The Haunted House
เรื่องเล่า… บ้านสยองขวัญ

บรรยากาศของฮาโลวีนมีอีกสิ่งที่จะขาดไปไม่ได้เลยก็คือบ้านผีสิง เรามักจะได้ฟังและได้เห็นกันอยู่บ่อยครั้ง ทั้งในภาพยนตร์หรือแม้กระทั่งนิทานที่เล่าขานเกี่ยวกับบ้านสยองขวัญ และไม่ใช่มีเพียงในคำบอกเล่าเท่านั้น บ้านผีสิงที่ถูกเล่าขานกันจนเป็นตำนานก็ยังคงมีให้เห็นกันจริงๆ อีกด้วย

Haunted House No.1 : Winchester Mystery House

Credit : sfgate .com
Winchester Mystery House คฤหาสน์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั้งจากความอลังการของตัวสถาปัตยกรรม รวมไปถึงเรื่องเล่าที่น่าพิศวง คฤหาสน์แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งตั้งอยู่ในย่านที่ค่อนข้างห่างไกลความเจริญอย่างเมืองซานโฮเซ่ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่อยู่อาศัยส่วนตัวของ Sarah Lockwood Pardee Winchester ภรรยาม่ายของ William Wirt Winchester ทายาทธุรกิจผลิตปืนไรเฟิลเจ้าใหญ่ในสหรัฐยี่ห้อ Winchester
Credit : winchestermysteryhouse.com
บ้านหลังนี้มีขนาดที่ใหญ่มากเกินกว่าจะเป็นสถานที่สำหรับพักอาศัยของคนหนึ่งคน และน่าแปลกใจที่ความรู้สึกแรกๆที่สัมผัสได้กลับกลายเป็นความวังเวงที่เข้ามาแทนความน่าตื่นตาตื่นใจ ที่ดินของ Winchester Mystery House ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 400 ไร่ และด้วยสไตล์บ้านแบบอเมริกันโบราณนี้เอง ยิ่งสร้างบรรยากาศเพิ่มความวังเวงได้อย่างดีทีเดียว เดิมที Winchester Mystery House เป็นเพียงบ้านที่มี 8 ห้อง และได้รับการต่อเติมจนเป็นคฤหาสน์ที่มีห้องมากถึง 400 ห้อง และมีความสูง 7 ชั้น แต่หลังจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวทำให้ได้รับความเสียหาย ปัจจุบันจึงเหลืออยู่เพียง 4 ชั้นกับ 160 ห้องเท่านั้น
Credit : housebeautiful .com
Winchester Mystery House เป็นคฤหาสน์ที่มีการต่อเติมอย่างต่อเนื่องแบบ 24 ชั่วโมง เป็นเวลา 38 ปี นับตั้งแต่ปี 1884 และยังถูกสร้างขึ้นมาด้วยการไม่มีสถาปนิกในการก่อสร้าง โดยจากประวัติศาสตร์อ้างอิงไว้ว่าก่อสร้างโดยช่างไม้ซึ่งส่วนมากเป็นคนพื้นถิ่นที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น จึงเรียกได้ว่าเป็นคฤหาสน์ที่เต็มไปด้วยการก่อสร้างแบบภูมิปัญญาชาวบ้าน และมีความพิศดารอยู่มากมาย
Credit : winchestermysteryhouse .com
แต่ทั้งหมดที่ถูกสร้างขึ้นมาแบบพิศดารเหล่านี้ มีที่มาที่ไปจากเหตุการณ์สะเทือนใจที่สุดในชีวิตของ Sarah Lockwood Pardee Winchester เรื่องราวดังกล่าวโด่งดังมากจนคนในพื้นที่ส่วนใหญ่สามารถท่องได้ขึ้นใจ Sarah และ William ได้สูญเสียลูกของพวกเขาไปด้วยโรคที่หาสาเหตุไม่ได้ เหตุการณ์ที่ต้องเสียลูกไปครั้งนี้ทำให้ Sarah ช็อคถึงขั้นสติล่องลอยอยู่เป็นเวลานาน และต้องใช้เวลาเยียวยาฟื้นฟูอยู่เป็นสิบปี หลังจากที่เธอเริ่มที่จะดีขึ้นแต่ก็เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เพราะไม่นาน William สามีของเธอก็ได้เสียชีวิตลงเช่นกัน การสูญเสียในครั้งนี้ทำให้ Sarah กลับมาโศกเศร้าอีกครั้ง และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Sarah พึ่งไสยศาสตร์สื่อสารกับวิญญาณ เพื่อต้องการที่จะติดต่อกับสามีและลูกของเธอโดยผ่านร่างทรง โดยการเริ่มใช้ไสยศาสตร์นี้เองเรียกได้ว่าเป็นบ่อเกิดของเรื่องราวหลอนๆ หลายประการ
ร่างทรงมีการบอกเล่าถึงข้อมูลที่เกี่ยวกับคำสาป ร่างทรงบอกกับ Sarah ว่าครอบครัวของเธอนั้นต้องคำสาปจากเหล่าวิญญาณที่ต้องตายจากปืนที่ตระกูล Winchester เป็นผู้ผลิต วิญญาณเหล่านั้นจ้องจะเอาให้ครอบครัวของ Sarah ถึงแก่ความตายและรายต่อไปที่จะต้องตายก็คือ Sarah ด้วยความที่ช่วงเวลานั้น Sarah มีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงทำให้เชื่อคำที่ร่างทรงบอกทั้งหมด พร้อมกับหาหนทางแก้ไขที่เป็นต้นตอของการสร้างบ้านพิศดาร Winchester Mystery House
Credit : housebeautiful .com
Sarah ย้ายที่อยู่ไปอยู่เมืองที่ห่างไกลความเจริญ และเริ่มทำการซื้อที่ดินพร้อมต่อเติมบ้านด้วยช่างชาวบ้าน เพราะเธอเชื่อมั่นว่าการสร้างบ้านให้มีลักษณะเป็นเขาวงกตเท่านั้นที่จะปกป้องเธอได้ และ Sarah ยังเชื่ออย่างหมดใจว่าหากการก่อสร้างของบ้านหลังนี้เกิดหยุดลง วิญญาณร้ายที่กำลังตามหาเธออยู่ จะต้องหาเธอจนเจอและฆ่าเธออย่างแน่นอน Sarah จึงต่อเติมไปเรื่อยๆ โดยไม่มีที่สิ้นสุด
แต่อนุสาวรีย์แห่งความบ้าคลั่งนี้ก็ต้องจบลงเมื่อมีเหตุการณ์สุดท้ายก่อนที่ Sarah จะเสียชีวิตลง นั่นคือในคืนที่มีฝนตกอย่างหนัก ช่างที่กำลังต่อเติมได้เกิดความกลัวว่าฟ้าจะผ่าลงมาพวกเค้าเลยหยุดการทำงานอย่างกระทันหัน ถึงแม้ไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าจะใช้ด้วยเหตุผลนี้หรือไม่ที่ทำให้ Sarah ต้องจบชีวิตลงด้วยวัย 83 ปี ในช่วงเวลานั้นพอดี ทิ้งไว้เพียงคฤหาสน์สุดหลอนหลังนี้ พร้อมกับเรื่องเล่าหลอนๆ เกี่ยวกับการสัมผัสได้ว่าวิญญาณของ Sarah ก็อาจจะยังวนเวียนอยู่ในบ้านของเธอ

Haunted House No. 2 : Hay House Macon

Credit : loc .gov
Hay House Macon เป็นบ้านที่มีโครงสร้างที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของรัฐจอร์เจีย ของสหรัฐอเมริกา ตั้งอยู่ในเมือง Macon และได้รับการประกาศให้เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งชาติ ถูกสร้างขึ้นในปี 1855 และต่อเนื่องไปจนถึงปี 1859 Hay House Macon เป็นอีกหนึ่งคฤหาสน์ขนาดใหญ่ที่มีข่าวลือลี้ลับเล่าต่อๆ กันมาเกี่ยวกับมีการถูกหลอกหลอนจากวิญญาณของหญิงชราปริศนา ปัจจุบันบ้านหลังนี้ถูกบริจาคให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์และเปิดโอกาสให้คนทั่วไปสามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้
Hay House Macon สร้างขึ้นในสไตล์ฟื้นฟูศิลปวิทยาของอิตาลี มีลักษณะเป็นคฤหาสน์ขนาด 8,094 ตารางเมตร สูง 4 ชั้น และครอบทับด้วยโดมสองชั้น แปลนของบ้านถูกออกแบบให้มีทั้งหมด 24 ห้อง โดยอาคารหลังนี้สร้างจากความต้องการของ William Butler Johnston และ Anne Clark Tracy สามีภรรยาเจ้าของบ้านผู้ที่ได้เดินทางท่องเที่ยวทริปฮันนีมูนในทวีปยุโรป และประทับใจสถาปัตยกรรมสไตล์อิตาเลียน จึงนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้าง Hay House Macon โดย Johnston ได้คัดเลือกคนงานที่เชี่ยวชาญที่สุดในยุคนั้นเพื่อสร้าง “พระราชวังแห่งทิศใต้” คฤหาสน์สมัยศตวรรษที่ 19 ที่ประกอบไปด้วยรูปปั้นหินอ่อน กระจกสี เครื่องเรือนและภาพวาดอันวิจิตร การตกแต่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยเส้นตรงและความสมมาตรที่เป็นพื้นฐานของสไตล์อิตาเลียนเรอเนซองส์
Credit : atlanta.curbed .com
บ้านหลังนี้ถูกเปลี่ยนมือมาถึง 3 ตระกูล โดยเริ่มต้นจากตระกูล Johnston เขามีลูกทั้งหมด 6 คนแต่เสียชีวิตเกือบหมด มีรอดมาเพียง 2 คนเท่านั้น โดยในปี 1888 Mary Ellen หนึ่งในลูกสาวที่รอดชีวิตได้ไปแต่งงานกับ William H. Felton ตระกูล Felton จึงได้กลายเป็นเจ้าของหลักของบ้านหลังนี้แทน โดย Felton ได้ปรับปรุงบ้านโดยเดินระบบน้ำและแสงสว่างไว้อย่างครอบคลุม ซึ่งถือว่าทันสมัยและหรูหรามากในสมัยนั้น เนื่องจาก Thomas Edison สร้างหลอดไฟหลอดแรกได้ในปี 1878 ดังนั้นหลอดไฟในยุคนั้นจึงมีราคาสูง ทั้งยังวางระบบให้มีน้ำและแสงสว่างในทุกๆ ห้อง แม้จะไม่ใช่ห้องของครอบครัวเจ้าของบ้าน จึงเรียกได้ว่าหรูหราฟุ่มเฟือย และสะดวกสบายสำหรับยุคนั้นจริงๆ
จนกระทั่ง William H. Felton และภรรยาเสียชีวิตลงในปี 1926 ทายาทของพวกเขาก็ได้ขายบ้านให้กับตระกูล Hay ซึ่งก็ได้ทำการรีโนเวทบ้านอีกครั้ง เพื่อให้ดูเข้ากับสมัยนิยมในยุคศตวรรษที่ 20 มากขึ้น จนกลายเป็นอาคารที่สวยงามและเป็นแลนมาร์คสำคัญของเมือง จนกระทั่งสองสามีภรรยาตระกูล Hay เสียชีวิตในปี 1962 ทายาทของพวกเขาที่ต้องรับบ้านหลังนี้มาเป็นมรดกสืบทอดก็เกิดความไม่สบายใจที่จะอาศัยอยู่ต่อ จึงทำให้ลูกสาวของตระกูล Hay ผู้เป็นเจ้าของครอบครองมือสุดท้ายของบ้านหลังนี้ ได้เปลี่ยนบ้านให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ บริจาคให้กับ Georgia Trust for Historic Preservation ในปี 1977 และในปัจจุบันผู้คนทั่วไปก็สามารถเข้ามาเยี่ยมชมบรรยากาศหลอนๆ ภายใน Hay House Macon ได้
Credit : weddingwire .com
แต่เรื่องดันไม่จบเพียงเท่านั้น… เนื่องจากสถานที่แห่งนี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์จากเดิมที่เป็นอาคารเก่า จึงทำให้มีเรื่องเล่าถึงความลี้ลับต่างๆ ที่มักหลุดมาจากทั้งพนักงาน และผู้ที่มาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ เพราะผู้คนเชื่อว่าบ้านหลังใหญ่ที่เคยมีคนอยู่อาศัยเมื่อต้องถูกทิ้งไว้อย่างว่างเปล่าเป็นเวลานาน มักมีจะมีวิญญาณที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาอาศัยอยู่แทน มีหลายคำเล่าหนาหูเกี่ยวกับการพบเห็นวิญญาณของหญิงชราปริศนาที่สวมใส่ชุดของยุค 1800 ซึ่งไม่มีคำยืนยันว่าหญิงชราผู้นี้เป็นใคร และจะใช่บุคคลที่เคยอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้หรือไม่ แต่หญิงชราผู้นี้มักจะปรากฏตัวออกมาให้คนได้พบเห็นด้วยการเดินเตร็ดเตร่ผ่านโถงทางเดินอยู่บ่อยๆ นอกจากนี้ยังมีพยานรายงานว่าได้ยินเสียงฝีเท้า และเสียงของประตูที่เปิดปิดเองราวกับว่ามีบางคนอาศัยอยู่ในที่แห่งนี้ ซึ่งในความเป็นจริงนั้นเป็นไปไม่ได้แน่นอน เพราะบ้านหลังนี้ตั้งแต่ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์ก็ไม่เคยอนุญาตให้มีใครสามารถมาพักอาศัยอีก จึงทำให้ผู้คนเริ่มกลัวกับการสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของสิ่งเหนือธรรมชาติเหล่านี้ ไม่เว้นแม้แต่สมาชิกคณะกรรมการของบ้านเองก็ได้เล่าว่าเขาก็เคยได้เห็นเข้าอย่างจังกับผีของอดีตเจ้าของนั่นคือ คุณนาย Felton… เขาเล่าอย่างมั่นใจว่าเขาไม่ได้ตาฝาด…
เขากล่าวว่าได้เห็นว่า ‘บางสิ่ง’ ที่หน้าตาเหมือนกับคุณนาย Felton ผู้ที่เสียชีวิตไปนานมากแล้ว กำลังมองจ้องเขาผ่านลิ้นชัก โดยเขาสามารถจดจำคุณนาย Felton ได้จากภาพเหมือนของเธอ… แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถพิสูจน์ได้ง่ายๆ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นความจริง หรือเป็นจินตนาการของผู้ที่พบเจอ เรื่องราวต่างๆ อาจจะเป็นเพียงนิทานที่เล่าต่อๆ กันมา เพื่อส่งเสริมบรรยากาศสยองขวัญให้กับบ้าน Hay House เพียงเท่านั้น… หรือไม่แน่บางที ‘พวกเขา’ อาจจะอาศัยอยู่ในบ้านหลังงามหลังนี้จริงๆ ก็เป็นได้

Haunted House No. 3 : The Fairmont Banff Springs Hotel

Credit : eatworktravel .com
The Fairmont Banff Springs Hotel เป็นที่รู้จักในชื่อปราสาทในเทือกเขาร็อกกี้ ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติแบมฟ์ เมืองอัลเบอร์ตา ประเทศแคนาดา ซึ่งได้รับการประกาศให้เป็นโบราณสถานแห่งชาติในปี 1988 และเป็นที่รู้จักจากการออกแบบสถาปัตยกรรมในบรรยากาศธรรมชาติ และเพราะโรงแรมตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขาร็อกกี้ สถานที่แห่งนี้จึงไม่ได้เป็นที่รู้จักจากแค่การเป็นโรงแรมที่มีบรรยากาศทสุดแสนอลังการ แต่ยังโด่งดังในเรื่องของเรื่องเล่าแปลกๆ เกี่ยวข้องกับสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยเช่นกัน แค่เห็นบรรยากาศก็พอจะเดาได้ว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ ‘สิ่งมีชีวิตอาศัย’ อยู่อย่างแน่นอน
Credit : wikimedia
The Fairmont Banff Springs Hotel เป็นโรงแรมที่โดดเด่นในสไตล์ Scottish Baronial มีการตกแต่งภายในด้วยศิลปะและงานฝีมือสุดวิจิตรเพราะแนวคิดทางสถาปัตยกรรมในสมัยนั้นเน้นที่การสร้างความหรูหรา การก่อสร้างครั้งแรกเริ่มขึ้นในปี 1886 ออกแบบโดย Bruce Price สถาปนิกชาวอเมริกัน เขาอาศัยแรงบันดาลใจจากสไตล์ชาโตว์ (Chateau) ของฝรั่งเศสผสมผสานเข้ากับสไตล์วิคตอเรียตอนปลาย ซึ่งก็ถือเป็นงานสถาปัตยกรรมรูปแบบใหม่ของแคนาดาในขณะนั้น โรงแรมมีความสูง 5 ชั้น และดำเนินการออกแบบควบคู่ไปกับการรักษาบรรยากาศความเป็นธรรมชาติเอาไว้ได้อย่างลงตัว ต่อมาในปี 1910 The Fairmont Banff Springs Hotel ได้รับการต่อเติมเพิ่มความสูงไปถึง 11 ชั้น เพื่อพัฒนาภาพลักษณ์ของโรงแรมมีการเปลี่ยนแปลงกระเบื้องหลังคาโบราณที่ทำจากไม้สนและไม้ซีดาร์ และแทนที่ด้วยหลังคาทรงแบนและหน้าต่างโค้งทรงกลม ทำให้ความสวยงามเปลี่ยนไปอย่างมาก นอกจากนี้ยังมีหน้าต่างและระเบียงที่ยื่นออกไปทางด้านนอกทำให้สามารถเห็นทัศนียภาพกว้างไกลของภูเขาและภูมิทัศน์ได้มากยิ่งขึ้น
Credit : theluxurytravelexpert .com
และด้วยอายุที่มีมาอย่างยาวนานของ The Fairmont Banff Springs Hotel จึงทำให้ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะต้องมีเรื่องเล่าของสิ่งลี้ลับซึ่งตามมาเป็นของคู่กัน เพราะโรมแรมแห่งนี้ก็ได้ผ่านเหตุการณ์มามากมายทั้งภัยพิบัติทางธรรมชาติ ไปจนถึงเหตุการณ์ไฟไหม้ นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ เช่น เหตุการณ์ที่แขกผู้มาเข้ามาพักเล่าต่อๆ กันว่ามักจะพบเห็นวิญญาณของแซม แมคคอลีย์เป็นชายชราชาวสก็อตที่ทำงานในโรงแรมเป็นพนักงานยกกระเป๋าตั้งแต่ช่วงปี 60 ซึ่งเขาได้เสียชีวิตไปแล้วแต่จิตใต้สำนึกยังคงยึดติดกับสิ่งที่ทำเป็นประจำอยู่ทุกวัน อย่างที่เรามักจะได้ยินกันบ่อยๆ ว่าเมื่อยังไม่หมดห่วงวิญญาณก็จะยังไม่ไปไหนถึงแม้จะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม แซมอาจจะมีความรักในหน้าที่การทำงานเป็นชีวิตจิตใจจึงทำให้ถึงแม้ร่างของเขา จะไม่สามารถทำงานได้แล้ว แต่วิญญาณของเขายังคงมาทำงานอยู่ก็เป็นได้ ซึ่งจากเรื่องเล่าเหตุการณ์หลอนๆ ที่พบกันส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการได้รับบริการที่ดีจากแซมอยู่เสมอ
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีวิญญาณของเจ้าสาวที่เสียชีวิตจากการพลัดตกบันไดหินอ่อนขนาดใหญ่ของโรงแรมในวันแต่งงาน เรื่องเล่านี้ก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งตำนานที่โด่งดัง เพราะมีพนักงานและแขกได้รายงานว่าเห็นร่างที่สวมชุดเจ้าสาวขยับขึ้นลงอยู่ที่บริเวณบันได บางครั้งก็เห็นว่ากำลังเต้นรำในชุดแต่งงานของเธอในห้องบอลรูม ถ้าคิดในมุมของความเชื่อก็มีความเป็นไปได้ว่าจิตสุดท้ายก่อนที่จะตายกำลังยึดติดกับการแต่งงาน จึงทำให้วิญญาณที่ไม่สมหวังยังคงมาทำอะไรซ้ำๆ เดิมๆ และไม่ยอมปล่อยวาง
Credit : wikimedia
และเหตุการณ์ที่หลอนที่สุดคงจะหนีไม่พ้นเรื่องราวของห้องพักหมายเลข 873… เพราะเหตุการณ์ไฟไหม้ในปี 1926 ทำให้โรงแรมต้องปิดปรับปรุงพื้นที่บางส่วนไปจนถึงสองปี และเมื่อได้ฤกษ์กลับมาเปิดทำการอย่างเต็มที่ใหม่อีกครั้งในปี 1928 กลับมีเหตุฆาตกรรมเกิดขึ้นในห้องพักหมายเลข 873… ชายคนหนึ่งได้จบชีวิตของภรรยาและลูกสาวของตนในห้องพักแห่งนั้น แม้ว่าเรื่องคดีจะถูกดำเนินไปตามกฎหมายแล้ว ทว่าเรื่องที่มนุษย์ไม่สามารถจัดการได้อย่างความโศกเศร้าและคับแค้นของวิญญาณสองแม่ลูกที่ยังคงอยู่ในห้องแห่งนั้น โดยผู้ที่เข้ามาพักภายหลังกล่าวว่าได้ยินเสียงประหลาด เสียงกรีดร้อง เงาดำ ไปจนถึงรอยมือของเด็กบนกระจกเงา
ภายหลังจึงได้มีการปิดตายประตูห้องนั้นโดยการนำแผ่นผนังมากั้นให้ประตูกลายเป็นส่วนหนึ่งของผนังไปเลย แม้โคมไฟคู่ที่เดิมประดับอยู่สองข้างประตูจะยังอยู่แต่ชั้น 8 ของโรงแรมก็ไม่มีห้อง 873 อีกต่อไป พนักงานและแขกบางคนที่ไปเข้าพักที่ชั้น 8 ยังเล่าว่ายังคงได้ยินเสียงแปลกประหลาดอยู่บริเวณทางเดิน… แม้ภายหลังจะมีพนักงานออกมาบอกว่าสาเหตุที่ห้อง 873 หายไปนั้นเป็นเพราะพวกเขาได้ใช้พื้นที่ของห้อง 873 ขยายให้เป็นพื้นที่ของอีกสองห้องข้างเคียงตั้งแต่ช่วงที่ปรับปรุงพื้นที่โรงแรม และคดีฆาตกรรมดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้น ทว่าก็ยังมีคนตั้งข้อสงสัยว่าเหตุใดชั้น 8 จึงเป็นชั้นเดียวที่ไม่มีห้องหมายเลย 73 เพราะชั้น 7 กับชั้น 9 ก็ยังมีห้องหมายเลขนี้อยู่ดังเดิม… หากใครอยากรู้ว่าจริงๆ แล้วเรื่องนี้มีข้อเท็จจริงอย่างไรกันแน่… ก็คงต้องลองไปพิสูจน์กัน : )

Haunted House No. 4 : Corvin Castle, Romania

Credit : itinari .com
Corvin Castle เป็นปราสาทยุคกลางที่ตั้งอยู่บนหินในเขตชานเมืองฮูเนโดอารา ประเทศโรมาเนีย และเป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรปตะวันออก โดยเป็นทรัพย์สินที่มีชื่อเสียงที่สุดของ Iancu de Hunedoara หรือที่รู้จักกันในนาม จอห์น ฮันยาดี อดีตผู้สำเร็จราชการแห่งฮังการีในปี 1441 – 1446 และยังเป็นผู้ปกครองของโรมาเนียในทรานซิลเวเนียของประเทศฮังการีสมัยนั้น ปัจจุบันปราสาทแห่งนี้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ฮูเนโดอารา และพิพิธภัณฑ์แห่ง Corvin Castle โดยผู้เชี่ยวชาญหลายคนในสาขาประวัติศาสตร์และโบราณคดียุคกลางถือว่า Corvin Castle เป็นอนุสรณ์สถานยุคกลางที่ดีที่สุดในยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ โครงสร้างที่เหมือนเทพนิยายนี้ทั้งสง่างามและดูลึกลับในเวลาเดียวกัน
Credit : itinari .com
สถาปัตยกรรมอันวิจิตรบรรจงได้รับการออกแบบในสไตล์กอธิคที่เน้นโครงสร้างที่น่าประทับใจ ปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกในศตวรรษที่ 14 บนซากปรักหักพังของค่ายโรมันในอดีตเพื่อใช้เป็นป้อมปราการ แต่ภายหลังในปี 1446 ก็ได้ถูกปรับปรุงจากป้อมปราการให้มีความทันสมัยและเสริมความแข็งแกร่ง มีการต่อเติมสไตล์เรเนสซองส์-กอธิค รวมถึงภาพวาดที่แสดงถึงชีวิตอันสูงส่ง เพื่อให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็นปราสาทแทน ซึ่งเป็นผลงานของผู้นำทางทหาร จอห์น ฮันยาดี เป็นผู้ควบคุมการออกแบบต่อเติม และเจ้าของปราสาท
Credit : romaniatourstore .com
การปรับปรุงเริ่มขึ้นในปี 1446 และใช้เวลาเกือบ 40 ปีกว่าจะแล้วเสร็จทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายเพราะจอห์น ฮันยาดี เสียชีวิตลงในปี 1456 ด้วยโรคระบาด จากนั้นจึงเป็น แมทเธียส คอร์วินุส (Matthias Corvinus) บุตรชายของจอห์นที่ขณะนั้นมีอายุเพียง 13 ปี ที่สานต่อการปรับปรุงจนเสร็จ ทว่าในระหว่างนั้นก็ได้มีเรื่องเล่าว่าในช่วงปี 1462 ปราสาทแห่งนี้ถูกใช้เป็นสถานที่ขุมขังเจ้าชายวลาร์ดที่ 3 แห่งวัลลาเคีย (แคว้นที่อยู่ติดกับทรานซิลเวเนีย) หรือ โดยเจ้าชายพระองค์นี้นั้นก็เป็นต้นแบบของ แดร็กคิวล่า หรือ ผีดูดเลือด โดยชื่อนี้มาจากนามสกุลของพระองค์ วลาร์ด ดรากูลาร์ (นามสกุล ดรากูลาร์ สืบทอดมาจากบิดาที่ได้รับเหรียญกล้าหาญ Order of Dragon และออกเสียงในแบบฮังการี)
เพราะในช่วงที่จอห์น ฮันยาดียังคงมีชีวิตอยู่ ฮันยาดีและวลา์ดมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน ถึงขั้นให้วลาดที่เดิมเป็นเจ้าชายและแม่ทัพของต่างแคว้นที่พ่ายแพ้ในสงครามขึ้นเป็นที่ปรึกษาเพราะประทับใจในความรู้ความสามารถ ทว่าในภายหลังเมื่อวลาร์ดกลับไปครองวัลลาเคีย เขากลับมีปัญหากับชาวออตโตมันซึ่งเป็นกองกำลังที่มีอิทธิพลในสมัยนั้น จึงได้หนีไปขอความช่วยเหลือที่โรมาเนีย แต่แทนที่จะได้รับความช่วยเหลือ แมทเธียส คอร์วินุส กลับจับเขาขังเอาไว้เพราะไม่อยากมีปัญหากับชาวออตโตมัน แต่ก็ได้ส่งจดหมายปลอมไปให้ชาวออตโตมันว่าวลาดกลับใจและสนับสนุนออตโตมันแล้ว กองทัพจึงเลิกตามล่าเจ้าชายวลาร์ด…
Credit : omnivagant .com
เจ้าชายถูกขุมขังกักบริเวณเป็นเวลายาวนานกว่า 7 ปี จนกระทั่งเขาทนไม่ไหว เกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาและทำร้ายผู้คนในปราสาทจนเกิดเหตุการณ์นองเลือดครั้งใหญ่ ชีวิตมากมายถูกคร่าไปจากความกระหายเลือดที่ถูกกักเก็บมาอย่างยาวนาน แต่แน่นอนว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เขาใช้ดาบเป็นอาวุธ จนได้ฉายา “วลาร์ดนักเสียบ (Vlad the Impaler)” มา หาได้ใช้ฟันแหลมคมกัดดูดเลือดใครเหมือนดังที่ผู้เขียนนวนิยายเรื่องแดร็กคิวลาร์บรรยายไว้ในหนังสือ…
นอกจากนี้ ด้วยความที่ Corvin Castle ได้ผ่านการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาหลายครั้งตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 จนกระทั่งถึงศตวรรษที่ 17 แปลนของปราสาทจึงค่อนข้างซับซ้อนและไม่เหมือนใคร จะเห็นได้ว่ามีการสร้างห้องถึง 42 ห้องและครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 7,000 ตารางเมตร สูง 70 เมตร หน้าต่างและระเบียงจำนวนนับไม่ถ้วนที่ตกแต่งด้วยงานแกะสลักหิน ปราสาทแห่งนี้ผ่านการใช้งานจริงทั้งการพักอาศัย และห้องโถงที่เคยใช้เพื่อจัดพิธีต่างๆ ในยุคหลังที่ปราสาทได้หยุดทำงานอย่างสมบูรณ์มีเพียงการต่อเติมเพื่อวัตถุประสงค์ด้านสุนทรียศาสตร์และการทหารเท่านั้น และมีการเปิดให้ประชาชนได้เข้าเยี่ยมชมได้
Credit : romaniatourstore .com
นอกจากนี้ยังมีตำนานอีกสองสามเรื่องที่อยู่รายล้อมปราสาทแห่งนี้ นอกจากบรรยากาศที่น่าขนลุกแล้ว บางปราสาทก็มีผีสิงด้วย ยกตัวอย่างเช่นบริเวณใกล้ทางเข้าโบสถ์มีน้ำพุที่ขุดด้วยหินโดยนักโทษชาวตุรกีสามคนที่มีโทษขุมขังตลอดชีวิต ตำนานเล่าว่า จอห์น ฮันยาดี ได้ยื่นข้อเสนอกับพวกเขาว่า หากพวกเขาขุดชั้นหินไปเรื่อยๆ จนสามารถเจอแหล่งน้ำ พวกเขาจะได้เป็นอิสระ นักโทษทั้งสามได้ฟังข้อเสนอก็ตกลงและเริ่มมีความหวังและกำลังใจ เพราะเชื่อมั่นในคำพูดของฮันยาดี จึงลงมือขุดหินไปเรื่อยๆ อย่างตั้งใจ จนเวลาล่วงเลยไป 10 ปีเหล่านักโทษก็ได้พบกับแหล่งน้ำจริงๆ แต่แทนที่พวกเขาจะได้รับการปล่อยตัวตามสัญญา กลับโดนหักหลังด้วยการนำไปตัดหัวแทนเพราะฮันยาดีไม่มีความคิดจะปล่อยนักโทษทั้งสามไปตั้งแต่แรกแล้ว… มีความเชื่อว่าวิญญาณที่เสียชีวิตด้วยแรงอาฆาตจากการถูกหักหลังจะยังไม่ไปไหน และวนเวียนอยู่ในบริเวณนั้นเพื่อรอการปลดปล่อยให้เป็นอิสระอย่างแท้จริง

Haunted House No. 5 : Palacio de Linares, Spain

Credit : elmapadelviajero .com
Palacio de Linares หรือวัง Linares หน้าตาของสถาปัตยกรรมที่สวยงามในตอนกลางวัน แต่เมื่อฟ้าเริ่มมืดลงกลับกลายเป็นมีบรรยากาศที่ชวนขนลุกเกิดขึ้นมาแทน วัง Linares ตั้งอยู่ในกรุงมาดริดประเทศสเปน สร้างขึ้นในปี 1878 เพื่อใช้เป็นที่พำนักของ Marquisate of Linares (เป็นตำแหน่งขุนนางสเปนที่แต่งตั้งโดย King) ต่อมาก็ได้ถูกทิ้งร้างและอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่อยู่นานหลายทศวรรษ ก่อนจะถูกบูรณะฟื้นฟูขึ้นใหม่ในปี 1990 ในช่วงที่ถูกปล่อยทิ้งร้างมักมีความเชื่อกันว่าจะมีสิ่งที่ไม่ได้รับเชิญเข้ามาขออยู่อาศัยแทน ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีการเปิดใช้งานเป็นสำนักงานใหญ่ของ Casa de America (สมาคมสาธารณะที่มีวัตถุประสงค์เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสเปนและทวีปอเมริกา) แต่เรื่องผีในวัง Linares ก็ยังคงโด่งดังจนนักท่องเที่ยวอยากจะมาพิสูจน์กันอยู่บ่อยครั้ง
Credit : libertaddigital .com
Palacio de Linares ถูกออกแบบโดยสถาปนิก Carlos Colubí, Adolf Ombrecht และ Manuel Aníbal Álvarez ภายนอกที่เงียบขรึมและสะอาดของคฤหาสน์ 4 ชั้นสไตล์ฝรั่งเศสผสมผสานกับสไตล์อิตาลี ขัดกับการตกแต่งภายในที่มีการผสมผสานจากการบูรณะในแต่ละครั้งของเหล่าสถาปนิก การตกแต่งได้รับแรงบันดาลใจจากสไตล์ต่างๆ ตั้งแต่พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 และพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ที่หรูหรา ไปจนถึงสไตล์ Rococo และ Renaissance พร้อมโคมไฟทองแดงจากปารีส วัสดุที่ดีที่สุดถูกนำมาใช้ในการก่อสร้าง เช่น หินอ่อน Carrara หรือผ้าไหมจีนและฝรั่งเศส นอกจากนี้ยังมีเพดานที่ตกแต่งด้วยภาพเขียนปิดทองและภาพวาดในตำนานมากมาย ถือเป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมในศตวรรษที่ 19 ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดในสเปนและยังเปิดให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าเยี่ยมชมได้อีกด้วย
วังแห่งนี้นอกจากความวิจิตรงดงามของสถาปัตยกรรมแล้ว อีกหนึ่งเรื่องที่เป็นที่พูดถึงไม่แพ้กันคือเรื่องราวของ ‘สิ่งที่มองไม่เห็น’ มักมีเหตุการณ์ที่ไม่สามารถให้คำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผลได้เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ เช่น เสียงคนเดินขึ้นลงขั้นบันไดในห้องว่างๆ หรือจะเป็นประตูที่เปิดปิดเอง แม้แต่เสียงคร่ำครวญและกรีดร้องกลางดึกก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วเช่นกัน ซึ่งเหตุการณ์สยองขวัญที่เกิดขึ้น มักจะเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งที่ ‘บ้านตุ๊กตา’ ที่ถูกสร้างขึ้นภายในวัง Linares บ้านตุ๊กตานี้มีขนาดเท่ากับบ้านของคนจริงๆ และตั้งอยู่ในสวน โดยว่ากันว่าถูกสร้างขึ้นมาสำหรับลูกสาวของ Marquis of Linares… แต่พินัยกรรมตอนที่เสียชีวิตนั้นระบุไว้ว่าท่านมาร์ควิสไม่มีลูก แล้วเหตุใดจึงมีบ้านตุ๊กตาหลังใหญ่ขนาดนั้นได้…?
Credit : libertaddigital .com
Marquis of Linares ในยุคแรกคือ ดอน มาทีโอ เมอร์กา (Don Mateo Murga) แต่ต่อมาได้ส่งต่อตำแหน่งให้กับ ดอน โจเซ่ เมอร์กา (Don José Murga) ลูกชายเพียงคนเดียวของเขา โดยเรื่องราวของครอบครัวนี้ต้องเริ่มเล่าตั้งแต่ก่อนดอน โจเซ่จะเกิดได้สองปี… ดอน มาทีโอ ได้พบกับสาวขายบุหรี่คนหนึ่ง พวกเขาตกหลุมรักกันจนได้ให้กำเนิดลูกสาวขึ้นมาคนหนึ่ง… แต่ดอน มาทีโอในตอนนั้นได้แต่งงานมีภรรยาอยู่แล้ว ดังนั้นสาวขายบุหรี่จึงตัดสินใจออกไปจากชีวิตของเขา เลี้ยงลูกด้วยตัวคนเดียวโดยไม่รับเงินช่วยเหลือค่าเลี้ยงดู ให้ลูกใช้นามสกุลของตน และไม่แม้กระทั่งจะบอกว่าพ่อที่แท้จริงของเด็กน้อยเป็นใครจนกระทั่งเธอเสียชีวิต…
สองปีหลังจากที่เด็กหญิงเกิด ภรรยาของดอน มาทีโอก็ตั้งครรภ์และคลอดดอน โจเซ่ เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านมาร์ควิสที่เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบ ทั้งยังได้รับคำอนุญาตจากครอบครัวว่าเขาสามารถ ‘แต่งงานกับผู้หญิงที่เขารัก’ ได้ ซึ่งเป็นคำอนุญาตที่ค่อนข้างแปลกใหม่ในสมัยนั้นที่ยังต้องแต่งงานกันเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างตระกูลและคงไว้ซึ่งสถานะทางสังคม… แต่นั่นก็ทำให้ดอน โจเซ่ที่ได้รับอิสระตามหารักแท้ของตัวเอง จนกระทั่งได้พบรักกับหญิงสาวคนหนึ่งที่รักเขาหมดหัวใจเช่นกัน…
ไรมุนด้า โอซาริโอ้ (Raimunda Osario) …เธอเป็นลูกสาวของสาวขายบุหรี่คนหนึ่ง…
Credit : miradormadrid .com
อาจฟังดูเป็นตลกร้าย แต่เรื่องราวความลับในรุ่นของพ่อแม่ไหนเลยจะเล่าให้ลูกฟังได้อย่างเปิดเผย เมื่อได้เห็นว่าคนรักที่ลูกต้องการจะแต่งงานด้วยเป็นใคร ดอน มาทีโอ ก็ปฏิเสธที่จะรับหญิงสาวคนนี้มาเป็นลูกสะใภ้โดยทันที จากนั้นก็กีดกันคู่รักด้วยการส่งลูกชายของตนไปที่อังกฤษ …ความรู้สึกอกหักเป็นยังไงดอน โจเซ่และไรมุนด้าต่างเข้าใจเป็นอย่างดี ทว่าหลังจากที่ดอนโจเซ่ไปถึงลอนดอนเพียงไม่นาน เขาก็ได้รับข่าวให้กลับสเปนโดยด่วนเพราะพ่อของเขา ดอน มาทีโอ ได้เสียชีวิตลงแล้ว…
ดอน โจเซ่กลับไปรับตำแหน่งมาร์ควิสแทนบิดา… และแต่งงานกับไรมุนด้าตามที่หวังเอาไว้ พวกเขาได้มีชีวิตแต่งงานที่แสนหวานชื่นจนใครๆ ต่างพากันอิจฉา จนกระทั่งดอน โจเซ่ได้พบจดหมายฉบับหนึ่งที่บิดาผู้ล่วงลับของเขาเขียนเอาไว้แต่ยังไม่ได้ส่งเพราะเสียชีวิตลงเสียก่อน… ในจดหมายเป็นจดหมายสารภาพที่บอกเล่าเรื่องราวความจริงทั้งหมด หลังจากที่เขาได้อ่านและบอกภรรยาของเขา… คู่สามีภรรยาที่รักใคร่ปรองดองก็กลายเป็นห่างเหินจนแทบจะกลายเป็นคนแปลกหน้า แต่ปัญหายังไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะในตอนที่พวกเขารู้เรื่อง ไรมุนด้าก็ได้ตั้งครรภ์เสียแล้ว…
บ้างก็กล่าวว่าไรมุนด้าแท้งเพราะความเครียด แต่บ้างก็บอกว่าพวกเขาได้ให้กำเนิดบุตรสาวคนหนึ่งชื่อว่า ไรมุนดิต้า (Raimundita) แต่เสียชีวิตหลังคลอดไม่นานเพราะร่างกายไม่แข็งแรง แต่ก็มีเรื่องเล่าเช่นกันว่าเด็กน้อยไรมุนดิต้ามีตัวตนจริงๆ แต่กลับต้องจบชีวิตลงอย่างโหดร้ายเพื่อไม่ให้ท่านมาร์ควิสและภรรยาหลงเหลือสัญลักษณ์ของความรักที่ไม่ควรเกิดขึ้น… และในภายหลัง หลังจากที่ไรมุนด้าเสียชีวิตในปี 1901 ไปเพียง 5 เดือน ท่านมาร์ควิสก็เสียชีวิตตามไป แม้ตามบันทึกจะระบุว่าเขามีมีโรคปอดเป็นโรคประจำตัวและคาดว่าเสียชีวิตด้วยโรคปอด ทว่ากลับมีเรื่องเล่าลือว่าท่านมาร์ควิสตรอมใจและจบชีวิตตนเองลงต่างหาก…
เรื่องราวที่แท้จริงจะเป็นอย่างไรนั้นยังไม่มีใครสามารถยืนยันได้ ทว่ามีคนกล่าวว่าหากเข้าไปใกล้บ้านตุ๊กตาหลังนั้นก็จะได้ยินเสียงร้องไห้ หรือเสียงร้องเรียกหาแม่ของเด็กหญิงน้อยที่ฟังดูเศร้าสร้อยเป็นอย่างยิ่ง…
เรื่องราวของสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีอยู่จริง ยิ่งในสถานที่ที่เคยผ่านเหตุการณ์มามากมายหลายชั่วอายุคนแบบนี้ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้อย่างมาก เรียกได้ว่าเมื่อได้ทราบ story ของแต่ละหลังแล้วทำเอารู้สึกวังเวงขึ้นมาเลยทีเดียว ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งบรรยากาศที่เหมาะกับช่วงเวลาแห่งความสยองขวัญในวันฮาโลวีนแบบนี้
สามารถติดตามผลงานต่าง ๆ ของทาง Bareo ได้ที่ช่องทางเว็บไซต์ของ Bareo หรือทาง Facebook : Design by Bareo ที่จะคอยอัพเดทข่าวสาร งานดีไซน์ และผลงานการออกแบบตกแต่งภายในมากมาย ให้ท่านผู้อ่านได้รับความรู้ และความสนุกตลอดทั้งปี
หรือหากสนใจจะออกแบบตกแต่งภายในกับทาง Bareo ทางเราก็มีบริการออกแบบภายในครบวงจร โดยสามารถอ่านรายละเอียดการให้บริการของเราได้ที่นี่ คลิ๊ก
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
sfgate .com
housebeautiful .com
abenakiextreme .com
itinari .com
romaniatourstore .com
historiasdemadrid .com
es.wikipedia .org
miradormadrid .com
suncruisermedia .com
hayhousemacon .org
mysteriumtours .com
hotelpuertadetoledo .com

CONTENT RELATED

NEW CONTENT

PORTFOLIO