ไม้เนื้อแข็งหรือไม้เนื้ออ่อน?
ในบ้านเรา มักจะแบ่งไม้ออกตามความแข็งของผิวหน้า โดยแบ่งเป็นไม้เนื้อแข็ง และไม้เนื้อ อ่อน โดยไม้เนื้อแข็งมักจะได้แก่ไม้ที่นำไปใช้ในงานก่อสร้างอาคารทั้งหลาย เช่น ไม้ตะเคียน ไม้เต็ง ไม้ตะแบก เป็นต้น ส่วนไม้เนื้ออ่อน ได้แก่ ไม้สน ไม้ยางพารา เป็นต้น โดยจะมีไม้ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างไม ทั้งสองประเภทนี้ เช่น ไม้สัก (ทั้งที่แต่เดิมไม้สักเป็นไม้ที่ใช้ในการสร้างบ้านหรือเรือนไทย) ไม้แดง และ ไม้มะค่า เป็นต้น เนื่องจากจัดให้เข้ากลุ่มใดก็ไม่ได้ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การแบ่งชนิดของไม้แบบนี้ไม่ตรงตามหลักมาตราฐานสากล และผลที่ได้ยังไม่ค่อยแน่นอน เนื่องจากขาดมาตราฐาน ที่ถูกต้องในการวัดอีกด้วย
ตามมาตราฐานสากลแล้วเราจะแบ่งชนิดของไม้ ออกเป็นสองชนิดเท่านั้น คือ Hardwoods และ Softwoods โดยที่ Hardwoods ไม่ได้แปลว่าไม้เนื้อแข็ง และ Softwoods ก็ไม่ได้แปลว่าไม้เนื้ออ่อนแต่อย่างใด การแบ่งชนิดของไม้ว่าจะเป็น Hardwoods หรือ Softwoods ขึ้นอยู่กับประเภทของต้นไม้ โดยไม้ที่ได้มาจากต้นไม้ที่ไม่ผลัดใบ เช่น ต้นสน จะถูกเรียกว่า
Softwoods หรือบางครั้งอาจจะเรียกว่า Conifers หรือ Evergreens ก็ได้ ในขณะที่ ไม้ที่ได้มาจากต้นไม้ที่ผลัดใบจะถูกเรียกว่า Hardwoods ซึ่งบางครั้ง Hardwoods บางชนิด (เช่น ไม้ Poplar) อาจจะมีผิวหน้าที่อ่อนกว่า Softwoods บางชนิดก็ได้โดยปกติแล้ว Hardwoods จะมีราคาสูงกว่า Softwoods เนื่องจากมีลวดลายที่สวยงามกว่า (ไม้ Softwoods มักจะมีตาไม้ ซึ่งทำให้ไม้มีตำหนิ และความแข็งแรงลดลง)
และไม้ที่นิยมใช้ในงาน เฟอร์นิเจอร์ มักจะเป็นไม้ประเภท Hardwoods เป็นส่วนใหญ่ Hardwoods ในประเทศไทย ได้แก่ ไม้สัก ไม้เต็ง ไม้มะค่า ไม้แดง ไม้ตะเคียน ไม้ตะแบกเป็นต้น ส่วน Softwoods ได้แก่ ไม้จำพวกสนทั้งหลาย ไม้ยางพารา เป็นต้น ส่วน Hardwoods ที่นำเข้ายังประเทศไทย เพื่อใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ ได้แก่ Beech, Maple, Mahogany, Ash และ Oak เป็นต้น ในขณะที่ Softwoods ที่นำเข้าจากต่างประเทศ ได้แก่ White Pine, Sugar Pine รวมถึงไม้ตระกูล Pine (สน) ทั้งหมด
|