และหากยังไม่แน่ใจว่าตนเองชอบกลิ่นแบบไหน ข้างล่างนี้เราจะแนะนำและอธิบายให้รู้จักกับกลิ่นแต่ละประเภทกัน (ข้อมูลการแบ่งประเภทกลิ่น จาก fragrantica .com)
Credit : Bruna Branco on Unsplash
คือ กลิ่นผลไม้ตระกูลซิตรัส เช่น ส้ม มะกรูด มะนาว เลม่อน ซึ่งจะให้ความรู้สึกสดชื่น สะอาด และปลอดโปร่ง ตัวกลิ่นจะเป็นกลิ่นที่หอมแตะจมูก มักใช้เป็นกลิ่นหลักในน้ำหอมประเภท Eau de Cologne หรือเป็น Top Note ของ Parfume
FRUITS, VEGETABLES AND NUTS
Credit : Nathan Dumlao on Unsplash
คือ กลื่นพืชและผลไม้อื่นๆ ที่นอกเหนือจากซิตรัส ซึ่งผลไม้ต่างๆ จะมีกลิ่นหวาน อมเปรี้ยวเฉพาะตัวของแต่ละชนิด และพืชก็จะมีกลิ่นหอมสดชื่นที่แฝงกลิ่นธรรมชาติเอาไว้ ให้บรรดานักสร้างกลิ่น (Perfumer) ได้เลือกใช้กันมากมาย โดยน้ำหอมที่มีกลิ่นผลไม้เป็นส่วนผสมนั้นนิยมเป็นอย่างมากในยุค 2000s และ ผลไม้ที่เป็นที่นิยมก็ได้แก่ ลูกพีชและลูกพลัม ส่วนพืชที่นิยมก็ได้แก่ แตงกวา ลูกโอ๊ก ส่วนกลิ่นของพืชตระกูลถั่วนั้น จะให้ความรู้สึกหอมแบบป่าๆ ผสมกับผลถั่ว โดยกลิ่นที่นิยมก็มักจะเป็นกลิ่นอัลมอนด์ หรือ กลิ่นเฮเซลนัท
Credit : Annie Spratt on Unsplash
คือ กลิ่นดอกไม้นานาชนิดที่จะให้กลิ่นหอมหวล สร้างเสน่ห์ให้กับผู้ที่ได้ฉีดน้ำหอม สำหรับน้ำหอมผู้ชายนั้น แม้จะไม่ได้เน้นกลิ่นหอมหวานมากนัก แต่ก็มีไม่น้อยที่ใช้กลิ่นดอกไม้หอมสะอาดและสดชื่น เข้ามาผสมผสานในตัวน้ำหอม สร้างกลิ่นที่มีเอกลักษณ์อีกแบบ โดยน้ำหอมของผู้ชายก็มักจะใช้กลิ่นดอกไม้ เช่น กระดังงา (Ylang-Ylang), เจอราเนียม, ไอริส หรือ กุหลาบ เป็นต้น
Credit : Yoksel Zok on Unsplash
คือ กลิ่นดอกไม้ที่มีสีขาว หรือขาวเหลือง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มกลิ่นดอกไม้ เพียงแต่ดอกไม้ที่มีสีขาวนั้น นอกจากจะให้กลิ่นหอมหวานแล้ว ยังทำให้รู้สึกผ่อนคลาย กลิ่นหอมอ่อนๆ ทว่าติดทนนานยังช่วยให้รู้สึกสงบ แม้ว่ามักจะนำมาใช้กับน้ำหอมสตรีเป็นหลัก แต่ก็มีดอกไม้ที่มีสีขาวบางชนิดเช่นกัน ที่นำมาใช้กับน้ำหอมของบุรุษ เช่น มะลิ, พุดซ้อน (Gardenia), ดอกส้ม (Tangerine Blossom) หรือ ซ่อนกลิ่น (Tuberose)
GREENS, HERBS AND FOUGERES
Credit : Annie Spratt on Unsplash
คือ กลิ่นพืชสีเขียวหรือสมุนไพรที่ให้กลิ่นหอม ที่เรามักจะรู้จักกันดีเพราะล้วนเป็นกลิ่นที่เรานำมาใช้ประกอบอาหารหรือตกแต่งกลิ่นอาหารให้ดูหอมน่ากินมากขึ้น เช่น โรสแมรี่, ใบธาม, มิ้นต์, โหระพา ไปจนถึงพืชสีเขียวที่มีความสดชื่นและหอมธรรมชาติ เช่น ว่านหางจระเข้, ผักชีฝรั่ง (Celery) หรือ ใบแปะก๊วย (Ginkgo)
Credit : Marion Botella on Unsplash
คือ กลิ่นเครื่องเทศต่างๆ ที่หอมล้ำ และมีกลิ่นค่อนข้างแรงติดจมูก ที่เรามักคุ้นเคยเครื่องเทศเหล่านี้ในอาหารและชาหมักต่างๆ เอกลักษณ์เฉพาะตัวของเครื่องเทศคือเมื่อได้กลิ่นก็จะสามารถจำแนกฤทธิ์ร้อน หรือ เย็น ได้อย่างง่ายดาย ยกตัวอย่างเครื่องเทศที่มีฤทธิ์ร้อน เช่น อบเชย, พริกไทย, กานพลู, โป๊ยกั๊ก หรือ ขิง ส่วนสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็น ได้แก่ ผักชี, งา หรือ กระวาน เป็นต้น โดยกลิ่นเครื่องเทศเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมบุคลิกของเหล่าสุภาพบุรุษให้ดูมีมิติ และน่าค้นหามากขึ้น
SWEETS AND GOURMAND SMELLS
Credit : Massimo Adami on Unsplash
คือ กลิ่นของหวานต่างๆ ซึ่งได้นำมาสังเคราะห์สร้างกลิ่นให้เหมือนขนม เพื่อให้เกิดความหอมหวานน่ารับประทาน ส่วนมากจะใช้ในน้ำหอมผู้หญิง แต่สำหรับน้ำหอมผู้ชายบางกลิ่น ก็มีการใช้ของหวานต่างๆ มาเป็นกลิ่นเด่นเช่นกัน กลิ่นวนิลลา, กลิ่นคาราเมล, กลิ่นแตงโม, กลิ่นน้ำผึ้ง ไปจนถึงกลิ่นช็อกโกแลต
Credit : Stanislav Churikov on Unsplash
คือ กลิ่นไม้ป่าและพืชตระกูลมอส ที่จะให้ความรู้สึกสุขุมนุ่มลึก อบอวลไปด้วยกลิ่นไม้ที่สดชื่นแบบละมุน ไม่โดดเด่นจนรู้สึกได้แต่ก็มีเสน่ห์และสร้างบุคลิกภาพที่ดูเป็นผู้ใหญ่ให้กับน้ำหอม มักถูกใช้เป็น Base Note ของน้ำหอมชนิดต่างๆ เพราะหอมบางและติดทนนาน โดยกลิ่นที่นิยมใช้มากที่สุดจะเป็นกลิ่นไม้จันทน์ (Sandalwood), ไม้กฤษณา (Oud Wood), ต้นไผ่ (Bamboo) และ พืชตระกูลมอส เช่น ต้นไซเปรส (Cypress)
Credit : SichiRi on Pixabay
คือ กลิ่นยางสน, ยางไม้ หรือ น้ำยางดิบที่ออกมาจากต้นไม้ ซึ่งจัดว่าเป็นวัตถุดิบที่มีกลิ่น ‘ดิบๆ ป่าๆ’ ชวนให้รู้สึกถึงเสน่ห์ของบุรุษ พื้นฐานกลิ่นจะเหมือนกลิ่นไม้ป่า ทว่าจะมีกลิ่นแฝงอื่นๆ ด้วย เช่น Tolu balsam จะมีกลิ่นออกหวานและสดชื่น, Styrax (กำยาน) จะมีกลิ่นหอมแบบอบอุ่นและให้ความรู้สึกขลัง (เนื่องจากสมัยก่อนเรามักจุดกำยานในบ้านเรือนไทย หรือขณะไหว้พระ) หรือ Myrrh (มดยอบ) ที่จะมีกลิ่นหวานปนขมในเวลาเดียวกัน
MUSK, AMBER, ANIMALIC SMELLS
Credit : Philipp Pilz on Unsplash
คือ กลิ่นของธรรมชาติที่เป็นกลิ่นดิน หรือกลิ่นสัตว์ ซึ่งแต่เดิมนั้นจะใช้กลิ่นจากไขมันสัตว์สกัดออกมาจริงๆ ทว่าในภายหลังได้ถูกห้ามใช้เนื่องจากเหตุผลด้านการคุ้มครองสัตว์ป่า รวมทั้งยังมีเหตุผลทางด้านอนามัยที่อาจมีเชื้อโรคในสัตว์ติดมา ทำให้ในภายหลังกลิ่นเหล่านี้ถูกสร้างเป็นกลิ่นสังเคราะห์เพื่อใช้งานแทน โดยกลิ่นประเภทนี้จะเป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น เย้ายวน และแฝงไปด้วยความดิบเถื่อนเล็กน้อย ซึ่งเหล่านักสร้างกลิ่นได้จัดกลิ่นของกลุ่มนี้ให้อยู่ในหมวด “แฟนตาซี” ที่ภายหลังมีกลิ่นอื่นๆ เพิ่มเข้ามามากมายและให้ความรู้สึกดังกล่าว
โดยกลิ่นที่เป็นที่นิยมใช้ ได้แก่ กลิ่นมัสก์กวาง, กลิ่นอำพัน, กลิ่นหนัง หรือ กลิ่นปะการัง ส่วนกลิ่นแฟนตาซีใหม่ๆ ก็ได้แก่ กลิ่นคาเวียร์, กลิ่นเบค่อน, กลิ่นบาร์บีคิว, กลิ่นควัน หรือ กลิ่นทรัฟเฟิล เป็นต้น