Chinese New Year Ceremony
ไหว้เทพเจ้า วันตรุษจีน
เทศกาลที่หลายๆคนตั้งตาคอยก็ได้วนมาถึงอีกครั้ง เทศกาลตรุษจีนที่อบอวลไปด้วยความเป็นสิริมงคลและความมั่งคั่ง ชาวไทยเชื้อสายจีนทุกท่านต่างพากันชื่นบานต้อนรับสิ่งดี ๆ ในวันปีใหม่จีนปีนี้ รวมไปถึงเด็ก ๆ เองก็มีความสุขไปพร้อม ๆ กันเพราะกำลังจะได้รับอั่งเปาจากบรรดาญาติผู้ใหญ่ เรียกได้ว่าเป็นเทศกาลที่มอบความสุขให้แก่กันทั้งครอบครัว
ในวันตรุษจีนความเป็นสิริมงคลทั้งหลายที่เกิดขึ้นมักจะมีที่มาที่ไป หลาย ๆ คนอาจจะไม่เคยทราบเกี่ยวกับความหมาย และความสำคัญของเทศกาลตรุษจีน ซึ่งในบทความนี้ก็นำพาทุกคนร่วมเข้ามาสัมผัสถึงเรื่องราวเกี่ยวกับเทศกาลตรุษจีน
เทศกาลตรุษจีน
Cr. chinesenewyear
ตรุษจีน คือ วันขึ้นปีใหม่ตามปฏิทินของประเทศจีน ในปีนี้จะตรงกับวันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2563 ถ้าเปรียบกับชาวไทยก็จะเสมือนเป็นวันสงกรานต์ (วันปีใหม่ไทย) นั่นเอง ซึ่งประวัติความเป็นมาและประเพณีของเทศกาลตรุษจีนนั้นมีมานานมากกว่าพันปี จนไม่สามารถย้อนกลับไปหาช่วงเวลาที่เป็นต้นกำเนิดอย่างแท้จริงได้ แต่เชื่อกันว่า “ตรุษจีน” เป็นการเฉลิมฉลองเทศกาลฤดูใบไม้ผลิของชาวจีน โดยการจัดการฉลองในช่วงนี้เป็นกุศโลบายของคนในสมัยก่อน ที่ต้องการสื่อให้ชาวไร่ชาวนา ทราบถึงการเริ่มต้นการเพราะปลูก ในภายหลังจึงได้มีการเพิ่มคติสอนใจเข้าไป เช่น เป็นการเตือนสติให้ดำเนินชีวิตโดยตระหนักถึงวันเวลาได้ล่วงเลยไปอีกหนึ่งปีแล้ว
เทศกาลตรุษจีนมีการเฉลิมฉลองเป็นเวลายาวนาน 15 วัน โดยส่วนมากจะเตรียมงานเฉลิมฉลองเป็นเวลาหนึ่งเดือนก่อนจะถึงวันตรุษจีน ผู้คนจะเริ่มทำการซื้อสิ่งของต่าง ๆ เพื่อตกแต่งบ้านเรือน รวมไปถึงการทำความสะอาดบ้านเรือน โดยเชื่อกันว่าเป็นการกวาดเอาโชคหรือสิ่งไม่ดีออกไปจากบ้าน พร้อมประดับประดาด้วยป้ายคำอวยพรต่าง ๆ หลังจากนั้นภายในครอบครัวก็จะมีการร่วมรับประทานอาหารที่ประกอบไปด้วยอาหารที่ล้วนเป็นสิริมงคล
Cr. mindbodygreen
15 วันแห่งการฉลองตรุษจีน ตามความเชื่อของชาวจีน
วันที่ 1 ในวันแรกจะเป็นวันที่ผู้คนต้นร้อนเหล่าเทพเจ้า และเชื่อว่าหากงดทานเนื้อในวันนี้ จะช่วยให้อายุยืนนานอีกด้วย
วันที่ 2 ชาวจีนจะทำพิธีไหว้บรรพชน รวมถึงเทพเจ้าทั้งหลาย
วันที่ 3-4 เป็นวันของลูกเขยและลูกสะใภ้ ที่จะต้องทำความเคารพแก่ พ่อตา แม่ยาย ของตนเพื่อแสดงถึงความกตัญญู
วันที่ 5 ในวันนี้ทุกคนจะอยู่กับบ้าน เพื่อเป็นการต้อนรับการมาเยือนของเทพเจ้าแห่งความร่ำรวย (ไฉ่ซิงเอี๊ย)
วันที่ 6 ชาวจีนจะเดินทางไปเยี่ยมญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง และไปวัดเพื่อสวดมนต์ ขอให้ร่ำรวยและมีความสุข
วันที่ 7 เป็นวันที่เกษตกรจะนำเอาผลผลิตของตนออกมาทำเครื่องดื่ม โดยมีส่วนผสมที่ทำมาจากผักเจ็ดชนิด และรับประทานหมี่ซั่ว ตามความเชื่อที่ว่าหากรับประทานหมี่ซั่วจะมีชีวิตที่ยาวนาน และรับประทานปลาดิบ เพื่อความสำเร็จในชีวิต
วันที่ 8 ชาวฝูเจี้ยน จะมีการทานอาหารร่วมกันกับครอบครอบอีกครั้ง และเมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนทุกคนจะสวดมนต์ขอพรจากเทพเจ้าเทียนกง
วันที่ 9 จะทำการสวดมนต์ไหว้พระ และถวายเครื่องสักการะแด่เง็กเซียนฮ่องเต้
วันที่10-12 เป็นวันของเพื่อนฝูง และญาติๆ ที่จะมีการเชิญเพื่อนมารับประทานอาหารเย็นร่วมกัน
วันที่ 13 ถือเป็นวันชำระล้างร่างกาย โดยจะมีการรับประทานข้าวธรรมดา กับผักดอง เพื่อให้ร่างกายบริสุทธิ์เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับปีใหม่
วันที่ 14 เตรียมงานฉลองโคมไฟ
วันที่ 15 ค่ำคืนแห่งการฉลองโคมไฟ วันตรุษจีน
การไหว้เทพเจ้า และบรรพบุรุษ
Cr. Lareine
การไหว้เทพเจ้าและบรรพบุรุษนิยมทำพิธีก่อนวันตรุษจีนหนึ่งวัน โดยเริ่มจากการไหว้เจ้าที่ในช่วงเช้า เจ้าที่ในที่นี้หมายถึงเจ้าที่เจ้าทาง ที่คุ้นเคยกันก็คือ “ตี่จู๋เอี๊ยะ” และเทพเจ้าที่ชาวจีนนับถือ การไหว้เทพเจ้าเป็นพิธีที่ทำเพื่อให้เป็นสิริมงคล นำพาความสุข ความเจริญรุ่งเรืองมาให้แก่ตนเอง และครอบครัว
การจัดโต๊ะ
Cr.มนุษย์ไฟฟ้า
การจัดโต๊ะไหว้เทพเจ้า จะเริ่มต้นจากแท่นบูชาเทพเจ้า ถัดมาเป็นเครื่องหอมอย่างธูป และดอกไม้ ตามด้วยถ้วยข้าว เครื่องดื่ม และจึงเป็นอาหารคาว ของหวาน ผลไม้ และที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือ กระดาษเงินกระดาษทอง และเครื่องเซ่นไหว้ โดยเครื่องเซ่นไหว้จะประกอบไปด้วย
เครื่องสักการะเทพเจ้า กิมฮวย (เครื่องประดับกระถางธูปหางนกยูง) ผ้าแพรแดง และธูปสำหรับไหว้เพื่อเสริมความเป็นมงคลให้แก่ผู้ไหว้ ซึ่งคนจีนยังถือว่าเหมือนเป็นการแต่งองค์ทรงเครื่องให้แด่เทพเจ้าก่อนกลับขึ้นสวรรค์อีกด้วย
ของคาว ซาแซ (เนื้อสัตว์สามชนิด) ประกอบด้วย หมูสามชั้นต้ม ไก่ต้ม และเป็ดต้ม หรือหากบ้านไหนมีกำลังมากหน่อย ก็สามารถไหว้เทพเจ้าด้วย โหงวแซ (เนื้อสัตว์ห้าชนิด) โดยทำการเพิ่มตับ ปลา ปลาหมึกแห้ง หรือไข่ต้ม และของไหว้ทั้งหมดจะต้องไหว้เต็มตัว ห้ามสับไก่ หั่นเป็ดมาไหว้โดยเด็ดขาด และสุดท้ายคือ ข้าวสวย 5 ที่
ขนม ประกอบด้วย ฮวกก้วย (ขนมถ้วยฟู) คักท้อก้วย (ขนมกู๋ช่าย) ขนมจันอับ ซาลาเปา ซึ่งต้องเป็นสีชมพูหรือมีจุดแดง และขนมไหว้ที่มีความหมายที่ดีอย่าง ขนมเข่งและขนมเทียน
ผลไม้มงคล 5 อย่าง ซึ่งสามารถเลือกได้จากผลไม้มงคล เช่น ส้ม กล้วย สับปะรด องุ่น แก้วมังกร แอปเปิ้ลแดง สาลี่สีทอง ลูกพลับ และทับทิม ส่วนผลไม้ต้องห้าม คือผลไม้สีดำ หรือขาว เช่น องุ่นดำ เชอร์รีสีดำ เพราะสื่อถึงการไว้ทุกข์ และถือว่าไม่เป็นสิริมงคลกับชีวิตอีกด้วย
เครื่องดื่ม น้ำชา และเหล้าจีน 5 ที่
กระดาษเงินกระดาษทอง ตามความเชื่อของชาวจีนที่ว่า เมื่อเราไหว้สิ่งใดกับเทพเจ้าไป จะได้รับสิ่งนั้นกลับคืนมา กระดาษเงินกระดาษทองจึงใช้เป็นเครื่องเซ่นไหว้เพื่อให้ผู้ไหว้มีเงินทองไหลกลับมาสู่ตนนั่นเอง
*** ในส่วนของการไหว้บรรพบุรุษ สามารถใช้ชุดไหว้เช่นดียวกันกับที่ใช้ไหว้เทพเจ้าได้เลย แต่จะเพิ่มเมนูอาหารคาว หรือาหารหวานที่บรรพบุรุษชื่นชอบ โดยเมนูเหล่านี้ควรจะมีเมนูที่มีน้ำแกง อาหารที่ทำจากเส้นยาว ๆ หรือขนมน้ำใส ๆ เพราะตามความเชื่ออาหารที่เป็นลักษณะเส้นยาว ๆ เชื่อว่าจะทำให้อายุยืน โดยจัดตามจำนวนผู้ล่วงลับ และจะต้องเพิ่มกระดาษเงินกระดาษทองสำหรับบรรพบุรุษลงไปในชุดไหว้ด้วย ***
เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ย
Cr. m.pinlue
ไฉ่ซิงเอี๊ย เป็นเทพเจ้าของจีนที่เชื่อกันว่าจะช่วยประทานพรเกี่ยวกับโชคลาภ ความร่ำรวย สุขภาพ ความสามัคคีรักใคร่ปรองดองในครอบครัว ซึ่งชาวจีนจะกราบไหว้เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยเป็นองค์แรกในช่วงตรุษจีน จึงถือว่าเป็นเทพที่สำคัญที่สุดในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่นักษัตรใหม่ของชาวจีนเลยก็ว่าได้ จากตำนานที่เล่าขานกันมาจะมีเรื่องราวที่หลากหลายแตกต่างกันไป แต่ในส่วนใหญ่แล้วล้วนเล่าต่อกันมาว่า เทพเจ้าไฉ่ซิ่งเอี๊ยมี 2องค์ คือ เทพเจ้าไฉ่ซิ่งเอี๊ยองค์บุ๋น และเทพเจ้าไฉ่ซิ่งเอี๊ยองค์บู๊ โดยองค์บุ๋นมีชื่อเดิมว่าปี่กาน ส่วนองค์บู๋มีชื่อเดิมว่าจ้าวกงหมิง
เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ย
Cr. Sanook
นานมาแล้ว เจียไท้กง เทพเจ้าผู้ใหญ่ที่ทำหน้าที่แต่งตั้งเทพเจ้า กำลังนั่งบำเพ็ญตบะอยู่ก็เกิดอาการร้อนใจยิ่งนัก จึงทราบด้วยจิตว่าปี่กานกำลังมีเรื่องเดือดร้อนหนักจึงคิดหาทางช่วย ในตอนนั้นปี่กานเป็นอัครมหาเสนาบดีของจักรพรรดิอินโจ้ว ซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์อิน จักรพรรดิอินโจ้วทรงลุ่มหลงในอิสตรีไม่ใส่ใจราชกิจ ทรงมีสนมเอกนามว่า โซวถังกี้ (ซูต๋าจี่) เป็นหญิงงามที่ลือชื่อในประวัติศาสตร์ ปี่กานเป็นขุนนางผู้ซื่อตรง พยายามจะเตือนองค์จักรพรรดิให้หันมาสนใจราชกิจ แต่พระองค์ไม่สนพระทัยต่อคำเตือนแต่อย่างใด ปี่กานจึงวางแผนให้ทหารไปจับสุนัขจิ้งจอกมาทำเสื้อคลุมถวายแด่องค์จักรพรรดิ เพราะเชื่อว่า โซวถังกี้เป็นปีศาจจิ้งจอกแปลงกายมา เมื่อพบเห็นเสื้อคลุมก็จะตกใจและหนีไป แต่เหตุการณ์กับตรงกันข้าม เพราะโซวถังกี้ ไม่ตกใจ และยังวางแผนเล่นงานปี่กานกลับคืนอีกด้วย
เย็นวันหนึ่งปี่กานได้ยินเสียงชายชรากำลังประกาศขายหัวใจของตน ซึ่งชายชราคนดังกล่าว คือ เทพเจียไท้กงแปลงกายมาช่วยปี่กาน ปี่กานเมื่อได้ยินชายชราประกาศขายหัวใจของตรจึงได้ออกมาบอกชายชราว่าหัวใจคือสิ่งสำคัญหากขายไปจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ชายชราจึงบอกแก่ปี่กานว่า
“หัวใจเป็นต้นเหตุของความรู้สึกผิดชอบชั่วดี หากหัวใจไม่เที่ยงธรรม มือเท้าย่อมทำแต่สิ่งไม่ดี ถ้าเอาหัวใจออกมาขายเสีย ต่อไปข้าพเจ้าก็จะไม่เลือกที่รักมักที่ชัง มีแต่ความยุติธรรม จัดการปัญหาต่าง ๆ อย่างยุติธรรม เป็นเช่นนี้มิใช่ประเสริฐกว่าหรือ”
ปี่กานก็ยังยืนยันคำเดิม ชายชราจึงบอกว่าข้ามียาวิเศษ ซึ่งทานไปแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ยังสามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้ หลังจากนั้นชราจึงนำยาวิเศษออกมาให้ปี่กานชื่นชม หลังปี่กานได้สูดดมกลิ่นยาวิเศษที่เต็มไปด้วยความหอม พอรู้ตัวอีกทีชายชราก็หายไป
cr.kids21
เช้าวันรุ่งขึ้น องครักษ์หลายนายได้มาเชิญตัวปี่กานไปเข้าเฝ้าแต่เช้า ปี่กานรู้สึกแปลกใจ เพราะจักรพรรดิอินโจ้วไม่เคยสนพระทัยว่าราชการ แต่กลับส่งคนมาเชิญตนแต่เช้า จึงไถ่ถามเหล่าองครักษ์ จึงทราบว่า พระสนมโซวถังกี้ เป็นโรคประหลาด หมอหลวงอับจนปัญญาที่จะรักษาได้ มีแต่หัวใจของปี่กานเท่านั้นที่จะสามารถใช้รักษาโรคนี้ได้ ดังนั้นพระองค์จึงมีรับสั่งให้เบิกตัวปี่กานมาเข้าเฝ้าแต่เช้า หลังจากปี่กานทราบเรื่องก็ตกใจเป็นอันมาก เรียกหาคนในครอบครัวมาสั่งเสีย ทันใดนั้นเขานึกถึงยาวิเศษที่ได้รับมาจากชายชรา จึงรีบไปหยิบยาวิเศษเม็ดนั้นออกมากลืนกินลง แล้วตามเหล่าองครักษ์เพื่อเข้าเฝ้า พอมาถึงท้องพระโรง จักรพรรดิอินโจ้วก็ตรัสขอหัวใจของปี่กานเพื่อนำไปใช้รักษาอาการป่วยของพระสนมถังกี้ ปี่กานได้กล่าวเพื่อเตือนสติแก่จักรพรรดิอินโจ้วแต่หาได้เป็นผลไม่ กลับสั่งให้ทหารควักหัวใจของปี่การออกมา
แต่สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แม้จะควักหัวใจออกมาแต่ไม่มีแม้เพียงเลือกสักหยด ตั้งแต่นั้นมา ปี่กานก็ออกท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ โปรยเงินทองแจกจ่ายแก่ผู้คน กลายเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ตามตำนานกล่าวกันว่า ปี่กานกินยาวิเศษของเจียงไท้กงเข้าไป ทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้ แม่ว่าจะไม่มีหัวใจ และกล่าวกันว่า เพราะปี่กานไม่มีหัวใจนี่เอง เขาจึงโปรยเงินโปรยทองแก่ผู้คนทั่วไป โดยไม่เลือกว่าคนนั้นดีหรือคนนี้ไม่ดี ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง เป็นที่มาของเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บุ๋น นั่นเอง
โดยฝ่ายบุ๋นมักจะเป็นรูปของชายในชุดขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของจีนโบราญ สวมหมวกมีปีกออกไป 2 ข้าง มีอานุภาพหรือให้คุณทางด้านเงินทอง หรือทรัพย์สิน ตลอดจนโชคลาภต่างๆ ทำให้ผู้บูชาประสบความสำเร็จ ลูกค้าเชื่อถือ
Cr. xuehua.us
ขณะเดียวกัน จ้าวกงหมิง (หวู่ฉายเสิน) ได้บำเพ็ญเพียรอยู่บนเขาบ้อไบ้ ได้สำเร็จมรรคผลเป็นเซียนมีฤทธิ์มาก กลับเกิดอาการเพี้ยนกลายเป็นนักพรตกังฉิน คดโกง ไม่ซื่อตรง ที่ทั้งเก่ง และอำมหิต จ้าวกงหมิงได้ถวายตัวรับใช้จักรพรรดิอินโจ้ว
ครั้งหนึ่งจ้าวกงหมิงได้ขังเทพเจียงไท้กงไว้ในค่ายกลสิบทิศ เจียงไท้กงพยายามหาทางออกเท่าไหร่ก็ไม่พบ และถูกจ้าวกงหมิงทำร้ายปางตาย ซ้ำยังขู่เข็ญให้เจียงไท้กงแต่งตั้งตนให้เป็น “เทพเจ้าแห่งโชคลาภ” จึงจะปล่อยตัวเจียงไท้กงให้เป็นอิสระ เจียงไท้กงไม่มีทางเลือกจึงยื่นขอเสนอให้แก่จ้าวกงหมิงว่า “เราจักแต่งตั้งเจ้าเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภได้อย่างไร เพราะเวลานี้ปี่กานเป็นผู้ครองตำแหน่งนี้อยู่ หากแม้นเจ้ามีความสามารถนำเอาหัวใจของปี่กานออกมา ทำให้เขาสิ้นชีพวายชนม์เสีย ตำแหน่งเทพเจ้าแห่งโชคลาภนี้ ก็จะเป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว”
Cr.soomboon
จ้าวกงหมิงจึงตอบตกลง และสั่งเสือดำให้ไปนำเอาหัวใจของปี่กานมาให้จงได้ ในฝั่งของปี่กานที่กำลังโปรยเงินทองเดินทางมาเรื่อย ๆ จนได้มาพบกับเสือดำ มันกระโจนใส่ตัวปี่กานอย่างรวดเร็ว จากนั้นมันก็เริ่มตะกุยหน้าอกของปี่กานเพื่อควานหาหัวใจ แต่หาอย่างไรก็หาไม่พบ แม้เสือดำจะไม่ได้หัวใจของปี่กานไป แต่กงเล็บของมันที่ตะกุยอยู่ในทรวงอกของปี่กานนั้น ทำให้อวัยวะภายในของปี่กานเกิดความสับสน อยู่ผิดที่ผิดทาง ส่งผลให้ปี่กานกลายเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภที่ไม่เที่ยงธรรมนัก เขามักโปรยปรายเงินทองอย่างลำเอียง เจอใครก่อนก็ให้คนนั้นก่อน ทำให้คนที่ร่ำรวยอยู่แล้ว ก็ยิ่งร่ำรวยยิ่งขึ้น ส่วนคนยากจนก็ยังคงยากจนต่อไป เพราะเป็นเรื่องลำบากไม่น้อย ที่จะหาเครื่องเซ่นไหว้ดี ๆ มาบูชาตอนที่เขาออกมาเยือนผู้คนในแดนมนุษย์
ทางฝ่ายจ้าวกงหมิง แม้ไม่ได้เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภตามที่ปรารถนา แต่เนื่องจากเจียงไท้กงเคยตกปากรับคำไว้ เจียงไท้กงจึงประทานของวิเศษให้ 4 ชิ้น คือ เจียป้อ หนับเตียว เจียไช้ และหลี่ฉี้ ซึ่งเป็นของวิเศษที่ใช้เรียกเงินเรียกทองให้ไหลมาเทมา การค้าราบรื่น มีกำไรดี ดังนั้นชาวจีนจึงพากันกราบไหว้ จ้าวกงหมิงเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภอีกองค์หนึ่ง และด้วยเหตุที่ว่า จ้าวกงหมิง เป็นผู้ที่มีฤทธิ์มาก ชาวจีนจึงยกย่องให้เป็น เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บู๊
Cr.m.pinlue
เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บู๊มักจะเป็นรูปชายวัยกลางคน ใส่ชุดนักรบจีนโบราญ ประกอบด้วยชุดเกราะ หมวกขุนพล มือซ้ายถือกระบอง มือขวาถือเงินหยวน (หยวนเป่า) ใบหน้าดุ มีพาหนะเป็นเสือโคร่งลายพาดกลอนตัวใหญ่ ชาวจีนที่บูชาเชื่อกันว่า มีพลานุภาพให้คุณแก่ผู้บูชาในเรื่องของหนี้สิน ช่วยให้ผู้บูชาเก็บหนี้ได้ง่ายขึ้น ลูกหนี้ไม่คิดเบี้ยวให้เจ้าหนี้ต้องลำบากใจ นอกจากนี้ยังมีอนุภาพช่วยดูแล และควบคุมบริวาร
ความหมายของของไหว้มงคล และกระดาษเงินกระดาษทอง
Cr.มนุษย์ไฟฟ้า
เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ย
Cr.มนุษย์ไฟฟ้า