน้ำเท่าไร จึงขอเลี่ยงออกไปเก็บภาพที่บริเวณโรงบ่มยาสูบเก่า (เก่านี่หมายความว่าเจ้าของเขาเลิกใช้แล้ว) ซึ่งอยู่บริเวณสนามบินปาย ด้านหน้าจะมีตลาดหน้าสนามบิน ตัวอาคารจะก่อด้วยอิฐแดงเรียงอย่างสวยงาม น่าเสียดายที่เจ้าของเลิกใช้ประโยชน์แล้ว ปล่อยให้รกร้างกลายเป็นที่อยู่ของคนแถวนั้นไป
|
|
|
|
|
|
ตัวอาคารเมื่อรับแสงสุดท้ายของวันจะสวยงามมาก น่าเสียดายที่ผมไปถึงเมื่อสายไป ทันเห็นแสงสุดท้ายสาดบนตัวตึก แต่ไม่สามารถบันทึกภาพได้ทันเพราะยังอยู่บนรถตู้อยู่เลย เลยได้แต่ไปเก็บภาพรอบๆ บริเวณนั้น ก่อนกลับเข้าโรงแรม
เช้าสุดท้ายที่เมืองปาย พวกเราตกลงออกไปเก็บภาพยามเช้ากันแถวๆ ร้าน Coffee in love ซึ่งเป็นร้านกาแฟเปิดใหม่น่ารักมาก ตั้งอยู่ระหว่างทางจากเมืองออกไปที่สะพานสงครามโลก ซึ่งพวกเราก็ได้พบกับเจ้าของร้านที่เปี่ยมด้วยอัธยาศัย เลยคุยกันอยู่นาน แถมมีกาแฟหอมๆ คอยบริการ พวกเราเลยใช้เวลาอยู่ตรงนี้เสียเพลิน จนหมดแสงเช้า แม้ว่าจะไม่ได้ภาพตามที่คิด แต่ก็ได้มิตรภาพที่ดีกลับมาให้ชื่นใจ
|
|
|
|
|
|
ขากลับเข้าเมือง ปรากฏว่ามีพวกเราคนนึงจะต้องไปซื้อน้ำตาเทียมมาหยอดตา เพราะไปทำหายที่ปางอุ๋ง วิทย์คนขับรถของเราก็เลยพาพวกเราไปจอดกลางเมือง ซึ่งก็เจอแสงตกตรงม้านั่งหน้าร้านขายของพอดี พวกเราเลยเล่นถ่ายภาพกับแสงกันอย่างสนุกสนาน แถมยังได้ลองซื้อข้าวซอยตัด ซึ่งเป็นของกินเล่นแบบดั้งเดิมของคนอิสลามมาด้วย อร่อยและหอมลิ้นด้วยน้ำผึ้งที่อยู่ในข้าวซอยตัดมากๆ หากใครมีโอกาสได้แวะไปที่ปาย อย่าลืมลองซื้อมาทานเล่นกันนะครับ อร่อยและไม่แพงด้วย
ตกบ่ายพวกเราก็ออกเดินทางอีกครั้ง เพื่อไปยังดอยอ่างขางซึ่งเป็นเป้าหมายสุดท้ายของเรา แต่อาจเป็นเพราะเราออกเที่ยวเสียหลายวัน ครั้งนี้เลยเพลีย นอนหลับปุ๋ยกันหมด ปล่อยให้วิทย์คนขับรถมือหนึ่งของเราทำหน้าที่ไปตามลำพัง
|
|
|
|
|
|
พอเข้าเขตดอยอ่างขาง พวกเราก็ตื่นกันโดยอัตโนมัติ อาจเป็นเพราะสัณชาตญาณที่กลัวจะไม่ได้ภาพสวยๆ พวกเราเลยตาสว่างกันหมด ซึ่งพอใกล้ที่หมาย พวกเราก็ขอเปลี่ยนไปเก็บภาพที่บ้านนอแลที่มีเด็กชาวเขากันเสียก่อน ซึ่งที่บ้านนอแลนี้ จะเลยจากที่พักที่รีสอร์ทธรรมชาติขึ้นไปอีก 3-4 ก.ม. และเป็นที่ตั้งของค่ายทหารบ้านนอแล ซึ่งอยู่บริเวณสุดเขตแดนไทยที่ติดกับฝั่งพม่า ซึ่งเราสามารถมองเห็นค่ายทหารพม่าที่อยู่บนเขาลูกถัดไปได้อย่างถนัด
พวกเราสนุกกับการเก็บภาพเด็กๆ ที่บ้านนอแลอย่างมาก และเด็กๆ ก็สนุกกับการโพสท์ท่าให้เราถ่ายภาพเช่นกัน อาจเป็นเพราะเราเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกๆ ที่เข้าไปในช่วงปลายฝนต้นหนาว ซึ่งเป็นเวลาก่อนเทศกาลท่องเที่ยว เด็กๆ เลยยินดีให้พวกเราเก็บภาพกันอย่างสนุกสนาน
|
|
|
|
|
|
จนฟ้ามืด พวกเราซึ่งเก็บภาพเด็กและตะวันลับฟ้าบนยอดเขากันมากพอสมควรแล้ว ก็ได้เดินทางลงไปยังที่พัก ซึ่งเฝ้ารอคอยเราอย่างเป็นห่วง เพราะบนเขานอกฤดูท่องเที่ยวเช่นนี้ ฟ้าจะมืดมากและจะมองทางได้ลำบาก ซึ่งเมื่อพวกเราไปถึงก็พากันไปเก็บข้าวของอย่างเหนื่อยอ่อน โดยใช้บริการรถบรรทุกเล็กของทางโรงแรม เพราะรถตู้จะขึ้นทางชันๆ และแคบๆ ได้ลำบากกว่า
มื้อค่ำมื้อนั้น จัดว่าเป็นมื้อประทับใจมื้อหนึ่งของพวกเราเลยทีเดียว แม้ว่าจะต้องรอนานสักนิดเพราะมีเชฟเพียงสองคนและต้องทำหน้าที่เสริฟอาหารด้วย แต่อาหารที่ยกมาก็ไม่ทำให้พวกเราผิดหวังแต่ประการใด ไม่ว่าจะเป็นผักสดที่นำมาปรุง เห็ดหรือแม้แต่เนื้อสัตว์ชนิดต่างๆ พวกเราชิมไปชมไปจนหมด พร้อมกันยกให้สองนิ้วโป้งได้สบายๆ ซึ่งอันนี้ ผมต้องขอให้ดาวเลยนะครับ สำหรับอาหารบนรีสอร์ทธรรมชาติ เพราะอร่อยมากๆ จริงๆ หากมีเวลาอย่าลืมไปแวะพัก ชมธรรมชาติ อากาศบริสุทธิ์ และสุดยอดอาหารอร่อยนะครับ
|
|
|
|
|
|
เช้าวันต่อมา พวกเราออกเดินทางไปเก็บภาพเด็กชาวเขากันต่อ ที่บ้านขอบด้ง ซึ่งอยู่ใกล้ที่พักของเรามากกว่าบ้านนอแล แต่ทางจะลำบากกว่า พอไปถึงก็ไม่ผิดหวังครับ มีเด็กๆ มารุมล้อมขายของให้เราเต็มไปหมด ซึ่งพวกเราก็เลยต้องขอต่อรองซื้อของไปด้วย ถ่ายภาพไปด้วย กว่าจะหมดเช้านั้น พวกเราเลยมีสร้อยข้อมือที่น้องๆ ทำมาขายอยู่เกือบสองร้อยเส้น!
เด็กบางคนกำลังเล่นอยู่ พอเห็นพวกเรามา ก็วิ่งกลับบ้านไปเอาของออกมาขาย ช่างมีวิญญาณแม่ค้าเสียจริง อีกหน่อยต้องร่ำต้องรวยกันแน่ๆ เลย
|
|
|
|
|
|
พอสาย พวกเราก็กลับไปทานมื้อเช้าที่โรงแรม แต่ดูเหมือนว่าข้าวต้มมื้อเช้าจะไม่ค่อยถูกปากพวกเรานัก ต่างจากเมื่อคืนเยอะทีเดียว จากนั้นพวกเราก็ออกเก็บข้าวของและออกเดินทางไปเที่ยวในดอยอ่างขางซึ่งปลูกไม้ดอกและผลไม้เมืองหนาวไว้มากมายให้พวกเราเดินชม เดินชิมกันอย่างเพลิดเพลิน จนเกือบเที่ยง พวกเราจึงได้ย้อนกลับไปทานอาหารที่ Clubhouse ซึ่งก็ได้พบกับน้องๆ กลุ่มเดิมจากบ้านขอบด้ง เราก็เลย Surprise กันใหญ่เพราะไม่คิดว่าน้องๆ จะเดินลงเขามาได้ไกลขนาดนี้ แต่พอสอบถาม น้องก็ตอบว่า
หนูขี่มอเตอร์ไซค์มาคะ
อาหารมื้อเที่ยงที่ดอยอ่างขาง ก็เป็นอีกมื้อที่พวกเราปลื้มกันมาก เพราะมีผักสดมากมายให้ลองชิม แถมฝีมือก็ไม่ธรรมดา เราเลยใช้เวลาในร้านอาหารเสียนาน จนนึกขึ้นได้ว่าต้องลงดอยไปขึ้นเครื่องที่เชียงใหม่ พวกเราเลยต้องอาศัยบริการของวิทย์ คนขับรถตู้ของเราช่วยทำเวลาพาเรากลับไปที่สนามบิน
|
|
|
|
|
|
ระหว่างทางไปสนามบิน ก็มีฝนตกปรอยๆ ลงมาอีกครั้ง และดูเหมือนจะเป็นการร่ำลา ฟ้าที่เชียงใหม่ได้แสดงรุ้งเต็มวงซ้อนกันให้พวกเราได้ชม เล่นเอาฮือฮากันทั้งรถ เพราะอยู่กรุงเทพก็ไม่ค่อยจะเห็นรุ้งกินน้ำอยู่แล้ว นี่ยังเป็นรุ้งกินน้ำแบบซ้อนกัน ทำเอาพวกเราประทับใจกันไม่รู้ลืมเลยทีเดียว
สุดท้ายพวกเราก็ได้ร่ำลากับวิทย์ คนขับรถคู่ใจที่คอยดูแลเรามาตลอดทาง แถมยังตามใจพวกเรา ไม่มีงอแง หากใครอยากจะไปเที่ยวเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอนด้วยตัวเอง สามารถใช้บริการรถตู้ของเขาได้ครับ ราคาไม่แพง แถมบริการดี ขับรถแบบเชื่อใจได้ (มีการทำความสะอาดรถทุกวัน จนพวกเราอาย ที่ชอบไปทำรถเขรอะๆ) ติดต่อตามเบอร์นี้นะครับ วิทย์ โทร. 089 9547425
สำหรับข้อมูลของโรงแรมที่เราไปพัก หากสนใจก็ลองติดต่อไปตามนี้เลยนะครับ...
- The River House Resort อ.แม่สะเรียง โทร. 053 683 066
- The Quarter Resort อ.ปาย โทร. 053 699 423 และ 053 699 947
- Angkhang Nature Resort ดอยอ่างขาง โทร. 053 450 110
สำหรับพวกเรา คงต้องขอลาไปก่อน แล้วเจอกันใหม่ในทริปต่อไปที่ หวงซาน และ เซี่ยงไฮ้ นะครับ สวัสดีปีใหม่ครับ...
|
|
|
-- Isyss --
|
|
|
|
|