Neo-Classic คือการกลับมาของยุค Classic
เมื่อกาลเวลาผ่านไป อาณาจักรโรมันก็ค่อยๆเสื่อมถอยและถูกกลืนไปในที่สุด อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่นี้ก็เหลือทิ้งไว้เพียงซากสถาปัตยกรรมที่เคยอลังการและยิ่งใหญ่ รวมทั้งภูมิปัญญาที่ส่งต่อไปยังยุคสมัยต่อมา
อย่างไรก็ดี รูปแบบกรีกและโรมัน หรือที่นิยมเรียกว่ารูปแบบ Classic นี้ก็ยังได้มีอิทธิพลต่อ
รูปแบบงานตกแต่งภายในและ สถาปัตยกรรมอื่นๆ ที่ตามมาอย่างต่อเนื่องไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม และเป็นราก ฐานสำคัญของรูปแบบอื่นๆ ที่ตามมาโดย เฉพาะอย่างยิ่ง Renaissance หรือ Baroque และถึงแม้ว่าในยุคที่ รูปแบบอื่นๆ เป็นที่นิยมอย่างมาก แต่รูปแบบ Classic มักจะปรากฏสอดแทรกให้เห็นอยู่เสมอ
แต่การกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของรูปแบบ Classic อย่างจริงจังได้ เกิดขึ้นหลังจากยุคของกรีกและโรมันนับเป็นพันปี โดยมีการค้นพบเมืองของโรมัน คือ เมือง Pompeii ทำให้เกิดกระแสนิยมรูปแบบกรีกและโรมันขึ้นมาอีกครั้งโดยเริ่มแรกได้เกิดขึ้นใน ประเทศฝรั่งเศสในยุคของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ที่มีการนำเอารูปแบบของกรีกมา ผสมเข้ากับรูปแบบ Rococo ที่เป็นที่นิยมอยู่ ในเวลานั้น จากนั้นเมื่อนโปเลียนได้ขึ้นครองราชย์และปกครองประเทศฝรั่งเศสสืบต่อรูปแบบ Neo-Classic ก็ได้พัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง โดยมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากขึ้น เช่น รูปแบบเฟอร์นิเจอร์ ที่ทึบตัน มีรูปประดับประเภท Sphinx ติดปีกและมีการประดับประดาอย่างมลังเมลือง และมี ชื่อเรียกเฉพาะว่า "Empire"
จากนั้นรูปแบบ Empireก็ได้แพร่หลายไปทั่วยุโรป โดยเข้าไปในประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศคู่สงครามในสมัยนั้น และมีชื่อเรียกที่เปลี่ยนไปว่า "Regency" (โดยทั่วไป รูปแบบ Regency
จะโปร่งเบากว่าEmpire และมีการประดับประดาน้อยกว่า) หลังจากนั้นอีกหลายสิบปี ก็ได้แพร่เข้าไปใน
เยอรมันและออสเตรีย ในนามของ "Biedermeier" ที่มีลักษณะเด่นในการใช้ไม้ที่งดงามก่อนที่จะส่ง
อิทธิพลไปในประเทศอเมริกา ภายใต้ชื่อของ "Federal" ซึ่งรวมแล้ว รูปแบบ Neo-Classic มีอิทธิพลต่อ
งานตกแต่งภายในของ ยุโรปและอเมริกาในยุคนั้น ภายใต้ชื่อต่างๆ เป็นเวลานานกว่าร้อยปี และ
รูปแบบ ดังกล่าวทั้งหมด ยังคงมีอิทธิพลต่องานออกแบบในยุคปัจจุบัน
รูปแบบ Classic กับการตกแต่งในปัจจุบัน
ปัจจุบันนี้ รูปแบบ Classic ก็ยังคงมีปรากฏให้เราเห็นอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะตามอาคารสถาปัตยกรรมใหม่ๆ หรือบ้านพักอาศัยทั่วไปก็ตามรูปแบบ Classic มักจะให้ความรู้สึกสง่างามอย่างอลังการ สวยหรู ภูมิฐาน และมีลวดลายที่งดงามชดช้อยไม่แข็งกระด้าง และจากการที่รูปแบบ Classic มีประวัติความเป็นมายาวนาน ทำให้งานที่ใช้รูปแบบนี้ จะให้ความรู้สึกถึงการมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานด้วย เช่นกัน
นอกจากนี้ รูปแบบนี้ยังได้มีอิทธิพล และเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักออกแบบที่มีชื่อเสียง หลายต่อหลายท่าน เช่น Michael Graves ที่นิยมออกแบบผลิตภัณฑ์และงานตกแต่งภายใน รวมถึงงานสถาปัตยกรรมที่มีกลิ่นอายของยุค Neoclassic หรือ Versace' นักออกแบบแฟชั่นที่เสียชีวิตแล้วก็นิยมนำลวดลายแบบ Neoclassic มาใช้ในลายผ้าของเขาอีกด้วย
อย่างไรก็ดี งานตกแต่งรูปแบบ Classic แท้ๆ ก็หาได้ยากขึ้นไปเรื่อยๆ เนื่องจากรายละเอียดที่ประดิษฐ์ประดอยอย่างมากมายและ หรูหรา จนบางครั้งดูเหมือนเกินกว่าฐานะของคนทั่วไปและ นอกจากนี้
รายละเอียดเหล่านี้ยังเป็นที่เก็บฝุ่นอย่างดี จำเป็นต้อง อาศัยคนดูแลจำนวนมากและเปลืองค่าใช้จ่ายมากด้วยเช่นกัน ดังนั้นกลุ่มคนที่หลงใหล ในรูปแบบClassic จึงมักจะลดรูปของงาน Classic ลง โดยตัดทอนรายละเอียดลงบ้างหรืออาจจะพยายามใช้สีแบบMonochrome หรือสีโทนเดียวเช่นสีขาวหรือสีครีม เพื่อทำให้ ทุกอย่างดูกลมกลืนกันไปทั้งหมดหรือบางครั้งอาจนำรูปแบบ Classic ไปประยุกต์ใช้ในรูปแบบContemporaryเพื่อให้เหมาะกับประโยชน์ใช้สอย ปัจจุบันก็เป็นวิธีที่นิยมมากอีกวิธีหนึ่ง
ความงามอย่าง Classic นี้ เริ่มถือกำเนิดมาตั้งแต่สี่พันปีก่อน และยังคงมีส่วนร่วมกับประวัติศาสตร์ของ
มนุษยชาติมาโดยตลอดและจะยังคงมีบทบาทเช่นนี้ตลอดไป ตราบ เท่าที่ยังมีผู้หลงใหลในความสง่างามอย่างอลังการ และหรูหราของ รูปแบบนี้ที่มิอาจจะพบเห็นได้ จากรูปแบบอื่นๆ อีกเลย
Back 1 | 2
|