‘Organic Architecture'แบบ
Frank Lloyd Wright (ตอนที่ 2)
By mammos

     ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง แทบทุกประเทศในยุโรปรวมถึงอเมริกา ได้เปลี่ยนโฉมหน้างานสถาปัตยกรรมไปอย่างสิ้นเชิง จากยุคแห่งความร่ำรวยฟุ่มเฟือย มาสู่ยุคของความเปลี่ยนแปลงแสวงหา จากรูปแบบหรูหราวิจิตรบรรจง มาสู่รูปแบบที่ตรงไปตรงมา แต่ถึงกระนั้นก็ตาม สถาปนิกส่วนใหญ่ยังคงยึดติดกับรูปแบบเดิมที่ใช้รายละเอียดปลีกย่อยจากการตกแต่ง มาใช้ในการออกแบบอาคารบ้านเรือนต่างๆ ที่เห็นจนเจนตา มีเพียงสถาปนิกไม่กี่คนที่ปฏิเสธรูปแบบที่มีลวดลายวกวนเกินจริง Frank Lloyd Wright ก็เป็นหนึ่งในสถาปนิกแนวใหม่นี้

     Wright ได้คิดค้นรูปแบบสถาปัตยกรรมที่สำคัญและแตกต่างไปจากที่คุ้นเคยอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็น ‘Prairie Style' บ้านหลังคาเอียงลาด มีลักษณะลดหลั่นบิดเบี้ยวไม่เท่ากัน หรือ ‘Organic Architecture' งานสถาปัตยกรรมที่เกิดจากพื้นถิ่น สะท้อนวัฒนธรรม ภูมิประเทศ และภูมิอากาศในแต่ละพื้นที่

‘Hollyhock House'
(บ้านดอกฮอลลี่ฮ๊อก)

      Aline Barnsdall เศรษฐีนีบ่อน้ำมันในอเมริกา ผู้หลงใหลในศิลปะการแสดงทั้งละครเวทีและภาพยนตร์ ได้มอบหมายให้ Wright ออกแบบบ้านในฝันของเธอ ที่ประกอบไปด้วย บ้าน โรงละคร บ้านผู้กำกับ ที่พักนักแสดง สตูดิโอนักแสดง ร้านค้า และโรงภาพยนตร์ ในพื้นที่ 36 เอเคอร์ บริเวณ Olive Hill เมือง Los Angeles ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่มีเพียงบ้านของเธอเท่านั้นที่ได้สร้างขึ้นจริง โดยเธอตั้งชื่อบ้านตามดอกไม้ที่เธอโปรดปราน ‘ ดอกฮอลลี่ฮ๊อก '

     ‘Hollyhock House' ถือเป็นผลงานสถาปัตยกรรมชิ้นแรกของ Wright ใน Los Angeles และยังเป็นจุดเริ่มต้นของผลงานรูปแบบ ‘Organic Architecture' ที่งานสถาปัตยกรรมเกิดจากพื้นถิ่นเป็นสำคัญ เน้นการตอบสนองสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศ รวมทั้งสะท้อนวัฒนธรรมในพื้นที่

     Wright ใช้ข้อได้เปรียบทางภูมิอากาศอันอบอุ่น ของ Los Angeles สร้างสวนน้ำและสนามหญ้าเขียวขจีให้ผสมกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับตัวบ้าน เพิ่มความต่อเนื่องระหว่างภายในกับภายนอกด้วยประตูกระจกบานใหญ่และระเบียงรอบบ้าน ก่อให้เกิดความรู้สึกโล่ง กว้างและโปร่งเบา ในยามเย็นย่ำที่ดวงอาทิตย์ทอแสงลง และมีสายลมเย็นพัดมาเอื่อยๆ Wright เพิ่มเสน่ห์ให้กับบ้านด้วยการสร้างระเบียงบนหลังคาโดยรอบ ทำให้ผู้อยู่อาศัยสามารถมองเห็นทัศนียภาพที่สวยงามภายนอกอย่าง อ่าว Los Angeles และ Hollywood Hill ได้อย่างชัดเจนทั้งกลางวันและ
กลางคืน

     Barnsdall อาศัยอยู่ที่ ‘Hollyhock House' เพียง 4 ปี และในปี 1927 เธอตัดสินใจมอบบ้านพร้อมที่ดินโดยรอบ 11 เอเคอร์ให้กับเมือง Los Angeles เพื่อใช้เป็นสตูดิโอศิลปะ และเป็นอนุสรณ์ให้กับพ่อของเธอ Theodor Barnsdall นับจากนั้น ‘Hollyhock House' ก็เปลี่ยนเจ้าของเรื่อยมา บ้านทรุดโทรมลงและมีรายละเอียดรูปแบบต่างไปจากเดิมเป็นอันมาก

     จนกระทั่ง Lloyd Wright ลูกชายของ Wright สถาปนิกที่ดำเนินรอยตามเท้าของพ่อ ได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจ พยายามซ่อมแซมทำนุบำรุงให้ ‘Hollyhock House' นั้นกลับมางดงามดั่งเดิมทั้งรูปแบบภายนอกและภายใน ซึ่งใช้เวลายาวนานถึง
60 ปี

     ปัจจุบัน ‘Hollyhock House' แวดล้อมไปด้วยโรงละครสมัยใหม่ แกลเลอรี่ และสตูดิโอศิลปะ ที่ถูกสร้างขึ้นเพิ่มเติม เพื่อให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็น Art Complex ที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง และ ‘Hollyhock House' สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ให้เข้ามาชื่นชมผลงานสถาปัตยกรรมที่มีประวัติอันยาวนานของ Frank Lloyd Wright ได้มากกว่าพันคนในแต่ละปี

‘Yamamura House'

     Frank Lloyd Wright และศิษย์เอก Arata Endo ได้ร่วมกันออกแบบ ‘Yamamura House' บนสันเขาของเมือง Ashiya ประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง Tazaemon Yamamura เจ้าของโรงเหล้าสาเกชื่อดังในท้องถิ่น ได้ตั้งใจสร้างเพื่อเป็นบ้านพักตากอากาศในฤดูร้อนของครอบครัว ในปัจจุบันได้เปลี่ยนเป็นสถานที่พักตากอากาศทั่วไปสำหรับนักท่องเที่ยวมีชื่อว่า ‘Yodoko Guest House'

     Wright สร้างจุดเด่นให้กับ ‘Yamamura House' ด้วยการใช้ Oyaishi Stone หินพื้นถิ่นที่มีพื้นผิวแปลกตาสวยงาม ผสมผสานกับพื้นผิวคอนกรีตของตัวบ้านได้อย่างกลมกลืน

     ภายในบ้านมี 4 ระดับ ในชั้นแรกมีเฉลียงที่สามารถมองเห็นทัศนียภาพรอบเมือง Ashiya ได้อย่างชัดเจน เป็นมุมที่ชื่นชอบของ Yamamura เป็นอย่างมาก ส่วนด้านบนเป็นห้องรับแขกที่แสนโอ่อ่าสะดวกสบาย ชั้น 3 เป็นส่วนห้องนอนที่มีการตกแต่งภายในแบบญี่ปุ่นแท้ด้วยเสื่อตาตามิ ชั้นสุดท้ายเป็นส่วนห้องอาหาร ห้องครัว ห้องนอนเล็ก และระเบียงขนาดใหญ่บนหลังคาที่เห็นวิวรอบเมือง

     Wright มีความตั้งใจสร้างบ้านหลังนี้ให้เป็นสถานที่บันเทิงของครอบครัว Yamamura ในช่วงฤดูร้อนอย่างแท้จริง

     ในครั้งหน้า Tips & Tricks จะพาไปพบกับตัวอย่างบ้านแบบ ‘Block House' ที่สร้างขึ้นจากคอนกรีตบล๊อค อันเป็นรูปแบบเฉพาะตัวของ Frank Lloyd Wright