Chinese Temple
วัดแห่งแดนมังกร
เมื่อนึกถึงวันตรุษจีนที่จะเป็นช่วงเวลารวมญาติที่ไม่เห็นหน้าเห็นตากันมานาน ไหว้บรรพบุรุษจุดธูปจุดประทัด เดินไปหาญาติผู้ใหญ่แล้วกล่าวว่า ซินเจียอยู่อี่ ซินนี่ฮวดไช้ อั่งเปาตั่วตั่วไก้ แล้ว ยังเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านปีที่คนนิยมเข้าวัดจีนไปเพื่อไหว้ขอพรกันอีกด้วย
แต่นอกจากจะไปเพื่อขอพรแล้ว ในปัจจุบันวัดหลายแห่งยังกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมเพราะความสวยงามของงานสถาปัตยกรรม ประวัติความเป็นมาและเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครอีกด้วยค่ะ ซึ่งในวันนี้เราได้คัดสรรวัดจีน 4 แห่งมาแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จักกันค่ะ : )
หอบูชาฟ้าเทียนถาน | The Temple of Heaven
Location : Dongcheng, China
(Photo Credit : https://www.travelchinaguide.com)
สถานที่แรกเป็นหอบูชาฟ้า…ก็ตามชื่อเลยค่ะ สถานที่แห่งนี้เป็น ‘วัดสำหรับราชวงศ์’ ที่ไว้ประกอบพิธีสำคัญอย่างการบวงสรวงเทพเจ้าของราชวงศ์หมิง ที่ฮ่องเต้จะต้องมาทำพิธีขอพรเพื่อให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล ทั้งตั้งแต่ปี ค.ศ.1998 ยังกลายเป็นมรดกแห่งสำคัญของโลกอีกด้วย
อาณาเขตของสถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองปักกิ่ง กินพื้นที่ประมาณ 2,730,000 ตารางเมตร โดยหอบูชาฟ้าเทียนถานจะตั้งอยู่ตรงกลาง ตัวอาคารเดิมถูกสร้างด้วยโครงสร้างไม้และผนังอิฐ สร้างเป็นวงกลมและล้อมด้วยชั้นยกระดับวงกลมอีก 3 ชั้น ทั้งนี้เชื่อว่าการสร้างเป็นวงกลมจะทำให้เกิดเสียงสะท้อนได้ดี หากพูดเข้ากำแพงก็จะสะท้อนกังวาลไปทั่วทั้งลาน ทำให้เสียงขอพรขององค์ฮ่องเต้ดังกังวาลไปถึงชั้นฟ้าให้เทพเจ้าได้ยินนั่นเอง
ตัวเสาหลักของอาคารกล่าวว่ามีด้วยกัน 3 ชั้น รวม 28 ต้น โดยเสาชั้นในสุดเป็นเสาหลักของอาคารมี 4 ต้นเป็นตัวแทนของฤดูกาลทั้งสี่ ได้แก่ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว เสาชั้นกลาง 12 ต้นเป็นตัวแทนของปีนักษัตรทั้งสิบสอง และเสาชั้นนอกอีก 12 ต้นเป็นตัวแทนของเวลาทั้งสิบสองชั่วยาม ทำให้การขอพรในแต่ละครั้งเหมือนเป็นการขอพรเพื่อให้เทพเจ้าอวยพรอย่างครบถ้วนตลอดทั้งปี ในทุกปีและทุกเวลานั่นเอง
เกร็ดความรู้ : ในสมัยก่อนประเทศจีนจะนับเวลาเป็นหน่วยชั่วยาม หนึ่งชั่วยามเท่ากับสองชั่วโมง โดยยามแรกของแต่ละวันจะเริ่มจะเริ่มตั้งแต่ 23.00-00.59 เรียกว่ายามจื่อ ต่อด้วยเวลา 01.00-02.59 เรียกว่ายามโฉ่ว และไปเรื่อยๆ จนครบทั้ง 12 ชั่วยามนั่นเอง
วัดเส้าหลิน | Shaolin Temple
Location : Henan, China
(Photo Credit : https://news.cgtn.com)
ไม่ว่าใครก็คงต้องเคยได้ยินชื่อของ ‘วัดเส้าหลิน’ หรือ ‘เสี้ยวลิ้มยี่’ อย่างน้อยสักครั้งจากภาพยนตร์หรือนิยายกำลังภายใน ก็ต้องขอบอกว่าวัดเส้าหลินนี้ มีชื่อเสียงในยุทธภพ มากจริงๆ ค่ะ จากการเป็นต้นกำเนิดของวิชากังฟู ซึ่งคิดค้นขึ้นโดยปรมาจารย์ตั๊กม้อนั่นเอง เพราะว่าวัดเส้าหลินตั้งอยู่ที่หุบเขาซงซานและรายล้อมไปด้วยป่าและสัตว์ป่ามากมาย ปรมาจารย์ตั๊กม้อจึงคิดค้นกังฟูขึ้นมาโดยเน้นให้เป็นวิชาที่มีกระบวนท่าเพื่อฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรงและรวดเร็ว เพื่อที่จะสามารถป้องกันตัวจากภัยอันตรายต่างๆ ได้
แต่กว่าปรามาจารย์ตั้กม้อจะมาก็ปาเข้าไปปี ค.ศ.527 แล้ว ทว่าวัดเส้าหลินถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.464 จากอิฐ ดินและกระเบื้อง เพื่อเป็นที่พำนักระยะยาวของคณะสงฆ์ที่เดินทางมาจากประเทศอินเดียเพื่อเผยแพร่ศาสนาพุทธ ปัจจุบันตัววัดมีพื้นที่กว่า 57,600 ตารางเมตร ถูกสร้างให้มีเรือนหลักทั้งหมด 7 หลัง และขยายเพิ่มเติมเรือนรองอีก 7 หลังจากการที่วิชากังฟูเป็นที่เลื่องลือในยุทธภพ และมีการบูรณะและใช้ปูนเสริมความแข็งแกร่งเข้าไปในภายหลังนั่นเอง
เกร็ดความรู้ : วิทยายุทธ์ของวัดเส้าหลินเป็นวิชามือเปล่าที่นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรงแล้ว ยังฝึกสมาธิ วินัยและความอดทนอีกด้วย เนื่องจากการจะฝึกวิชาให้ประสบความสำเร็จนั้นจะต้องฝึกฝนเป็นประจำ อีกทั้งยังเชื่อว่ามีการฝึก ‘การไหลเวียนของลมปราณ’ ที่ช่วยทำให้เราสามารถควบคุมร่างกายของตัวเองให้แข็งแรงสมดุลได้มากขึ้น พื้นฐานการฝึกที่สามารถทำได้ที่บ้านคือ ‘ท่านั่งม้า’ และวิทยายุทธที่มีชื่อเสียงที่สุดของวัดเส้าหลินก็คือ ‘วิชาตัวเบา’ นั่นเอง
วัดลามะ | Yonghe Lama Temple
Location : Dongcheng, China
(Photo Credit : https://en.wikipedia.org)
วัดลามะ แต่เดิมนั้นในรัชสมัยของคังซีฮ่องเต้ถูกสร้างขึ้นและยกให้เป็นเป็น วังขององค์ชายสี่ ‘อิ้นเจิน’ (ที่หากใครตามประวัติศาสตร์จีนจะพบว่าภายหลังการต่อสู้แย่งชิงเป็นศึกเลือดเนื้อยืดยาว องค์ชายสี่ได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้องค์ถัดไปและใช้พระนามว่า ‘หย่งเจิ้น’) และเพราะองค์ชายสี่ทรงมีความเลื่อมใสในศาสนาพุทธนิกายทิเบต พระองค์จึงเชิญพระทิเบตนิกาย ‘เกลุก (Gelug)’ มาและพระราชทานพื้นที่ส่วนหนึ่งให้กลายเป็นพื้นที่ของวัด จนกระทั่งยกพื้นที่วังทั้งหมดให้กับวัดในภายหลัง
อาจจะสงสัยกันว่าทำไมเราถึงเรียกวัดแห่งนี้ว่าวัดลามะ… ก็เพราะว่าพระสงฆ์ของนิกายนี้จะถูกเรียกว่า ‘ลามะ’ นั่นเองค่ะ ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป จากวัดองค์ชายสี่ (ที่ขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้ว) จึงถูกเปลี่ยนชื่อเป็นวัดหย่งเหอลามะ (วัดพระลามะของฮ่องเต้หย่งเจิ้น) และเรียกสั้นๆ ว่าวัดลามะในปัจจุบันนั่นเอง
ในด้านของงานสถาปัตยกรรม ตัวอาคารวัดเป็นงานที่ผสมผสานกันระหว่างงานสถาปัตยกรรมแบบฮั่น (ชาวจีน) แบบแมนจู (ราชวงศ์ชิง) แบบมองโกล (ชาวแมนจูได้รับอิทธิพลส่วนหนึ่งมาจากมองโกล) และแบบทิเบต (จากพระทิเบตขององค์ชายสี่) ทำให้ตัววัดออกมาจะแปลกตา และดูอลังการกว่าวัดทั่วไป
มีการใช้เสาและมีทางเดินนอกอาคารเพราะเคยเป็นวังมาก่อน ต่างจากวัดในยุคนั้นที่เป็นอาคารทึบตั้งแต่หน้าวัด อีกทั้งยังมีพื้นที่กว้างขวางและมีหลายอาคารซึ่งทุกอาคารก็เก็บรวบรวมประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ล้ำค่าเอาไว้ให้คนรุ่นหลังอย่างพวกเราได้ไปชมดูกัน
เกร็ดความรู้ : วัดลามะถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยของคังซีฮ่องเต้ ทรงมอบพื้นที่ส่วนหนึ่งให้เป็นวัดโดยองค์ชายสี่ ภายหลังกลายเป็นวังตากอากาศของหย่งเจิ้นฮ่องเต้ และมอบพื้นที่ทั้งหมดให้กลายเป็นของวัดในรัชสมัยของเฉียนหลงฮ่องเต้ กล่าวได้ว่าวัดแห่งนี้มีความเกี่ยวพันธ์กับสามกษัตริย์แห่งราชวงศ์ชิงที่นำพาความรุ่งเรืองมาสู่ประเทศจีนนั่นเอง
วัดลาบรัง | Labrang Monastery
Location : Gansu, China
(Photo Credit : https://architectureontheroad.com)