ใกล้ถึงฤดูกาลท่องเที่ยวยอดฮิตกันแล้ว หลายคนเตรียมแพ็คกระเป๋าขึ้นเหนือ บุกภูทับเบิก ฯลฯ ไปสัมผัสอากาศหนาว ๆ กางเต็นท์ดูดาว ชมทะเลหมอกกัน แต่จะว่าไปสถานที่ดูดาวสวย ๆ ในเมืองไทยก็มีมากมาย เช่น ยอดเขา บนดอย เทิงภู อย่างที่เรารู้ ๆ แต่ถ้ามีโอกาสกับปัจจัยในกระเป๋าสตางค์พร้อม หลายคนก็อยากไปนอนชมดาวสวย ๆ ที่ต่างประเทศดูบ้าง
วันนี้ Karuntee จึงนำสถานที่ดูดาวสวย ๆ จากทุกมุมโลก มาให้ชมกัน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเดินทางและคนมีฝันทุกคน และแน่นอนว่าแต่ละที่นั่นห่างไกลจากแสงสว่างทำให้มองเห็นดาวได้แจ่มชัด เต็มผืนฟ้าแต่จะมีที่ไหนบ้างนั้น ไปชมกันค่ะ
1. เมืองมามิด ประเทศโมร็อกโก
(Credit : https://wizztours.com , https://www.venuereport.com)
มามิด (Mhamid) เป็นเมืองโอเอซิสขนาดเล็กในประเทศโมร็อกโก ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัยในทะเลทรายซาฮาร่าอันโด่งดัง ดินแดนแห่งนี้คือที่อยู่อาศัยของเผ่าเบอร์เบอร์มายาวนาน มามิดเป็นอาณาเขตที่สามารถเดินทางไปยังเนินทรายอันกว้างใหญ่อย่าง เอิร์ก ชิกากา (Erg Chigaga) ซึ่งสามารถโดยสารไปถึงได้แบบวิถีชาวบ้าน เช่น การขี่อูฐ หรือจะเลือกนั่งรถจี๊ปสบายๆ ก็ได้เช่นกัน
มามิดเป็นทะเลทรายที่มีเนินทรายสูงสุดถึง 60 เมตร สลับสับเปลี่ยนกันทั้งน้อย ใหญ่ ดูสวยงามสุดลูกหูลูกตา พื้นทรายสีทองเมื่อเกิดริ้วคลื่นที่เกิดจากลมพัดไหว ใต้แสงอาทิตย์สาดส่องจนทรายสะท้อนแสงระยิบระยับ คือความงดงามที่น่าอัศจรรย์ใจ โดยเฉพาะในตอนกลางคืนที่ฉากหลังกลายเป็นผืนฟ้าที่ถูกประดับประดาด้วยดาวนับล้านๆ ดวง พิ้นทรายเนียนละเอียด นุ่ม เหมาะกับการนั่งชมดาวสุดๆ ที่สำคัญสถานที่แห่งนี้ยังเต็มไปด้วยความโรแมนติกคละเคล้าเสน่ห์ของเสียงดนตรีพื้นเมืองของเผ่าเบอร์เบอร์ที่บรรเลงได้อย่างไพเราะ ชวนเคลิ้มเกินบรรยาย
2. ทะเลสาบเทคาโพ ประเทศนิวซีแลนด์
(Credit : https://www.flickr.com , https://www.a1pictures.blogspot.jp)
ทะเลสาบเทคาโพ (Lake Tekapo) เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตของประเทศนิวซีแลนด์ ตั้งอยู่บริเวณเชิงเทือกเขา Southern Alps ใน Mackenzie Country บนเกาะใต้ ห่างจากเมืองควีนส์ทาวน์ (Queenstown) และเมืองไครสต์เชิร์ช (Christchurch) ประมาณ 3 ชั่วโมง จุดเด่น คือ มีลักษณะเป็นทะเลสาบสีเขียวอมฟ้าหรือสีฟ้าเทอร์ควอยซ์ที่ถูกล้อมรอบด้วยภูเขาและธรรมชาติจากดอกลูพิน (Lupins) ที่มีสีสันสดใส ไล่ไปตั้งแต่ชมพูอ่อนจนถึงสีม่วงเข้มเกือบน้ำเงิน (ซึ่งเบ่งบานสุด ๆ ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงมกราคมของทุกปี) ตัดกับสีเขียวสดของป่าสน ประกอบกับบริเวณริมทะเลสาบที่มีโบสถ์เล็ก ๆ ที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ ซึ่งคนแถวนั้นเรียกกันว่า The Church of the Good Shepherd ตั้งอยู่ งดงามราวดินแดนแห่งความฝัน แต่คือความจริงที่สามารถสัมผัสได้ด้วยตาเปล่า
ทะเลสาบเทคาโพ ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเขตอนุรักษ์ฟ้ามืดสากล (International Dark Sky Reserve) นั่นหมายความว่าสถานที่แห่งนี้ ห่างไกลแสงสว่างรบกวน จึงเหมาะกับการดูดาวในยามค่ำคืนยิ่งนัก และด้วยบรรยากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี จึงไม่แปลกใจนักที่เราจะเห็น
เหล่านักท่องเที่ยวมาปักหลักรอชมดาวกันอย่างล้นหลาม เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่สวยงามทั้งกลางวันและกลางคืนทีเดียวค่ะ แต่ถ้าอยากดูดาวให้ฟินถึงใจลองเลือกเต็นท์ที่พักสำหรับการพักผ่อนสักสองสามคืน หรือจะไปทัวร์หอดูดาวบนยอดเขาเมาท์จอห์น ที่มีกล้องส่องทางไกลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศนิวซีแลนด์ไว้ส่องดูดาว รับรองว่าเห็นแบบชัดๆ เหมือนอยู่ใกล้ๆ ท่ามกลางหมู่ดาวนับล้านเลยล่ะ
3. ภูเขาไฟเมานาเคอา (Mauna Kea) รัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา
(Credit : http://sweethome1108.pixnet.net)
ภูเขาไฟเมานาเคอา (Mauna Kea) หรือหลาย ๆ คนเรียกว่ามัวนาเคีย ได้รับการขนานนามว่าเป็นหลังคาของรัฐฮาวาย เพราะเป็นยอดเขาที่สูงที่สุด ในประเทศสหรัฐอเมริกา (เป็นภูเขาหนึ่งในห้าลูกที่ประกอบกันเป็นเกาะฮาวาย) อยู่สูงกว่าน้ำทะเลถึง 13,800 ฟุต และมีหิมะขาวปกคลุมตลอดทั้งปี จนกลายเป็นที่มีของชื่อภูเขานั่นเอง
บนยอดเขามีทัศนวิสัยที่ดีมาก เหมาะสำหรับการสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ โดยมีกล้องดูดาวอยู่บนยอดเขาถึง 13 กล้องจากหลายประเทศ รวมทั้งหอดูดาวเคก 1 และ 2 (W.M.Keck Observatory) และกล้องวิทยุโทรทรรศน์หนึ่งในสิบกล้อง ที่ประกอบกันเป็น Very Long Baseline Array (VLBA) ของหอดูดาววิทยุแห่งชาติ (National Radio Astronomy Observatory – NRAO) สหรัฐอเมริกา แต่หลังจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรง เมื่อ 15 ตุลาคม 2549 ทำให้กล้องบางส่วนได้รับความเสียหาย แต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทางการจึงทำการซ่อมแซมเพื่อให้สามารถกลับมาใช้งานได้ต่อ
จุดยอดนิยมของการดูดาวที่ภูเขาไฟเมานาเคอา คงหนีไม่พ้นศูนย์ข้อมูลสำหรับนักท่องเที่ยว ซึ่งตั้งอยู่ที่จุดสูงสุดของปล่องภูเขาไฟ Haleakalā (สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ10,000 ฟุต) บนเกาะเมาอิ เป็นสถานที่ที่เหมาะกับการชมวิวพระอาทิตย์ตกดินและรอดูดาวแบบพาโนรามา ที่นี่จะมีชมรมดูดาวของคนท้องถิ่น จะมีการจัดทัวร์ดูดาวบ่อยครั้ง สำหรับใครที่เป็นมือใหม่หัดดูดาว ก็สามารถเรียกใช้บริการได้ จะทำให้คุณได้ความรู้และดูดาวได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น แต่ขอเตือนว่าใครที่จะขึ้นไปดูดาวที่ภูเขา อย่าลืมเตรียมเสื้อผ้าหนาๆ อบอุ่นร่างกายไปด้วย เพราะอากาศกลางคืนนั้น ยิ่งสูงยิ่งหนาวนะคะ
4. Natural Bridges National Monument ประเทศสหรัฐอเมริกา
(Credit : http://nordic.businessinsider.com , http://www.onlyinyourstate.com)
Natural Bridges National Monument หรือเรียกกันสั้น ๆ ง่าย ๆ แบบตรงตัวก็คือ “สะพานธรรมชาติ” นั่นเอง สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ที่มลรัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา ในปี 2007 ได้รับการรับรองจาก IDA ให้เป็นจุดที่ท้องฟ้ามืด โปร่ง เหมาะสมกับการดูดาวในยามค่ำคืนเป็นแห่งแรกของโลก
จุดเด่นของ “Natural Bridge” หรือสะพานธรรมชาติ คือ ธรรมชาติของหินที่ก่อตัวขึ้นคล้ายรูปสะพาน ซึ่งมีทั้งหมด 3 สะพานด้วยกัน ความงามที่ราวกับถูกปั้นเสก ความมืดสนิทที่ปกคลุมท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ เมื่อมาหลอมรวมกับดวงดาวเปล่งประกายระยิบระยับแล้ว สวยงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้เลยค่ะ จึงไม่ไปแปลกใจเลยว่าทำไมนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก จึงเดินทางมาที่แห่งนี้กว่า 95,000 คนต่อปี ที่สำคัญนอกจากคุณจะได้ชมดาวแบบสวยๆ ที่สะพานธรรมชาติคุณจะสามารถมองเห็นทางช้างเผือกได้ชัดมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอีกด้วยนะคะ
5. อุทยานแห่งชาติเคอร์รี่ ดาร์ค สกาย ประเทศไอร์แลนด์
(Credit : https://weather.com , https://www.pinterest.com)
อุทยานแห่งชาติเคอร์รี่ ดาร์ค สกาย ( Kerry Dark Sky) ประเทศไอร์แลนด์ มีพื้นที่ความกว้างมากกว่า 700 ตารางกิโลเมตร ตั้งอยู่ใจกลางเทือกเขา Kerry และมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งเป็นทัศนียภาพที่สวยงามมากมาย ทั้งแม่น้ำ ภูเขาน้อยใหญ่หลากหลายลูก ประกอบไปกับท้องฟ้าที่มืดสนิท จึงเหมาะกับการดูดาวเป็นที่สุด และถึงแม้จะเป็นสถานที่ดูดาวที่ถูกค้นพบความงามนี้ได้เพียงไม่นานนัก แต่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าอุทยานแห่งชาติเคอร์รี่ ดาร์ค สกาย เป็นสถานที่ดูดาวที่เห็นดาวบนท้องฟ้าได้ชัดและสวยงามอันดับต้นๆ ทำให้มีเหล่านักท่องเที่ยวหลั่งไหลกันมาเยี่ยมชมแบบไม่ขาดสาย จนได้รับการรับรองให้เป็นสถานที่ดูดาวอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2014 ที่ผ่านมา
6. อุทยานแห่งชาติครูเกอร์ ประเทศแอฟริกาใต้
(Credit : https://onthegotours.com)
สำหรับนักเดินป่าจะรู้จักอุทยานแห่งชาติครูเกอร์ (Kruger National Park) ประเทศแอฟริกาใต้ ว่าเป็นสถานที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการผจญภัย ทั้งปีนเขา เดินป่าที่มีเส้นทางให้เลือกมากกว่า 9 เส้นทาง แถมยังมีพื้นที่ให้ตั้งแคมป์ กางเต้นท์นอนดูดาวอีกด้วย ซึ่งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ที่คาดไม่ถึงของสถานที่แห่งนี้ เพราะนอกจากกลางวันจะได้ลุยกิจกรรมแบบเต็มที่แล้ว กลางคืนยังได้ดูดาวแบบเต็มอิ่ม เงียบสงบ ไร้มลพิษทางอากาศและทางแสงไฟรบกวน บนทางฟ้าจึงมืดสนิท การดูดาวของคุณจึงเต็มไปด้วยความราบรื่น สวยงาม ไร้สิ่งกวนใจ แต่ถ้าใครโชคดี เผลอๆ นอนดูดาวอยู่อาจมีโอกาสได้เห็นวงแหวนของดาวเสาร์ที่อุทยานแห่งชาติครูเกอร์ก็เป็นได้
7. อุทยานแห่งชาติแจสเปอร์ ประเทศแคนาดา
(Credit : https://jasperdarksky.travel , https://onthegotours.com)
อุทยานแห่งชาติแจสเปอร์ (Jasper National Park) ตั้งอยู่บนเทือกเขาร็อกกี้ ถือเป็นหนึ่งในอุทยานแห่งชาติที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศแคนาดา อุทยานแห่งชาติแจสเปอร์ นอกจากไม่เพียงได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO เท่านั้น สถานที่แห่งนี้ยังได้รับการจดทะเบียนจากทางการของแคนาดาว่าเป็นอุทยานแห่งชาติเพื่อการดูดาว โดยมีการสร้างกฎระเบียบคุ้มครองขึ้นมา เพื่อรักษาพื้นที่ของอุทยานฯ ให้เหมาะกับการดูดาวได้อย่างยาวนาน
ในช่วงเดือนตุลาคมของทุกปีทางอุทยานฯ จะจัดกิจกรรมหรือเทศกาลดูดาวขึ้น โดยจัดทั้งกลางวันและกลางคืน ซึ่งช่วงกลางวันจะเป็นการดูศึกษาพระอาทิตย์ และกลางคืนจะเน้นที่การศึกษาดูดาวอันระยิบระยับเต็มท้องฟ้า พร้อมกิจกรรมสนุกๆ ไว้เพื่อคนชอบดูดาวโดยเฉพาะอีกมากมายเลยล่ะ
8. Yamanakako Panorama Observatory ประเทศญี่ปุ่น
(Credit : https://photozou.jp)
มาถึงประเทศเพื่อนบ้านในแถบเอเชียกันบ้าง เรื่องท่องเที่ยวต้องยกให้ประเทศญี่ปุ่นจริง ๆ ค่ะ นอกจากเรื่องช้อปปิ้งกับดอกซากุระแล้ว ดินแดนอาทิตย์อุทัยนี้ยังมีสถานที่ดูดาวสวย ๆ ซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่รู้ และหนึ่งในนั้นก็คือ (Yamanakako Panorama Observatory) ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ 1,090 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล จากหอ ดูดาวแห่งนี้สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์รอบ ๆ ได้แบบพาโนราม่า โดยมีภาพภูเขาไฟฟูจิและทะเลสาบยามานากาโกะ (Yamanakako Lake) อยู่ทางทิศตะวันตก และมินามิแอลป์ (Minami Alps) อยู่ทางทิศเหนือ โดยใช้เวลาเดินทางจากโตเกียวประมาณ 2 ชั่วโมง
9. ดอยเสมอดาวและผาหัวสิงห์ อุทยานแห่งชาติศรีน่าน จ.น่าน
(Credit : DOME www.saphipee.com)