Cave Painting
ภาพวาดผนังถ้ำ
หลายคนคงเคยสงสัยว่าความเจริญและวิทยาการต่าง ๆ นั้นมีต้นกำเนิดมาจากอะไร มนุษย์เรามีตัวตนมาตั้งแต่เมื่อไร และสิ่งที่เรียกว่าวัฒนธรรม ความเชื่อ ไปจนถึงขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆที่มีอยู่ทั่วทุกมุมโลกของผู้คนหลากหลายเชื้อชาติพันธุ์นั้นมาจากไหน หากจะว่ากันตามทฤษฎีและการศึกษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์แล้ว สามารถบ่งบอกได้ว่าสิ่งที่มีอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ล้วนแต่มีรากฐานมาจากอารยะธรรมในสมัยโบราณแทบทั้งสิ้น
ภาพวาดผนังถ้ำ ( Cave Painting ) ถือว่าเป็นงานศิลปะ ( Cave Art ) จากสมัยโบราณ รวมทั้งยังเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่บ่งบอกได้ว่ามนุษย์เรานั้นมีวิวัฒนาการ อารยธรรม ความเชื่อ และความคิดสร้างสรรค์มาตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์แล้ว โดยล่าสุดได้มีการค้นพบภาพวาดบนผนังถ้ำแห่งใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นั่นก็คือภาพวาดภายใน “ ถ้ำเลอัง ตะโดเง ” ( Leang Tedongnge ) ที่ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นภาพวาดที่เก่าแก่มากที่สุดในโลกตั้งแต่มีการค้นพบมาและนั่นอาจนำไปสู่ข้อสรุปใหม่ด้านประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
ถ้ำเลอัง ตะโดเง ( Leang Tedongnge Cave, Indonesia )
ภาพวาดหมูป่าในถ้ำเลอัง ตะโดเง เกาะสุลาเวสี, อินโดนีเซีย
Cr. bbc
ภาพวาดผนังถ้ำในถ้ำเลอัง ตะโดเง ( Leang Tedongnge Cave) บนเกาะสุลาเวสี ในประเทศอินโดนีเซีย ถูกค้นพบเมื่อปี ค.ศ.2017 กลายเป็นภาพวาดที่เก่าแก่ที่สุดในโลกไปแล้ว ( ก่อนหน้านี้เชื่อกันว่าภาพวาดบนผนังถ้ำที่เก่าแก่ที่สุดในโลกคือภาพวาดภายในถ้ำอัลตามีรา ประเทศสเปน และถ้ำลัสโก ประเทศฝรั่งเศส ) โดยถ้ำเลอัง ตะโดเง ตั้งอยู่ในหุบเขาห่างไกลจากตัวเมืองมากัสซาร์ บนเกาะสุลาเวสี และถูกรายล้อมด้วยหน้าผาหินปูนที่สูงชัน ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 1 ชั่วโมงจากถนนที่ใกล้ที่สุด สามารถเดินเข้าถึงตัวถ้ำได้เฉพาะแค่ในช่วงฤดูแล้งเท่านั้น เนื่องจากจะมีน้ำท่วมหลากในฤดูฝน และที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างมากก็คือ ชาวบูกิส ชนพื้นเมืองบนเกาะสุลาเวสี บอกว่าไม่เคยมีใครเห็นภาพวาดในสถานที่แห่งนี้มาก่อน
ภาพวาดหมูป่าขนาดเกือบเท่าขนาดจริง ภายในถ้ำเลอัง ตะโดเง
Cr. scrol
ภาพวาดผนังถ้ำ คือ ภาพวาดหมูป่า มีขนาด 136 ซม. x 54 ซม. ( 53 นิ้ว x 21 นิ้ว ) ที่ใช้สีแดงเข้มที่ได้จากดินที่มีส่วนผสมของแร่เหล็กออกไซด์ ซึ่งเป็นดินสีแดงพบได้ตามธรรมชาติทั่วไป ( Ironstone Haematite, or Ochre) ในภาพนี้แสดงให้เห็นถึงหมูป่าที่มีลักษณะใบหน้าคล้ายแตรและรูปร่างคล้ายหมูป่าตัวผู้โตเต็มวัย นอกจากนี้ยังมีภาพพิมพ์รอยมือของมนุษย์ทั้งสองข้างที่ด้านหลังของหมูป่า ซึ่งดูเหมือนว่าจะหันหน้าไปทางภาพหมูป่าที่เลือนรางอีก 2 ตัว โดยนักโบราณคดีเข้าใจว่าภาพวาดนี้ต้องการแสดงให้เห็นถึงปฏิสัมพันธ์บางอย่างระหว่างหมูป่า หรือจิตรกรผู้วาดภาพอาจต้องการสื่อถึงการเผชิญหน้าต่อสู้กันระหว่างหมูป่าทั้ง 3 ทั้งนี้ภาพวาดยังแสดงให้เห็นถึงทักษะความสามารถในการวาดภาพของมนุษย์ในยุคนั้นอีกด้วย
ภาพวาดหมูป่าบนผนังถ้ำเลอัง ตะโดเง
Cr. bbc
ภาพคอนทราสต์สูง แสดงให้เห็นถึงภาพวาดของหมูป่าอีก 2 ตัวที่เลือนราง
Cr. Adhi Agus Oktaviana
จากการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์พบว่า ภาพหมูป่านี้มีอายุประมาณ 45,500 ปี หรืออาจจะเก่ากว่านั้น ซึ่งอายุของภาพวาดนี้มีอายุตรงกับศิลปะยุคน้ำแข็งในทวีปยุโรป โดยภาพวาดผนังถ้ำชิ้นนี้ยังช่วยเติมเต็มช่องว่างเกี่ยวกับความเข้าใจในเรื่องการอพยพย้ายถิ่นฐานของมนุษย์ในยุคแรก ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่ามีกลุ่มมนุษย์เดินทางมาถึงทวีปออสเตรเลียเมื่อประมาณ 65,000 ปีก่อน แต่พวกเขาอาจต้องเดินทางข้ามผ่านเกาะต่าง ๆ ของอินโดนีเซีย หรือที่เรียกว่า ” วอลเลเซีย ” ( Wallacea ) มาก่อน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะช่วยไขปริศนาเกี่ยวกับการเข้าไปตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในทวีปออสเตรเลียว่ามีความเป็นมาอย่างไร นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ยังคงมีความพยายามตรวจหาร่องรอยดีเอ็นเอ ( DNA ) ของมนุษย์ผู้วาดภาพ เพื่อจะได้ทราบรายละเอียดของมนุษย์ในยุคนั้นว่ามีลักษณะทางกายภาพหรือชาติพันธุ์แบบไหน
ถ้ำอัลตามีรา ( Cave of Altamira, Spain )
ภาพวาดวัวกระทิง ภายในถ้ำอัลตามิรา, สเปน
Cr. puzzle factory
ภาพวาดภายในถ้ำอัลตามิรา ( Cave of Altamira หรือ Cuevas de Altamira ในภาษาสเปน ) เป็นผลงานศิลปะยุคหินก่อนประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญ และมีชื่อเสียงของประเทศสเปน ลักษณะเป็นถ้ำหินปูน มีขนาดความยาวประมาณ 1,000 ม. ทางเดินหลักมีความสูงตั้งแต่ 2 – 6 ม. ประกอบด้วยทางเดินและห้องที่มีลักษณะบิดเป็นเกลียว โดยภาพวาดภายในถ้ำนั้นถูกค้นพบโดยบังเอิญในปี ค.ศ.1869 โดย มาร์เซลิโน ซันซ์ เด เซาตูโอลา ( Marcelino Sanz de Sautuola ) นักโบราณคดีสมัครเล่นและเป็นเจ้าของที่ดินบริเวณดังกล่าวพร้อมกับลูกสาวชื่อว่ามารีอา ( María ) วัย 8 ขวบ ภาพวาดแห่งนี้คาดว่าจะมีอายุประมาณ 14,000 ปี ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองซานตียานาเดลมาร์ ในแคว้นปกครองตนเองกันตาเบรีย ทางตอนเหนือของประเทศสเปน ถ้ำแห่งนี้เป็นตัวแทนของผลงานศิลปะถ้ำยุคดึกดำบรรพ์ที่สามารถพบได้ทั่วทั้งยุโรป ตั้งแต่เทือกเขาอูราล ( Ural Mountains ) ไปจนถึงคาบสมุทรไอบีเรีย ( Iberian Peninsula ) โดยภาพวาดภายในถ้ำแห่งนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นผลงานชิ้นเอก ( Masterpiece ) ที่แสดงถึงความอัจฉริยะด้านความสร้างสรรค์ ความสุนทรีย์ และอ่อนช้อย เพราะภาพวาดทั้งหมดมีความงดงามและสมบูรณ์แบบอย่างมาก ยากที่จะเชื่อว่าเป็นฝีมือของมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ จนทำให้เกิดการโต้แย้งในแวดวงวิชาการมายาวนานกว่า 20 ปี จนในที่สุดถึงได้รับการยอมรับว่าเป็นฝีมือของมนุษย์ยุคหินเก่าจริงๆ
ภาพนักท่องเที่ยวกำลังชมภาพวาดบนเพดานถ้ำอัลตามิรา
Cr. albertoaja/europeanpressphotoagency
ภาพวาดที่พบบนผนังและเพดานถ้ำ ส่วนมากจะเป็นภาพสัตว์ที่มีมากในยุคนั้น เช่น กวางเรนเดียร์ วัวกระทิงไบซัน หรือ ม้า ซึ่งลักษณะของภาพวาดเกือบทั้งหมดแสดงให้เห็นถึงกิริยาและท่าทางของสัตว์ ที่กำลังเคลื่อนไหว ไม่ใช่อากัปกริยาที่ยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ โดยภายในถ้ำพบภาพวาดทั้งหมดจำนวน 25 ภาพ แต่ละภาพมีขนาดเกือบเท่าสัตว์จริงๆ
ภาพวาดลายเส้นรูปกวางบนผนังถ้ำอัลตามิรา
Cr. santillana-del-mar
สิ่งที่ทำให้ภาพวาดภายในถ้ำอัลตามิรามีความงดงามและน่าทึ่งมากกว่าภาพวาดจากถ้ำอื่นๆที่นักสำรวจเคยพบมา คือทักษะของจิตรกรผู้ทำการวาดภาพนั่นเอง เพราะด้วยวิธีการเลือกใช้สีที่นำมาระบายลงบนตัวสัตว์ การลงน้ำหนักวาดเส้นที่เด็ดขาด และที่น่าทึ่งเป็นอย่างมากก็คือการรู้จักวิธีแก้ปัญหาภาพที่ถูกวาดทับซ้อนกัน แสดงให้เห็นถึงมิติและระยะความตื้นลึก ( Perspective ) ในภาพวาดได้เป็นอย่างดี
ภาพการตกแต่งภายในถ้ำอัลตามิรา
Cr. christopher willan+greentraveller
ปัจจุบันถ้ำอัลตามิราได้กลายเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ( Altamira Cave National Museum ) และได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1985 จากยูเนสโก ( UNESCO ) สืบเนื่องมาจากชื่อเสียงความโด่งดังของถ้ำแห่งนี้จึงมีผู้นำมาผลิตเป็นภาพยนตร์ถ่ายทอดเรื่องราวออกมาในชื่อ “ Altamira ” ในปี ค.ศ. 2016 อีกด้วย
ถ้ำลัสโก ( Lascaux Cave, France )
Cr. billetscoupefile
“ ถ้ำลัสโก ” ( Lascaux Cave หรือ Grotte de Lascaux ในภาษาฝรั่งเศส ) ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งทางภูมิภาคแถบนี้ได้พบถ้ำที่มีภาพวาดโบราณอยู่หลายแห่งที่จัดว่าเป็นศิลปะจากยุคน้ำแข็ง และหนึ่งในถ้ำที่มีชื่อเสียงและได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีในจำนวนนี้ได้แก่ถ้ำลัสโก ซึ่งชาวฝรั่งเศสถือเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของประเทศ โดยถ้ำลัสโกถูกค้นพบเมื่อวันที่ 12 กันยายน ค.ศ. 1940 โดยเด็กชาย 4 คน ที่เข้าไปสำรวจดูหลุมของสุนัขจิ้งจอกเนื่องจากสุนัขของพวกเขานั้นผลัดตกลงไปบนเนินเขาลัสโก หลังจากนั้นมาจึงเริ่มมีการสำรวจและขุดถ้ำอย่างต่อเนื่อง จนในปี ค. ศ. 1948 ถ้ำแห่งนี้ก็เปิดให้ผู้คนได้เข้าชม
ภาพเด็กชายและสุนัขของเขา ที่ค้นพบถ้ำลัสโกโดยบังเอิญ
Cr. arkanimalcentre.wordpres
ภาพภายในถ้ำลัสโก
Cr. wallpapersafari
“ ถ้ำลัสโก” เชื่อว่าเคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์สมัยโบราณมาก่อน เนื่องจากมีการค้นพบอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น โคมไฟหินทราย และเตาผิง ที่ใช้ไขมันสัตว์เป็นเชื้อเพลิง ซึ่งการค้นพบสิ่งของเหล่านี้แสดงให้เห็นว่ามนุษย์รู้จักวิธีก่อไฟเพื่อใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิตมาอย่างช้านานแล้ว นอกจากนี้ภายในถ้ำยังมีภาพวาดอายุประมาณ 15,000 ปี ก่อนคริสต์ศักราช เป็นภาพวาดรูปสัตว์ต่าง ๆ ในยุคนั้น โดยเฉพาะภาพวาดของม้าที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนภาพสัตว์ชนิดอื่น ๆ ก็จะมี ฝูงกวาง วัวกระทิงขนาดใหญ่ แมว นก สัตว์กินเนื้ออย่าง หมี และสิงโต รวมถึงภาพวาดของมนุษย์และรอยพิมพ์มือ
ภาพวาดวัวกระทิงและม้า
Cr. subarcticmike
ภาพวาดมนุษย์ วัวกระทิง และนก
Cr. alistaircoombs
ภาพวาดวัวกระทิงและม้า
Cr. bradshawfoundation
สำหรับสีที่ใช้วาดภาพก็จะมีสีแดง สีเหลืองและสีดำ ซึ่งเป็นสีโดดเด่นโดยรวมที่ถูกนำมาใช้ โดยสีต่างๆนั้นก็ทำมาจากดินที่ผสมแร่ธาตุบางชนิดและถ่านสีดำ สำหรับเทคนิคการวาดภาพพบว่ามีการใช้นิ้วมือและนำก้อนถ่านมาวาดภาพ มีการคิดค้นประดิษฐ์แปรงและพู่กันสำหรับใช้ทาสีซึ่งทำมาจากเส้นผม ขนสัตว์และตะไคร่น้ำ ทั้งยังมีการใช้เทคนิคเป่าสีลงบนผนังถ้ำด้วยการนำกระดูกที่ข้างในกลวงมาเป็นอุปกรณ์ จากบันทึกทางโบราณคดีภายในบริเวณพื้นที่ของถ้ำลัสโกแห่งนี้ ได้แสดงให้เห็นว่าภาพสัตว์ที่ปรากฏอยู่บนผนังถ้ำ สะท้อนให้เห็นถึงสัตว์ที่มนุษย์ในยุคนั้นรู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังปรากฏภาพสลักอื่นๆอีก รวมภาพทั้งหมดประมาณ 2,000 ชิ้น
ภาพวาดที่ใช้เทคนิคการวาดโครงร่างเส้น (The Outline Technique )
ภาพวาดที่ใช้พู่กัน ( Brush Painting )
Cr. archeologie.culture