home
about bareo
news & event
art of design
decor guide
the gallery
living young
talk to editor
links
 
 



                 ผ่านช่วงปิดเทอมใหญ่มาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว รำเพยก็เลยมีเวลาว่างมากขึ้นอีกนิดนึง เพราะไม่ต้องคอยตามดูแลหลานซนๆ ที่คอยไปวุ่นวาย รื้อโน่น ย้ายนี่ ให้ปวดหัวเล่น แต่จะว่าไป การที่มีหลานมาคอยป่วนช่วงปิดเทอมนี่ก็ดีไปหลายอย่างเหมือนกัน เช่น ใช้ให้วิ่งไปหยิบของอันโน้นอันนี้ก็ได้ ไม่ต้องเหนื่อยไปหยิบเอง หรือชวนมาดูหนังเป็นเพื่อนกันก็ได้ เพราะหลานหยุดหลายวันเข้า ก็หมดเรื่องหมดทางซน เลยต้องจำยอมนั่งดูละครซีรีส์เป็นเพื่อนรำเพย แต่พอดูไปเรื่อยๆ ก็ชักติดใจ พอเข้าวันเสาร์อาทิตย์ ดึกดื่นก็ไม่ยอมหลับยอมนอน เจ้าหลานตัวดีก็ปลุกน้าขึ้นมาถ่างตาดูจนกว่าเรื่องจะจบ เล่นเอาโทรม มาถึงที่ทำงานเช้าวันจันทร์ โดนเจ้านายดุซะอีกว่า ทำหน้าตาไม่สดใสเลย...เฮ้อ...

 

ความที่ได้ดูหนังซะเยอะในช่วงปิดเทอม รำเพยเลยมีอะไรมาโม้ให้ฟังแยะเชียวค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หนังที่มีประโยชน์ ให้ความรู้ ดูได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่นี่ มีเป็นกระบุงทีเดียว สำหรับวันนี้ รำเพยเลยอยากจะมาเล่าให้ฟังถึงหนังสองเรื่อง เป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องนึง และละครซีรีส์ญี่ปุ่นอีกเรื่องนึง ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันเท่าไร แต่บังเอิญว่าทั้งสองเรื่องนี้ ได้พยายามสื่อให้ผู้ชมได้รู้จักกับวัฒนธรรมของประเทศของตัวเหมือนๆ กัน...

 

 

 
 
 
 

 

 

                 เริ่มต้นกันที่ ภาพยนตร์เรื่อง “Australia” ก่อนก็แล้วกันนะคะ ดูจากดารานำแสดงก็ตื่นตาตื่นใจแล้ว ไม่ว่าจะเป็น Hugh Jackman หรือ Nichol Kidman แค่ดูสองคนนี้แสดงก็น่าจะคุ้มกับราคา DVD แล้วค่ะ สำหรับเรื่องนี้ รำเพยนั่งดูไปสามรอบ ภายในสามวัน... แหม...ฟังดูเหมือนสนุกจนต้องดูซ้ำเลยนะเนี่ย แต่ความจริงแล้ว คือรำเพยดูไปก็หลับไป แต่ละรอบดูได้ไม่ถึงสี่สิบนาที บางรอบดูได้ยี่สิบนาทีก็หลับปุ๋ยแล้ว ไม่เหมือนกับหลานของรำเพย ดูรอบเดียวผ่าน เอ๊ย จบเลย ถามดูก็บอกว่าสนุกดี แต่รำเพยกลับรู้สึกว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ ค่อนข้างที่จะ Fake ไปหน่อย คือ จุดประสงค์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ คือการโปรโมตประเทศออสเตรเลีย ให้คนรู้สึกอยากไปเที่ยว แต่รำเพยดูแล้ว มันเหมือนจะพยายามมากเกินไปหน่อย คือเรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นที่นางเอกต้องออกเดินทางจากอังกฤษมาตามหาสามีที่หลงใหลในการทำฟาร์มในออสเตรเลีย แต่ดูเหมือนอีตาสามีนี้จะฉลาดน้อยไปหน่อย คือเลือกใช้คนผิด เลยโดนหลอกไปสังหารซะ ทำให้นางเอกของเราต้องกอบกู้ธุรกิจขึ้นมา ด้วยความช่วยเหลือของพระเอก ซึ่งเป็นคนที่สามีบอกว่า “ไว้ใจได้มากที่สุด” (รำเพยแอบสงสัยว่า ถ้ารู้ซะอย่างนี้ ทำไมไม่จ้างพระเอกซะตั้งแต่ต้น จะได้ไม่ต้องวุ่นวาย ไม่รู้จะไปจ้างผู้ร้ายทำไม หน้าตาออกขี้โกงปานนั้น)

 

 

 
 
 
 

 

 

                 ว่าแล้วนางเอก ก็อาศัยความช่วยเหลือของพระเอก ทำให้สามารถฟันฝ่าอุปสรรค สามารถพาวัว 1,500 ตัว ข้ามแม่น้ำไปขายที่ท่าเรือได้สำเร็จ จากนั้น นางเอกก็ได้กลับสู่ความร่ำรวยเช่นเดิม และก็ได้อยู่กับพระเอก ซึ่งงนอกจากจะดูแลฟาร์มแล้ว ก็จะขอออกไปรับจ้างต้อนวัวเป็นช่วงๆ

 

                 อ่านจากพล็อตแล้ว ก็ดูเหมือนจะโอเคดี แต่พอดูเข้าจริงๆ รำเพยพบว่าภาพยนตร์มีการเดินเรื่องแบบที่คาดเดาได้ล่วงหน้า ไม่มี Surprise อะไรให้ตื่นเต้น ทุกอย่าง ทุกช็อต ล้วนเคยเห็น เคยผ่านตามาแล้วทั้งสิ้น (ไม่รู้จะเว่อร์ไปมั้ยนั่น) เลยทำให้รำเพยไม่สามารถดูผ่านตอนนี้ไปได้ (อันที่จริง หนังเรื่องนี้ “ยาว” มากๆ ที่เล่ามา น่าจะได้แค่ครึ่งเรื่องเองมั๊ง...) แต่เท่าที่ดู รำเพยว่าค่อนข้างเสียความรู้สึกอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นตัวดารานำแสดง ที่ผู้กำกับพยายามทำอะไรบางอย่าง ที่สื่อออกมาแล้ว “เชย” สุดๆ เช่น ฉากให้พระเอกมาอาบน้ำตรงที่พัก และนางเอกโผล่หน้าจากเต้นท์มาเห็นเข้าพอดี ดูแล้วเหมือนกำลังนั่งอ่านเรื่อง เพชรพระอุมา ยังไงยังงั้นเลยค่ะ หรือฉากที่ให้นางเอกพยายามทำท่าเป็นผู้ดีอังกฤษ ท่ามกลางป่าเขา รำเพยว่า นิโคล เธอสวยเกินไป ทำท่าแล้วดูไม่น่ารัก ไม่เหมือน เรเน่ เซลวีเกอร์ ที่น่าจะรับบทนี้ได้ดีกว่า ดูเข้ากับบทมากกว่า (เสียตรงที่ เซลวีเกอร์ ไม่ใช่คนออสเตรเลียน เลยอดรับบทนี้ไป)

 

 

 
 
 
 

 

 

                 ส่วนการนำเอาเด็กผิวสี มาทำหน้าที่เป็นตัวเอกคอยเชื่อมเรื่องราวนี้เข้าด้วยกัน ก็ดูไม่มีพลังพอ ทำให้เด็กดูเหมือนจะเป็นส่วนเกิน เพราะจะให้เป็นตัวนำก็ไม่ได้ ถูกสองดาราข่มไปหมด และจะให้เป็นตัวประกอบก็ไม่ลงตัวอีก เลยเป็นภาระของหนังที่จะต้องจัดการให้ลงตัว เลยทำให้เด็กคนนี้ โผล่มาบ้าง ไม่มาบ้าง ตามแต่ความจำเป็น แล้วยิ่งพยายามฟังบทพูดของเด็ก ก็จะทำให้รู้ได้เลยว่า เป็นบทพูดที่คิดโดยคนผิวขาว แล้วจับใส่ลงในปากของเด็กผิวสีเท่านั้น ไม่น่าจะใช่บทพูดของเด็กผิวสี หรือคนผิวสีเองเลย ซึ่งรำเพยว่าตัดบทเด็กคนนี้ทิ้ง ยังจะดีกว่า ทำให้เรื่องกระชับขึ้นเยอะ และลดการ Fake ลง

 

 

 
 
 
 

 

 

                 สำหรับตัวประกอบอื่นๆ ก็เหมือนกับเด็กผิวสี คือมีบ้าง ไม่มีบ้าง ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของเนื้อเรื่อง บางที ก็โผล่เข้ามา บางทีก็หายเงียบไป ทำให้รู้สึกเหมือนดูหนังที่ตัดต่อไม่สมประกอบเลยค่ะ ไม่รู้ว่าจะติแรงไปมั้ย แต่รำเพยว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้ ไม่สามารถสื่อให้เห็นถึงความเป็นออสเตรเลียได้เลย เหมือนจะเป็นแค่หนังเกรดบีที่พยายามลอกเลียนแบบหนังดังในอดีตของฮอลลีวู๊ด แต่บังเอิญได้ดาราดังมากๆ มานำแสดงแค่นั้น เสียดายจริงๆ ลงทุนตั้งเยอะ ได้แค่หนังธรรมดาๆ มาเรื่องนึงเท่านั้นเอง และรำเพยคงไม่ไปดูต่อให้จบ ยกเว้นแต่จะใช้แทนยานอนหลับเท่านั้นแหละค่ะ

 

 

 

 
     
 

 

 

                 หลังจากที่เสียความรู้สึกกับออสเตรเลียไปพอสมควร รำเพยก็ได้มีโอกาสดูละครซีรีส์ของญี่ปุ่นเรื่อง OSEN ชื่อไทยรู้สึกจะชื่อว่า “โอเซน เจ๊สาวเจ้าตำรับ” ซึ่งตอนแรก รำเพยก็ไม่คาดหวังอะไรมาก เพราะมีคนบอกว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการทำอาหารญี่ปุ่น โดยพระเอกจะทำงานในร้านขายอาหารญี่ปุ่นในย่านการค้า แล้วก็รู้สึกว่านั่นไม่ใช่ร้านอาหารญี่ปุ่นแท้ๆ แต่เป็นร้านที่ตั้งใจขายนักท่องเที่ยวซะมากกว่า เพราะพระเอกมีความมุ่งมั่นที่อยากจะทำอาหารญี่ปุ่นในรสชาดแบบญี่ปุ่นแท้ๆ เหมือนที่เคยลิ้มชิมรสตอนเด็กๆ ดังนั้น พระเอกจึงตัดสินใจลาออก และไปสมัครงานที่ร้านอาหารญี่ปุ่นแบบเก่าที่ตนเองเคยประทับใจ

 

 
   
 

 

 

                 แต่พอไปถึง ก็ไปเจอกับเจ้าของร้าน เป็นสาวสวยหน้าตาน่ารักสุดๆ (ดูไม่เหมือนเจ๊เลย แต่ดูเหมือนเด็กหน้าตาน่ารักมากๆๆๆๆๆ ที่มาใส่ชุดกิโมโน แถมยังมารยาทดี เลยทำให้รำเพยอยากกลับไปเที่ยวญี่ปุ่นอีกสักรอบซะแล้วล่ะ) นางเอกสาวน่ารักนี้ รับช่วงการบริหารร้านมาจากแม่ เลยทำให้พระเอกออกอาการเหวอไปพอสมควรในช่วงแรกๆ เพราะไม่คาดว่าจะเจอกับเจ้าของร้านอายุน้อยขนาดนั้น จากนั้น พระเอกก็ต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมการทำงานของที่ร้าน ซึ่งแตกต่างจากวิธีการทำงานที่เราๆ ท่านๆ คุ้นเคยกันเป็นอย่างมาก

 

 

 
   
 

 

 

พระเอกก็ได้เรียนรู้และเข้าใจวิธีการทำอาหารแบบญี่ปุ่นที่ดั้งเดิม ที่เน้นในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องวัตถุดิบทุกประเภทอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ผ้าขัดลอกเปลือกมันฝรั่ง แทนที่จะใช้มีดปอกเปลือกออกซึ่งจะทำให้สูญเสียความอร่อยของเนื้อมันส่วนที่ติดเปลือกไป หรือการหั่นหัวใช้เท้าโดยไม่เจียนขอบ เพื่อไม่ให้เสียเศษวัสดุ แต่ได้ผลงานที่สวยงามและเอร็ดอร่อย ที่สำคัญที่สุด คือพระเอกเรียนรู้ถึงศิลปะของการทำอาหาร ที่ต้องใช้ความประณีตและทักษะที่ฝึกฝนอย่างหนัก รวมทั้งยังต้องเอาใจใส่ต่อลูกค้าทุกรายที่มาที่ร้าน ซึ่งมีความต้องการในรสชาดของอาหารที่ไม่เหมือนกันอีกด้วย

 

 
   
 

 

 

สำหรับเรื่องนี้ รำเพยดูซ้ำได้อย่างสนุกและสบายใจ และสามารถให้สิบดาวได้อย่างเต็มปาก เพราะเป็นนเรื่องที่ดูได้ง่ายทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แถมยังได้ความรู้ และได้เห็นความงดงามของวัฒนธรรมของประเทศญี่ปุ่นที่สอดแทรกไว้ในเรื่องได้อย่างกลมกลืน

 

และความกลมกลืนนี้เอง ที่ได้ใจรำเพยไปอย่างเต็มๆ รำเพยมีความสุขตลอดเวลาที่นั่งชมซีรีส์เรื่องนี้ ไหนจะได้ดูพระเอก นางเอกหน้าตาน่ารักในชุดกิโมโน แล้วยังได้เคล็ดลับการทำอาหารญี่ปุ่นที่นำไปใช้ได้จริง แถมยังได้ทราบซึ้งกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม โห...มีความสุขล้นเหลือเชียวค่ะ

 

นอกจากนี้ ยังมีการสอดแทรกทัศนคติที่ดีของการทำงาน โดยเน้นที่การมีความสุขกับการทำงาน และมองไปที่ผลสำเร็จของงานที่ไม่ใช่แค่ตัวเงิน ทำให้รำเพยและหลานๆ ได้รู้ว่าความสุขของคนเรานั้น ไม่ได้อยู่ห่างไกลที่ไหนเลย แค่เปลี่ยนมุมมองของเราเสียใหม่ อย่ามองว่างานเป็นปัญหา แต่ให้มองว่างานเป็นหนทางแห่งความสุขที่เราเลือกที่จะอยู่กับมัน และทำให้ทุกวันทำงานของเราเป็นวันที่เราได้มีความสุข แค่นั้น ก็เพียงพอที่จะทำให้ชีวิตเราสดใสขึ้นมากๆ แล้ว

 

 
   
 

 

 

และในเรื่อง ก็จะมีการสอนวิธีการทำอาหารญี่ปุ่นแบบง่ายๆ แต่อร่อยจริงๆ ให้ด้วยค่ะ รำเพยเลยได้ลองทำเล่นกับหลานๆ ที่บ้าน อู้ฮู...สุดยอดเคล็ดลับทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นการทำข้าวแบบขลุ๊กขลุ๊ก เสร็จแล้วจะได้ข้าวรูปกลมๆ สวยๆ หรือการทำซุปมิโซแบบอร่อยสุดๆ (ลืมซุปมิโซสำเร็จรูปไปได้เลยค่ะ) รวมทั้งสอนให้รำเพยได้เข้าใจเกี่ยวกับอาหารประเภท “สุกี้ยากี้” ใหม่หมด ว่าอาหารประเภทสุกี้ยากี้นั้น ไม่ใช่อาหารต้ม แต่เป็นอาหารประเภทย่างต่างหาก...

 

แล้วยังมีการหุงข้าวด้วยฟาง หรือเมนูหมูหมักเกลือย่าง ท่าทางน่ากินชะมัด รวมถึงเมนูอื่นๆ ที่รำเพยยังไม่เคยกิน และยังไม่เข้าใจก็มี แต่ดูโดยรวมแล้ว ประทับใจมากๆ

 

เห็นมั้ยคะ ว่าบางครั้งการยัดเยียดอะไรลงไปในหนังมากๆ อย่างเรื่องออสเตรเลียก็ไม่ได้ผลดี เท่ากับการค่อยๆ สอดแทรกเข้าไปอย่างกลมกลืนอย่างเรื่อง Osen ทั้งๆ ที่เป็นหนังที่ต้นทุนต่ำกว่า ดารานำแสดงก็อยู่ในนระดับที่แตกต่างกันมาก แต่ผลที่ได้ กลับเป็นว่าเรื่อง Osen ประสบผลสำเร็จในการเชิญชวนให้รำเพยเกิดความอยากไปเที่ยวมากกว่า แถมยังรู้สึกว่าต้องเก็บตังค์เยอะๆ สักหน่อย เพื่อจะกินที่ร้านอร่อยๆ แบบนั้นบ้าง... แค่คิดก็แทบอดใจรอไม่ไหวแล้วค่ะ

 

สำหรับผู้อ่านที่สนใจเรื่อง Osen คงต้องลำบากสักหน่อยในการหาซื้อเอาตามร้านเล็กๆ แต่รำเพยว่า คุ้มค่าสุดๆ ไปเลยค่ะ

 

 
   
 

 

-- รำเพยรำพัน --

 

 
     
           

 


บริษัท บาริโอ จำกัด

50 ซอยบรมราชชนนี 4 ถนนบรมราชชนนี เขตบางพลัด กรุงเทพฯ 10700   Tel. 66 2881 8536-7   Fax. 66 2881 8538