บ้านพักอาศัยในโครงการ The Royal Residence

“Classic” นั้นเป็นคำที่เราคุ้นหูและเป็นสไตล์การตกแต่งบ้านที่เป็นที่นิยมสไตล์หนึ่งที่นำเอารูปแบบในอดีตกลับมาใช้ใหม่ ให้เข้ากับชีวิตในปัจจุบัน ลองสังเกตดูสิคะว่าปัจจุบันเรามักจะโหยหาถึงอดีต “Nostalgia of the present” กันอยู่เสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นการแต่งตัวที่ทุกซีซั่นจะต้องได้รับแรงบันดาลใจจากสมัยก่อนยุคใดยุคหนึ่ง ส่วนหนังไทยบ้านเราช่วงนี้ก็มีหนังสไตล์เรโทรออกมาฉาย ส่วนเรื่องของดนตรีร่วมสมัย ศิลปินยุคใหม่ก็มักจะได้รับอิทธิพลจากเพลงยุคก่อนๆ และหากจะหยิบบทเพลงคลาสสิกมาเปิดให้คุณได้ฟังสักเพลง พร้อมกับการพาไปทัวร์บ้านงามหลังนี้ คงต้องขอเลือกเพลงคลาสสิกที่บรรเลงดัง อลังการของเบโธเฟ่นมา serenade คุณไปพร้อมๆกับรีวิวชิ้นนี้...

เพื่อมิให้ท่านผู้อ่าน งุนงงและสับสน คงต้องขอออกตัวก่อนว่า บทความนี้เป็นภาคต่อของบ้านหลังใหญ่ในโครงการ The Royal Residence บนถนนเกษตร-นวมินทร์ ที่คุณรำเพยเคยเขียนบรรยายในส่วนชั้นล่างไว้แล้ว ตาม Linkนี้ และจากนี้ไป เราจะขึ้นไปดูชั้นบนกันค่ะ

โดยภาพรวม Concept ของบ้านจะเน้นความหรูหราใน Style, Space และรายละเอียด โดยมีการใช้โทนสีขาวและครีม เป็นสีพื้นฐานของบ้าน แต้มด้วยสีหลักที่โดดเด่นตามความชอบของเจ้าของในแต่ละห้อง และมีการดึงเอาแสงต่างๆ ทั้งแสงธรรมชาติและแสงโคมไฟเข้ามาสร้างบรรยากาศให้ดูคลาสสิก และอบอุ่นไปพร้อมกัน

โดยเรื่องราวของชั้นสองจะเริ่มต้นขึ้นที่ส่วน Pantry หน้าห้องที่จะเป็นพื้นที่ให้สมาชิกในครอบครัว ได้มาพบปะสังสรรค์กัน ก่อนแยกย้ายเข้าห้องนอน และตื่นขึ้นมาอรุณสวัสดิ์ทักทายกันในตอนเช้า ได้นั่งทานกาแฟหอมๆ โดยไม่ต้องลงไปใช้บริการในห้องทานอาหารใหญ่ หรือครัวชั้นล่าง
โดยห้องนี้จะมีซุ้มประตูโค้งที่เชื่อมต่อไปยัง Zone ด้านหลัง ที่ประกอบไปด้วยห้องนั่งเล่น ห้องพระ และห้องนอนของลูกชายคนโต ซึ่งมีการตกแต่งให้ดูเบาๆ หวานๆ และออกแนวสบายๆ เสริมด้วยชุดโต๊ะกลมขนาด 4 ที่นั่ง พร้อมเก้าอี้แบบ Federal Period ของ American ได้เป็นอย่างดี

เรามาแวะดูที่ห้องนอนใหญ่กันนะคะ เป็นงานออกแบบในสไตล์โรมันคลาสสิกที่เห็นได้อย่างเด่นชัด สังเกตได้จากเสาแกะสลักแบบโรมันที่โดดเด่นและคุ้นหน้าคุ้นตากันดี เสริมด้วย Motif ที่ดูอ่อนช้อยกระจายไปตามหัวเสา ก้านโคมไฟ ลายโซฟา รวมทั้งผ้าบุเก้าอี้ที่เข้าชุดกันเป็นอย่างดี โดยกำหนดให้เฟอร์นิเจอร์ต่างๆของห้องเป็นไม้สีเข้มตัดกับโทนสีครีม เสริมด้วยม่านสีน้ำตาลเป็นฉากหลัง
และด้วยความที่ห้องนอนห้องนี้มีขนาดใหญ่มาก จึงแบ่งได้เหมือนห้อง Suite ขนาดใหญ่ ที่มีทั้งส่วนนอนและส่วนนั่งพักผ่อน พร้อมห้องแต่งตัวถึง 2 ห้อง (สำหรับเจ้าของบ้านหญิงและชาย) ต่อด้วยห้องน้ำขนาดใหญ่ที่มี Function ครบครัน
ดิษฐวัฒน์, Interior Designer คนเก่งของเราเริ่มต้นการตกแต่งห้องนี้ด้วยการจัดวางเตียงนอนแบบ Federal Period และตกแต่งหัวเตียงด้วย Wallpaper แบบหรูหราพร้อมจัดชุดโซฟาไว้ปลายเตียง เพื่อใช้นั่งพักผ่อนและดู TV ซึ่งติดตั้งที่ผนังปลายเตียง และเนื่องจากผนังนี้มีความยาวค่อนข้างมาก Designer จึงจัดแบ่งผนังเป็นส่วนๆ อย่างชาญฉลาด ตามประโยชน์ใช้สอยที่แท้จริง ตั้งแต่ที่วาง LED TV ที่มาพร้อมกับ Console แบบเตาผิง ภายในซุ้มเสาโรมันที่อยู่กลางห้อง ส่วนตู้ถัดไปด้านในสุดก็จะเป็น Minibar ในขณะที่ซุ้มด้านหน้าประตู ก็จะเป็นทางเข้าที่เชื่อมต่อไปยังห้องแต่งตัวหลัก และห้องน้ำใหญ่ค่ะ

ห้องแต่งตัวหลัก จะเป็นห้องที่เชื่อมต่อระหว่างส่วนนอนกับห้องน้ำ ซึ่ง Designer ก็ได้จัดวางโต๊ะแต่งตัวเข้ากับสไตล์อย่างหรูหรา รับกับซุ้มกระจกเงาบานใหญ่ตกแต่งด้วยเสาโรมัน ที่เพิ่มมิติให้กับห้องได้เป็นอย่างดี โดยผนังที่รายล้อมด้านข้าง ก็จะมีตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่สูงจรดเพดาน เพื่อเน้นประโยชน์ใช้สอยด้านการจัดเก็บได้อย่างเต็มที่ เหมาะสำหรับเจ้าของห้องที่มีเสื้อผ้าที่หลากหลายและมีปริมาณมากเช่นนี้

ส่วนห้องน้ำขนาดใหญ่นี้ ถูกแบ่งพื้นที่ใช้สอยออกเป็นห้องย่อยๆ อีกสองห้องด้วยผนังกระจก ได้แก่ห้องอาบน้ำแบบ Shower และห้องสุขภัณฑ์ และในส่วนกลางก็จะจัดวางอ่างล้างหน้าบนเคาน์เตอร์ไม้โค้งสีขาว รับกับกระจกเงาเขียนลายทอง ที่ติดตั้งบนผนังกรุหินอ่อน Cremafel ทั้งสองฝั่ง เพื่อให้ใช้งานได้พร้อมกันทั้งสามีและภรรยา ในขณะที่ใจกลางของห้องน้ำก็จะมีอ่างอาบน้ำแบบ Jacuzzi ภายใต้หลังคากระจกใสแบบ Bay Window เหมาะสำหรับการอาบน้ำแบบผ่อนคลาย พร้อมจิบแชมเปญเคล้ากับอาบน้ำอุ่นๆ ดื่มด่ำกับบรรยากาศในตอนกลางคืน นอกจากนี้ ภายในห้องยังมีการตกแต่งเพดานเป็นลายดอกไม้เพื่อเพิ่มความอ่อนหวาน รับกับโคม Chanderlier ที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์

มาดูกันที่ห้องนอนของเจ้าของบ้านฝ่ายหญิงกันบ้างนะคะ ไฮไลท์ของห้องนี้เห็นจะเป็นซุ้มหัวเตียงที่นำแรงบันดาลใจมาจากยุค Empire ของฝรั่งเศส ทำจากผ้าม่านโปร่งสีชมพูกุหลาบสลับด้วยผ้าม่านสีน้ำตาลทองหุ้มบนหัวเตียงบุผ้าแบบคลาสสิก โทนสีโดยรวมในห้องนี้เป็นโทนสีขาวครีมเพื่อขับสีชมพูให้หวานขึ้น และมีการจัดวางเตียงนอนพร้อมเก้าอี้นั่งพักผ่อนในรูปแบบเดียวกับห้องนอนใหญ่ เพื่อให้สามารถดู TV ได้จากทั้งสองจุดไม่ว่าจะนั่งพักผ่อน หรือก่อนเข้านอนก็ตามค่ะ
ส่วนห้องแต่งตัวของห้องนี้ ก็จะมีตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ตกแต่งด้วยลวดลายแบบ American Empire สีขาวสลับกระจกเงา และจัดวางตู้แบบ Island กลางห้อง เพื่อจัดเก็บเครื่องประดับ และใช้วางเสื้อผ้าตอนจัดลองชุด ซึ่งตู้นี้ ก็จะมีลิ้นชักสำหรับเก็บเสื้อผ้าและเครื่องประดับอื่นๆ

ต่อด้วยห้องนอนของลูกชายคนโตที่ดูขรึมด้วยโทนสีน้ำตาลในส่วนผ้าม่านที่ใช้เป็น Background ของงานออกแบบ และเพิ่มจุดเด่นด้วยหัวเตียงหุ้มผ้าสีน้ำตาล Amber Brown ตัดกับตู้หัวเตียงสีครีมที่มีรูปแบบเป็นเอกลักษณ์ ในขณะที่ส่วนปลายเตียงจะจัดวางชุดเครื่องเสียงของ Meridian ที่ทรงพลังบนเฟอร์นิเจอร์แบบร่วมสมัยขึ้น

เสร็จแล้ว เรามาดูห้องนอนของลูกสาวกันบ้างนะคะ งานออกแบบยังคงเน้นความอ่อนหวานเป็นเฟมินีน ไฮไลท์ของห้องนี้คือม่านโปร่งสีขาวที่พันพาดลงมาจากข้างบนคลุมเตียงนอนสี่เสาแบบสั้น สร้างความรู้สึกเช่นเดียวกับกับห้องนอนของเจ้าหญิงในเทพนิยาย และบนเพดานยังตกแต่งด้วยโคมไฟที่ดูคล้ายกับเชิงเทียนราวกับมงกุฎ รับกับซุ้มโค้งภายในห้องและตู้เสื้อผ้าที่ตกแต่งหน้าบานด้วยลายประดับเล็กๆ ที่สวยงาม
เป็นอย่างไรบ้างคะกับงานตกแต่งภายในของบ้านหลังนี้ ที่ต้องบอกว่า “ละเมียด” ทั้งหลัง ตั้งแต่ Concept ลงลึกไปจนถึงรายละเอียดของลายแกะและวัสดุประดับตกแต่งเชียวค่ะ และแม้ว่าจะเขียนมาถึง 2 ตอนแล้ว แต่ก็ยังมีห้องเล็ก ห้องน้อยอีกหลายห้อง ที่เรายังไม่ได้แวะไปชมกันเลย จึงคาดว่าคงต้องเก็บตกและต่อตอนสุดท้ายในเดือนถัดไปกันแล้วล่ะค่ะ สำหรับผลงานในระดับ Masterpiece อีกชิ้นหนึ่งของ Bareo & Isyss อย่าลืมแวะมาติดตามกันต่อในเดือนหน้านะคะ

By Aesthete