bareo : worktop kitchen
 

 

 

           “กาแฟ” เป็นเครื่องดื่มชนิดหนึ่ง คงไม่มีใครไม่รู้จัก แต่ใครจะดื่มหรือไม่นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง  กาแฟทำจากการนำเมล็ดกาแฟมาคั่ว และบด ดื่มได้ทั้งร้อนและเย็น สามารถปรุงแต่งโดยการใส่นมหรือครีม และน้ำตาลทำให้ได้กาแฟในรูปแบบที่ต่างกันออกไป


            คำว่า coffee มาจากคำในภาษาอะราบิก คือ ควาฮ์วาฮ์ (Quahweh) เป็นคำที่หมายถึงไวน์ในภาษากวี เนื่องจากไวน์เป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่เป็นสิ่งของต้องห้ามในศาสนาอิสลาม ต่อมาภายหลังพัฒนาเปลี่ยนสำเนียงเป็น คาเวย์ Kawha คาฟฟี่ Kaffe และ คอฟฟี่ coffee ในที่สุด คำว่ากาแฟในภาษาอื่นๆ เช่น ภาษาตุรกี คือ kahweh ฝรั่งเศส cafe' อิตาเลี่ยน coffe' ภาษาเยอรมัน Kaffee ภาษาดัชท์ Kiffie ภาษาอังกฤษ coffee และในภาษาลาติน Coffea ส่วนคนไทยในสมัยก่อนเรียกว่า โกปี๊ หรือ ข้าวแฝ่

 

 

 
   
 

 


กำเนิด“กาแฟ”


          เชื่อกันว่ากาแฟถูกค้นพบครั้งแรกโดยเด็กเลี้ยงแกะชื่อ คาลดี (Kaldi) ชาวอาบิสซีเนีย ในประเทศเอธิโอเปีย บังเอิญสังเกตุพบว่า แกะดูกระปรี้กระเปร่าผิดปกติ จึงตามดูและพบว่มันกินผลไม้ชนิดหนึ่งที่มีหน้าตาคล้ายลูกเชอรี่สีแดง ด้วยความอยากรู้จึงลองชิมดูบ้าง ทำให้เค้ารู้สึกกระปรี้กระเปร่าไม่แพ้แกะ


          การเดินทางของกาแฟ เริ่มขึ้นเมื่อ นักบวชชาวอิสลามทราบข่าว พยายามหาวิธีนำกลับไปใช้กินขณะประกอบพิธีทางศาสนาด้วยระยะทางไกลจึงมีการนำตากแห้งก่อน เวลากินจึงผสมน้ำกินทั้งเมล็ดและน้ำเป็นที่มาของกาแฟ


          จากนั้นกาแฟได้ถูกส่งต่อกระจายออกเป็นวงกว้างออกไป อย่างแพร่หลาย กาแฟเมื่อปลูกในดิน ภูมิอากาศที่ต่างกันออกไปก็ทำให้รสชาติของกาแฟที่ได้ก็ต่างกันไปอีกด้วย อย่างเมล็ดกาแฟของเคนยาถือได้ว่าเป็นเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพดีที่สุดให้รสชาติกลมกล่อม เป็นการแฟที่ให้รสเปรี้ยวแบบไวน์ และเป็นที่ต้องการของอังกฤษมากที่สุดด้วย


 

 
   
 

 


การชงกาแฟ

          ถ้าจะเปรียบ กับการชงชาของชาวญี่ปุ่นการชงกาแฟก็เรียกได้ว่าเป็นศิลปะชนิดหนึ่ง ที่มีขั้นตอนและกระบวนการการชงได้หลากหลายวิธี แต่ละวิธีก็ได้ผลที่ต่างกัน สามารถแบ่งเป็นประเภทตามการให้น้ำกับกากกาแฟ ได้สี่ประเภทหลักๆ ดังนี้

 

          การต้มเดือด : แบบ กาแฟตุรกี เป็นวิธีการชงแบบดั้งเดิมที่ยังคงใช้อยู่ในตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ ตุรกี และกรีซ โดยการต้มผงกาแฟละเอียดเข้ากับน้ำในหม้อคอคอด ซึ่งเรียกว่าไอบริก (ibrik) ปล่อยให้เดือดเล็กน้อย บางครั้งก็จะเติมน้ำตาลเข้าไปในหม้อด้วยเพื่อเพิ่มรสหวาน และยังเพิ่มรสและกลิ่นด้วยกระวาน (cardamom) ผลที่ได้คือกาแฟเข้มข้นถ้วยเล็กๆ มีฟองอยู่ข้างบน และกากกาแฟกองหนาเหมือนโคลนอยู่ที่ก้น

 

          การใช้ความดัน : หรือที่เรารู้จักในนาม เอสเพรสโซ ชงด้วยน้ำเดือดอัดความดัน หรือการใช้เครื่องชงกาแฟแบบใช้น้ำร้อนซึม มีลักษณะแบ่งออกเป็นสามส่วน โดยส่วนล่างใช้สำหรับต้มน้ำ เพื่อให้ไอลอยขึ้นไปยังกากกาแฟซึ่งอยู่ในส่วนตรงกลาง น้ำกาแฟที่ได้ ซึ่งมักมีความเข้มข้นระดับเดียวกับเอสเพรสโซ

 

 
   
 

 


          การใช้แรงโน้มถ่วง : โดยการชงแบบหยด (หรือแบบกรอง) เป็นการหยดน้ำร้อนผ่านกากกาแฟที่วางอยู่ในที่กรอง (อาจเป็นกระดาษหรือโลหะเจาะรู) ความเข้มขึ้นอยู่กับสัดส่วนระหว่างน้ำกับกาแฟ แต่โดยปกติแล้วจะไม่เข้มข้นเท่าเอสเพรสโซ หรือชงโดยใช้เครื่องชงกาแฟแบบใช้น้ำร้อนซึมก็ได้ เป็นแบบที่ใช้แรงโน้มถ่วงดึงให้น้ำไหลผ่านกากกาแฟ แต่ให้ความเข้มมากกว่า


          การจุ่ม : มี 2 แบบ แบบแรกโดยการใช้ เฟรนช์เพรส (หรือ cafeti?re) มีลักษณะเป็นกระบอกแก้วทรงสูง มีลูกสูบที่เป็นตัวกรอง โดยใส่กาแฟที่ก้นกระบอกจากนั้น วางตัวลูกสูบ และตัวกรอง จากนั้นเติมน้ำร้อน กาแฟและน้ำร้อนจะถูกผสมกันในกระบอก (ประมาณ2-3นาที) ก่อนที่ตัวลูกสูบ ซึ่งอยู่ในรูปฟอยล์โลหะ จะถูกกดลง เพื่อให้เหลือแต่น้ำกาแฟอยู่ข้างบนพร้อมเสิร์ฟ แบบเฟรนช์เพรสนี้หาลองได้ไม่ยาก เป็นแบบเดียวกับที่สตาร์บัคใช้เวลาให้ลูกค้า test กาแฟใหม่ๆ หรือกาแฟที่ได้รางวัลในแต่ละปีค่ะนอกจากนี้แล้วกระบอกแบบนี้ยังมีขายตามห้างสรรพสินค้าทั่วไป การชงกาแฟแบบจุ่มนี้ยังรวมไปถึงการชงแบบใช้ถุงกาแฟด้วยค่ะ ถุงกาแฟจะมีลักษณะเดียวกันกับถุงชา แต่เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมน้อยกว่าชามาก เนื่องจากเวลาชงกาแฟ ปริมาณกาแฟที่ใช้จะมากกว่าชาทำให้ถุงกาแฟจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่กว่ามาก หากอยากลองกาแฟแบบนี้ ลองเข้าเซเว่นอีเลเวน มีกาแฟถ้วยพร้อมชงแบนี้วางขายอยู่ให้เลือกลองค่ะ

 

 
   
 

 


          กาแฟทุกแบบที่ได้กล่าวมานี้ต่างใช้กากกาแฟชงกับน้ำร้อน กาแฟอาจถูกปล่อยค้างอยู่หรือไม่ก็ถูกกรองออกไป แต่ละวิธีต่างต้องการความละเอียดของการบดแตกต่างกันไป ถ้าเอาแบบง่ายเข้าว่าอย่างเดียร์ก็ต้องชงแบบกาแฟสำเร็จรูปค่ะ สะดวกทุกที่ทุกเวลา และสามารถพกพาไปชงได้เวลาไปต่างจังหวัดหรือต่างประเทศค่ะ

แถมท้ายกันด้วย เกล็ดเล็กๆของการชงกาแฟค่ะ

          1. ใช้น้ำสะอาด ชงกาแฟ
          2. ใช้เมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพ
          3. บดเมล็ดกาแฟให้พอชงในแต่ละครั้งจะทำให้กลิ่นกาแฟที่ชงหอม
          4. กาแฟ 1 ช็อต ใช้ น้ำ 60 ออน หรือ ใช้กาแฟ 2 ช้อนชา
          5. อุณหภูมิของน้ำที่ใช้ชงกาแฟควรอยู่ที่ 95-98 องศา
          6. ควรอุ่นถ้วยกาแฟก่อนใส่กาแฟเสมอ เพื่อให้กาแฟที่ได้ร้อนนาน
          7. ดื่มกาแฟที่ชงใหม่เสมอ อย่าเวฟกาแฟ เพราะจะทำให้เสียรสชาติกาแฟค่ะ
          8. แต่ถ้าชงแล้วเกินถ้วย ต้องใส่ในกระติกเก็บความร้อนไว้ดื่มทีหลังได้ค่ะ
          9. อ้อ! คนกาแฟก่อนเสริฟจะทำให้กลิ่น กาแฟหอมยิ่งขึ้นค่ะ
        10. สุดท้าย..เก็บล้างเครื่องชงกาแฟทุกวัน และทุกสัปดาห์ล้างด้วยน้ำผสมน้ำส้มสายชู กันกลิ่นแปลกปลอมที่จะทำให้รสชาติของกาแฟเปลี่ยนไป

          เดือนหน้า เดียร์จะนำผลดี ผลเสียของกาแฟมานำเสนอนะคะ
สวัสดี Chinese new year ค่ะ..

 

 
  -- เดียร์ --        
           
           
           

 

 

 

 
Home | About Bareo | News & Events | Art of Design | Decor Guide | The Gallery | Living Young | Talk to Editor | Links
 
บริษัท บาริโอ จำกัด
50 ซอยบรมราชชนนี 4 ถนนบรมราชชนนี เขตบางพลัด กรุงเทพฯ 10700 Tel. 66 2881 8536-7 Fax. 66 2881 8538
house servic, decoration design home architect architecture interior design designer homeplan residential furniture family decorat building build planning cost news information structure arch drawing apartment idea bangkok develop foreman bareo mareo bareo.tv เฟอร์นิเจอร์ การซ่อมแซมบ้าน วัสดุแต่งบ้าน ห้องนอน ห้องรับแขก ห้องอาหาร ออกแบบ ตกแต่งภายใน ออกแบบตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์ บ้านสวย มัณฑนากร สถาปัตย์ ตกแต่ง บารีโอ บาริโอ มาริโอ บริการ ปรึกษา รับสั่งผลิตเฟอร์นิเจอร์ตามแบบ รับเหมาตกแต่ภายใน วรวุฒิ ธรรมกุลางกูร มยุรี ธรรมกุลางกูร บาริโอดอททีวี