สบายดี หลวงพระบาง คือ จุดหมาย ของการเดินทางครั้งใหม่ ทริปนี้ถูกจัดขึ้นจากเสียงเรียกร้องของตัวเอง และเพื่อนๆ โดยส่วนตัวแล้ว เมืองหลวงพระบาง เป็นเมืองๆ หนึ่งที่อยู่ในความทรงจำ ะเคยไปเยือนมาแล้ว แต่ถ้าให้ไปอีกก็ไม่ลังเลเลยที่จะตอบตกลง  การเตรียมการเริ่มตั้งแต่ช่วงกันยายน เพื่อที่จะเดินทางในช่วงพีคที่สุด คือ ช่วงปีใหม่ ค่ะ

 

               เราเดินทางด้วยรถตู้วิ่งจากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางกบินทร์บุรี ผ่านวังน้ำเขียว เข้าโคราช ออกทางหนองคาย เพื่อข้ามสะพานมิตรภาพเส้นทางนี้เป็นทางที่สวย แต่ความสวยสามารถดึงความสนใจให้เราได้นิดหน่อยเท่านั้น เพราะความสนใจส่วนของสมาชิกทั้งคันรถ(รวมคนขับ อันนี้น่าหวั่นไหว) อยู่ที่ Princess hours ค่ะ

 

 


 
   
 

 

 

               กว่าจะข้ามแดนได้ก็ปาเข้าไปบ่าย 3 แล้วค่ะ ต้องเร่งทำเวลากันหน่อยแล้ว เพราะที่ผ่านมาเดี๋ยวแวะๆ เลยช้าไปหน่อย ระหว่างรอเช็คเอกสารแลกเงินกีบไว้ใช้จ่ายหน่อย ด้วยอัตราแลกเปลี่ยน 1 บาท แลกได้ 247 กีบ  5,000 บาท แลกได้ถึง 1,235,000 กีบ ฟังดูไฮโซอย่างงัยไม่รู้พกเงินเป็นล้านมาเที่ยว อิอิ


               วังเวียงเป็นจุดหมายแรกของการเดินทาง จากเสียงลือเสียงเล่าว่าที่นี่สวยมาก เปรียบดัง กุ้ยหลินเมืองลาว ที่เดียวค่ะ นักท่องเที่ยวบางคนยังบอกอีกว่าที่นี่เหมือนกับปายสัก 10-20 ปีก่อน แต่ในความรู้สึกของ hana ว่าไม่ใช่(ขอยกตัวเองเป็นผู้ชำชองปายคนหนึ่ง ก็ hana ไปเดินในปายมาแล้วถึง 5 ครั้ง) ที่นี่ไม่เหมือนปาย วังเวียงอาจจะเหมือนปายตรงที่ปายมีแม่น้ำปายไหลผ่าน วังเวียงมีน้ำซองไหลผ่าน ให้นักท่องเที่ยวสามารถนั่งเรือเรียบแม่น้ำชมวิวริมแม่น้ำ และกิจกรรมที่โดดเด่นคือ เล่นน้ำ และ นอนบนห่วงยางล่องแม่น้ำ ช่วงที่ไปอุณหภูมิน่าจะอยู่ที่ 15-20 องศาได้ จึงไม่มีใครอาจหาญลงน้ำค่ะ

 

               เรามาถึงวังเวียงเมื่อค่ำแล้วจึงแวะตลาดค่ำ มองหาอะไรกินสำหรับมื้อเย็น ร้านอาหารสองข้างทางของตลาดยามค่ำคืนของวังเวียง เต็มไปด้วยร้านอาหารกึ่งผับ ที่นั่งของร้านอาหารบางร้านและเป็นส่วนมาก ค่อนข้างโดดเด่นค่ะ เป็นที่นั่งกึ่งที่นอนก็ว่าได้ค่ะ อาจเป็นเพราะว่าที่นี่นักท่องเที่ยวส่วนมากเป็นชาวต่างชาติ การจัดร้านจึงเอาใจนักท่องเที่ยวพักแบบโฮมสเตย์ ที่มักมาพักยาวนาน ร้านอาหารจึงจัดที่นั่งสบายๆ ให้ทั้งแขกที่มาทานอาหารสามารถนั่งพักผ่อน จิบเบียร์ อ่านหนังสือได้

 

 

 
   
 

 


               เราทานอาหารที่ร้านจำปาทอง (เพราะหาร้านจำปาลาวที่มีคนแนะนำไม่เจอค่ะ) สั่งอาหารตามสั่ง 6 อย่าง บวกกับส้มตำอีกอย่าง เพราะมาถึงแดนนี้ก็ใครอยากลองว่าส้มตำต่างจากบ้านเราแค่ไหน เลยได้ส้มตำลาวจริงๆ ที่รสชาติประหลาดๆ นั่ววิเคราะห์กันตั้งแต่คำแรกจนคำสุดท้ายค่ะ ว่าที่ประหลาดคืออะไร แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่ปลาร้า อาหารมื้อนี้เราหมดไป 200,000 กว่าๆ กินกันแบบทำหน้าที่ว่าต้องกินไม่งั้นไม่มีให้กินอีกนะ ส่วนขนม Hana เสริฟเองจากร้านรถเข็นด้านหน้า เมนูแนะนำ pancake รสดังเดิม ใส่นม กับ pan cake banana honey milk ค่ะ ลองแล้ว pan cake banana honey milk ชนะขาดอร่อยมากๆ สมคำคำร่ำลืมว่ามาแล้วต้องอย่าลืมกิน แต่ความจริงที่บ้านเราก็มีนะคะแต่บรรยากาศอาจไม่ใช่เลยอร่อยไม่เท่ามั้ง เรียกซะหรูเชียว เพราะ pan cake banana honey milk คือ โรตีใส่กล้วยนั่นเองค่ะ แต่ราคาโหดไปนิดหนึ่ง 10,000 กีบ ถ้าจ่ายเงินไทยคิด 50 บาท ( extra charge โหดเชียวค่ะ)


               บ้านสบาย เป็นที่พักคืนแรกของพวกเรา ยามค่ำวคืนเรียกได้ว่าสวยทีเดียว แต่เมื่อเห็นตอนเช้าอีกครั้ง วิวหน้าที่พักติดริมน้ำซอง ทำให้เราชมความงาม จากภูเขาหินปูนที่โอบล้อมลุ่มแม่น้ำซองของ กุ้ยหลินเมืองลาว สร้างความประทับใจให้กับกรุ๊ปของเราอย่างมาก เราจึงตกลงเป็นเอกฉันท์ว่าขอออกเดินทางสายหน่อยอยากเดินเล่นแถวๆ ที่พักหน่อย เพราะตอนแรกที่ตั้งใจไว้ว่าจะออกแต่เช้าเพื่อจะได้แวะจิบกาแฟท่ามกลางสายหมอกจึงขอเลื่อนไปเป็นขากลับแทนค่ะ ส่วนวังเวียงตามโปรแกรมเราจะกลับมาที่อีกครั้งตอนขากลับ เพื่อเก็บรายละเอียดอีกครั้งค่ะ


 
   
 

 

 

               ก่อนออกเดินทางเราแจกยาแก้เมารถ เป็นตัวค้ำประกันว่าอาหารเช้าจะไม่ออกมาลงถังขยะ เพราะนี่คือโค้งของจริง กว่าระหว่างทางเราแวะกินเฝอ ครั้งแรกของการเดินทางที่จุดแวะพักรถ ไม่ถึงกับแย่แต่ก็พอกินได้ค่ะ และที่แน่ๆ ที่นี่มีคำตอบคำถามที่เราค้างกันมาตั้งแต่เมื่อคืนว่าในส้มตำใส่อะไรรสชาติเลยประหลาด คำตอบอยู่ในพวงเครื่องปรุงค่ะว่า ถ้าต้องการเพิ่มรสเค็ม เค้าเตรียมซีอิ้วขาว และ กะปิไว้ให้เลือกใส่ปรุงรส อ๋อ.. ถึงบางอ๋อเลยค่ะว่าเค้าใส่กะปิ แทนน้ำปลาค่ะ รสชาติและกลิ่นที่ประหลาดนั่นคือ รสชาติกะปินี่เอง


                ระหว่างทางผ่านหมู่บ้านม้ง เห็นว่าเป็นส่วนของลาวเหนือ กำลังมีประเพณีเลือกคู่ ไม่รอช้าค่ะ ขอแวะ ประเพณีง่ายๆ คือผู้บ่าว และผู้สาว แต่งตัวงามแต้ บางคนแต่งชุดประจำเผ่ามาเต็มยศ มาโยนลูกโยน คล้ายๆ ลูกบอลเล็กๆ โยนกันไป คุยกันไป ถ้าถูกใจก็จะแต่งงานกัน ว้าว... น่าสนใช่ไหมค่ะสาวๆ ที่สังเกตุเห็น คือ ผู้สาวบางคน hot  ค่ะ มี ผู้บ่าวถึง 2 คน ผลัดกันโยนให้ ดูกันอยู่พักหนึ่งโดนไกด์และคนขับตามค่ะ เพราะเดี๋ยวเข้าหลวงพระบางมืด

 

 
   
 

 


               กว่าจะถึงหลวงพระบางก็บ่าย 4 โมงเกือบๆ 5 โมงเย็นแล้ว เราเลือกกันว่าจะขึ้นพระธาตพูสี ซึ่งอาจไม่ทันพระอาทิตย์ตก เราจึงขอเข้าที่พักก่อน เฮือนพัก ไชโย ม่วนเชียง เป็นที่พักของเราในคืนที่ 2-3-4 ในหลวงพระบาง ไชโยเป็นสถาปัตยกรรมแบบ French colonial เป็นอาคารของข้าหลวงเก่า ที่ถูกดัดแปลงมาเป็นเฮือนพักสำหรับนักท่องเที่ยว ทางเจ้าของจัดได้น่ารักมากๆ ถูกใจนักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ค่ะ

               ที่นี่มี 2 อาคาร อาคารสูง 2 ชั้นด้านหน้า แต่เราได้ห้องพักในอาคารชั้นเดียวด้านหลัง หน้าห้องมีเก้าอี้นั่งเล่นสีเขียว วางเป็นระยะๆ ไว้ 2 จุด แต่ Hana จัดการต่อโต๊ะ และสภาโต๊ะเขียวของเราเริ่มต้นขึ้นที่นี่

               พักล้างหน้าล้างตา แล้วเราก็รวมพล ไปเดินสำรวจรอบๆ ที่พัก เดินผ่านวัดเชียงม่วนที่อยู่หน้าเฮือนพักออกไปเป็นบ้านเจ็ก ที่ตั้งอยู่บนถนนศรีสวงค์ และเดินย้อนลงริมแม่น้ำโขง เดินชะโงกดูเมนูตามร้านระหว่างเลือกว่าจะกินที่ไหนดี พบคนไทย 3 คนแนะนำร้านสุดาภรณ์ที่อยู่ห่างออกไป 2 ร้านว่าอร่อย และราคาไม่แพง เชื่อคนง่ายระดับนี้แล้ว ตรงไปเลยค่ะ ร้านนั้นเลย สลัดผักน้ำ คือเมนูแรก ที่สั่ง เพราะ สลัดผักน้ำเป็นอาหารพื้นเมืองของหลวงพระบาง(ตั้งเองค่ะ ไม่แน่ใจว่าคนอื่นคิดเหมือนกันหรือเปล่า) Hana เคยมากินครั้งก่อน แล้วอร่อยมาก ไม่ว่ากินร้านไหนก็จะอร่อยเหมือนกันหมดเลยค่ะ สั่งอาหารอีก 4 อย่างและสุดท้ายเป็นส้มตำค่ะ เรียกว่าท้าพิสูจน์ว่าที่นี่ส้มตำจะไม่อร่อยเลยหรอ แต่ครั้งนี้สมาชิกกรุ๊ปเรา สอนส้มตำไทยให้เค้าเสร็จเลย และก็ใช้ได้ทีเดียวค่ะ ส้มตำไทยอร่อยไม่แพ้ร้านดังบางร้านค่ะ

 

 

 
   
 

 


               สลัดผักน้ำเสริฟเป็นจานแรก เรียกความประทับใจให้กับทั้งโต๊ะ โดยเฉพาะมาดาม..สาววสยจากเบตงกรี๊ดอย่างแรง ผักน้ำเป็นผักพื้นบ้านที่มีปลูกเฉพาะที่เบตงเหมือนกัน หลังจากผันตัวเองมาเป็นสาวชาวปทุม มาดามก็จากผักน้ำมา และมาพบเจออีกครั้งที่นี่ ร้านนี้อาหารอร่อยทุกอย่างสมคำแนะนำค่ะ อ๋อ..พวกเราเกือบได้กินหนังควายด้วยค่ะ ถ้าไม่แอะใจถามก่อน แจ่วบ่อง น้ำพริกพื้นบ้าน มีส่วนผสมของหนังควายค่ะ ใครจะสั่งอาหารถามก้นนิดก็ดีกันพลาดค่ะ

 

               ปิดโปรแกรมสำหรับคืนแรกในหลวงพระบางด้วยตลาดมืดค่ะ ที่เรียกว่าตลาดมืดเพราะ คำว่า มืด หมายถึง กลางคืน มิใช่ตลาดขายของผิดกฎหมายแต่อย่างใดค่ะ ตลาดมืด จะเริ่มกางเต้นตั้งร้านบริเวณถนนด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ยาวไปจนถึงหน้าไปรษณีย์ เราเดินกันจนตลาดวายค่ะ ก็กว่าจะเข้าที่พักก็เกือบเที่ยงคืนค่ะ ก่อนแยกย้ายเข้าห้องพัก นัดหมายเวลากันหลวมๆ ว่า พรุ่งนี้ตักบาตรข้าวเหนียวกันใครตื่นไหวเจอกัน 6 โมงครึ่งนะจ๊ะ ใครเพลียอยากนอนต่อก็มีอีก 2 เช้าให้แก้ตัว

 

               ในการมาเยือนหลวงพระบางแต่ละครั้ง ต่างทั้งเวลาและสภาพแวดล้อมที่ต่างกันไป แต่เสน่ห์ของหลวงพระบางก็ยังคงอยู่ ครั้งนี้ก็เช่นกันค่ะ (..ต่อ เดือนหน้านะคะ)

 

-- Hana --

 

 
   
 

 

 

 

 


บริษัท บาริโอ จำกัด

50 ซอยบรมราชชนนี 4 ถนนบรมราชชนนี เขตบางพลัด กรุงเทพฯ 10700   Tel. 66 2881 8536-7   Fax. 66 2881 8538