ตึกมีอยู่มากมายเต็มไปหมด โดยเฉพาะพื้นที่เศรษฐกิจ หรือย่านธุรกิจ และเมื่อเรานึกถึงตึกสูง เราจะนึกถึงตึกทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์สูงๆ ที่ถูกก่อสร้าง ผุดขึ้นอย่างรวดเร็วเต็มไปทั่วเมือง มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกันไปหมด ทำให้เกิดเป็นภาพจำ ว่าตึกนั้นเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม ด้วยความคล้ายคลึงและจำเจทำให้บางครั้ง "ตึก" แทบจะไม่หลงเหลือความสวยงามของสถาปัตยกรรมเอาไว้เลย แต่ด้วยพลังของศิลปะไม่มีวันหยุดนิ่ง สามารถผสมผสานเข้ากันได้กับทุกอย่าง จึงมีการนำศิลปะมาประยุกต์เข้ากับการออกแบบตึก ทำให้จากตึกทรงลูกบาศก์ธรรมดาเดิมๆ ที่ไม่มีเอกลักษณ์ใดๆ กลายเป็นตึกสุดครีเอทที่มีรูปร่างสะดุดตา ดูน่าสนใจ เพียงแค่แต่งเติมความคิดสร้างสรรค์และความสนุกเข้าไป ครีเอทจนทางครั้งผู้คนที่พบเห็น แทบจะนึกไม่ออกว่าสามารถสร้างเป็นสิ่งก่อสร้างได้จริงๆ
ทั่วโลกของเรามีนักศิลปะอาศัยอยู่แทบทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นที่แถบเอเชียของเราหรือจะทวีปไหนๆ แต่วันนี้ขอยกตัวอย่างตึกที่มีรูปร่างหน้าตาแปลกตาในแถบยุโรปที่ทั้งสวยและแปลกจนต้องขอนำมาเสนอให้แฟนๆชาวบาริโอได้รับชมกันเลย จะครีเอทขนาดไหนและได้แรงบัลดาลใจมาจากอะไรบ้างลองมารับชมกันเลยค่ะ
The Shard (Shard = เศษ, เสี้ยว)
The Shard อาจหมายถึงตึกเสี้ยวก็ได้ เพราะตัวอาคารออกแบบจากแนวคิดของชิ้นกระจก 8 ชิ้นมาประกอบกัน เป็นทรงคล้ายปิระมิด ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากยอดโบสถ์ในลอนดอน และเสากระโดงเรือ ที่จะพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เหนือแม่น้ำเทมส์
อาคารนี้ ถูกวาง Concept ให้เป็นเมืองทางตั้ง (Vertical City) ที่ผสมผสานความหลากหลายภายใต้อาคารสูงแห่งนี้ลักษณะของตัวอาคาร จะเป็นอาคารทรงคล้ายปิระมิด โดยมีฐานที่กว้างและสอบขึ้นด้านบน ซึ่งสถาปนิก ได้บรรจงวาง Function ของแต่ละชั้นให้เหมาะสมกับพื้นที่ใช้สอย โดยเริ่มจากส่วนล่างของอาคาร (ชั้น 4 ถึงชั้น 28) ซึ่งมีพื้นที่กว้างที่สุด ถูกวางให้เป็นพื้นที่สำหรับอาคารสำนักงานที่ต้องใช้พื้นที่มากๆ และสามารถเชื่อมต่อกับ Transportation Hub ในชั้นล่าง ทั้งการจราจรทางรถ หรือรถไฟฟ้าใต้ดินได้โดยสะดวก
ในขณะที่อีก 3 ชั้นถัดมา เป็นส่วนของภัตตาคารและ Bars ตามด้วยส่วนของโรงแรม ซึ่งถูกกำหนดให้อยู่บริเวณส่วนกลางของอาคารสูง 95 ชั้นแห่งนี้ ตามมาด้วยส่วนพักอาศัยสำหรับเหล่าบรรดามหาเศรษฐีของกรุงลอนดอน ก่อนจะจบลงที่ชั้นบนสุด ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่ความสูงระดับ 240 เมตร ทำให้ The Shard เป็นจุดเด่นที่สว่างไสวแห่งหนึ่งของลอนดอนเลยทีเดียว
The Shard มีความสูงรวมถึงยอดด้านบนที่ 310 เมตร การที่ The Shard ถูกออกแบบให้คล้ายกระจก 8 ชิ้นนำมาประกอบกันเป็นอาคาร ทำให้มีช่องว่างระหว่างชิ้นกระจกยักษ์เหล่านั้น ซึ่งทำหน้าที่นำเอาลมธรรมชาติเข้ามาหล่อเลี้ยงตัวอาคาร จนกระทั่งทำให้เกิด Winter Gardens ได้อีกด้วย นอกจากนี้ การเรียงชิ้นกระจกขนาดยักษ์ในองศาที่แตกต่างกัน ยังมีผลทำให้เกิดความงามจากเงาสะท้อนของแสงอาทิตย์ที่แตกต่างกันออกไปตามช่วงเวลาในแต่ละวัน และแต่ละฤดูกาลอีกด้วย
พื้นฐานแนวคิดของ Renzo Piano สำหรับอาคาร The Shard นี้ คือความโปร่ง และเบา ดังนั้น Piano จึงได้นำเอากระจกมารังสรรค์ให้เป็นส่วนสำคัญสำหรับงานออกแบบอาคารแห่งนี้+
วิวจากชั้นที่ 69 ของอาคาร เดอะ ชาร์ด
Ericsson kista building
Ericsson kista building เป็นส่วนหนึ่งของอาคารสำนักงานใหญ่ของบริษัทอีริคสัน ในเมืองสต็อกโฮม ประเทศสวีเดน ได้รับการออกแบบ โดย Wingårdh Arkitektkontor กับ Vasakronan เป็นอาคาร 8 ชั้น ถูกสร้างเสร็จในเดือนมิถุนายน ปี 2010 โดดเด่นที่รูปทรงมีลักษณะเป็น ลูกบาศก์ภายนอกติดกระจกโดยรอบและมีความพิเศษที่ด้านข้างถูกออกแบบให้ผนังอาคาร คล้ายกับมีรอยร้าวระหว่างอาคารปีกซ้ายกับปีกขวาและเผยให้เห็นสีสันที่แตกต่างกันซ่อนอยู่ข้างใน ให้ความรู้สึกเหมือนตัวอาคารถูกฉีกขาด
The crooked house
The crooked house นี้ถ้าผู้ที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนอาจจะคิดไปได้ว่ามันคือภาพวาดหรือการ์ตูน แต่ต้องขอบอกว่าคิดผิดเลยล่ะค่ะ ตึกบิดเบี้ยวที่เราเห็นอยู่นี้คือของจริง ซึ่งมีชื่อใน ภาษาโปแลนด์ ว่า Krzywy Domek ซึ่งแปลว่า Crooked House หรือบ้านที่ถูกบิดเบี้ยว ตั้งอยู่ที่หมู่บ้าน Sopot ทางตอนเหนือของประเทศโปแลนด์ ตึกบิดเบี้ยวหลังนี้ก่อสร้างเมื่อปี ค.ศ. 2004 ถูกออกแบบโดยสถาปนิก ชาวโปแลนด์ Szotynscy Zaleski โดยการออกแบบซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากจินตนาการจากเทพนิยายของ Jan Marcin Szancer นักแต่งนิยายชื่อดัง และ Per Dahlberg
เป็นอาคารรูปทรงเหมือนการวาดภาพของเด็กตามจินตนาการ บางคนที่ได้มาเห็นมีการจินตนาการว่ามันกำลังละลาย แต่บางคนมองดูก็เหมือนกับกำลังตาลาย เหมือนโลกหมุุน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อาคารเหล่านี้ก็กลายเป็นสถานที่ถูกถ่ายรูปมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศโปแลนด์เลยทีเดียว เพราะเป็นสถานที่ที่แปลกตา ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ไม่น้อย
นอกจากนี้ในเวลากลางคืนเมื่อมีการเปิดไฟสว่างเห็นชัดเจนยังได้บรรยากาศที่แตกต่างจากในเวลากลางวันอีกด้วย ให้ความรู้สึกที่ดูสนุกสนานและน่าค้นหา
Kuggen Building
Kuggen Building เป็นอาคารสำนักงานของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีชาลเมอร์ส ตั้งอยู่ที่เมืองโกเธนเบิร์ก ประเทศสวีเดน เป็นอาคารมีความโดดเด่นด้วยเฉดสีแดงที่สามารถมองเห็นได้แต่ไกล ซึ่งมีรูปทรงที่แตกต่างจากตึกทั่วๆไปที่เราเคยเห็นกัน โดยมีรูปทรงเป็นแบบซี่ล้อ ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากชื่อ Kuggen ที่มีความหมายว่าซี่ล้อหรือล้อเฟือง โดยเป็นอาคารที่มีความสูงทั้งหมด 6 ชั้นด้วยกัน
Kuggen Building ตั้งอยู่ในบริเวณที่ถูกล้อมรอบไปด้วยอาคารรูปแบบดั้งเดิม จึงทำให้อาคารแห่งนี้มีความโดดเด่นและสะดุดตามากยิ่งขึ้น นอกจากความโดดเด่นในเรื่องของรูปทรงแล้ว อาคารนี้ยังขึ้นชื่อในเรื่องของการช่วยลดภาวะโลกร้อน โดยการใช้แผงพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งอยู่บนหลังคา ไว้ใช้เป็นพลังงานหลักในการหมุนเวียนการใช้พลังงานต่างๆภายในตัวอาคารทั้งหมด ซึ่งถือเป็นวิธีการที่ช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เกินความจำเป็นไปได้มากเลยทีเดียว
The Dancing House
เป็นชื่อเรียกของอาคาร Nationale-Nederlanden ในกรุงปราก (Prague), สาธารณรัฐเช็ค สร้างขึ้นระหว่างปี 1992-6 โดยอาคารนี้ถูกออกแบบในสไตล์ Deconstructivist ที่ต่อต้านการออกแบบอาคารตามแนวเสาที่เท่ากันอย่างน่าเบื่อ The Dancing House เป็นชื่อเล่นของอาคารแห่งนี้ ซึ่งถูกออกแบบโดยสถาปนิกชาวโครเอเซีย-เช็ก วลาโด มิลูนิก (Vlado Milunić ) ร่วมกับสถาปนิกสัญชาติแคนาดา-อเมริกา แฟรงก์ เกห์รี (Frank Gehry) และตึกแห่งนี้ยังเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากก่อนการก่อสร้าง เพราะตั้งอยู่ในเมืองปรากซึ่งแวดล้อมไปด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Baroque, Gothic และ Art Nouveau จนในที่สุดตึกนี้ได้รับการสนับสนุนจาก Václav Havel ประธานาธิบดีของสาธารณเช็คในสมัยนั้น ที่ต้องการให้อาคารแห่งนี้เป็นศูนย์รวมของกิจกรรมทางวัฒนธรรมของประเทศ
เดิม Frank Gehry ตั้งใจจะให้ชื่ออาคารแห่งนี้ว่า Fred & Ginger ตามชื่อของ Fred Astaire และ Ginger Rogers นักเต้นที่มีชื่อเสียง แต่ได้เปลี่ยนใจเนื่องจากกลัวว่าจะเป็นการนำเอาความเป็นวัฒนธรรมอเมริกันเข้ามาในประเทศที่เปี่ยมไปด้วยอารยธรรมดั้งเดิมแห่งนี้
The Dancing House ยังเป็นตึกที่มีความโดดเด่นทางด้านสถาปัตยกรรมที่ค่อนข้างล้ำยุค ซึ่งหากมองดูแล้วตัวอาคารจะคล้ายๆกับคู่เต้นรำที่ยื่นออกมาถือว่าเป็นตึกที่แปลกตาสุดครีเอทอย่างมากเลยค่ะ
30 เซ็นต์แมรีแอกซ์ (30 St Mary Axe)
ตึกระฟ้าในนครลอนดอนสหราชอาณาจักร สูง 180 เมตรออกแบบโดย นอร์มัน ฟอสเตอร์ และคู่หูเคน ชัตเติลเวิร์ธ ตึก 30 เซ็นต์แมรีแอกซ์ รู้จักกันในชื่อของ Swiss Re Tower ตามชื่อของบริษัท Swiss Re บริษัทประกันภัยชั้นนำของโลกที่เป็นเจ้าของพื้นที่ส่วนใหญ่ในตึก และรู้จักในชื่อไม่เป็นทางการว่า เกอร์คิน (Gherkin) ซึ่งเป็นแตงกวาประเภทหนึ่งตามรูปทรงของตัวตึก
ตัวอาคารออกแบบโดยบริษัทสถาปนิก ฟอสเตอร์แอนด์พาร์ตเนอร์ส โดยออกแบบในลักษณะรูปทรงโคนเพื่อให้ลู่ลม ก่อสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2547 โดยเปิดใช้งานเมื่อวันที่ 28 เมษายน ในปีเดียวกัน ลักษณะภายในของตึกออกแบบในลักษณะประหยัดพลังงาน โดยกระจกของอาคารประกอบด้วยกระจกสองชั้น ซึ่งมีอากาศอยู่ภายในเพื่อสร้างเป็นฉนวนกันความร้อนในหน้าร้อน และฉนวนกันความเย็นในหน้าหนาว ในตัวอาคารจะมีปล่องขนาดใหญ่เพื่อช่วยในการหมุนเวียนของอากาศ และขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มให้แสงสว่างและความร้อนจากภายนอกเข้าสู่ตัวอาคารได้
Kubic-houses
หรือ The Cube houses บ้านทรงลูกบาศก์เชื่อมต่อกัน 38 หลังในนครร็อตเทอร์ดัม เนเธอร์แลนด์ เกิดจากแนวคิดเวลามองหมู่แมกไม้ที่ตั้งตระหง่านอยู่ร่วมกัน เป็นตึกที่สร้างได้ไม่เหมือนใคร และเป็นหนึ่งใน landmark ของ Rotterdam เลยก็ว่าได้ ได้รับการออกแบบ โดยสถาปนิกPiet Blom การออกแบบของเขา และอยู่บนพื้นฐาน แนวคิดของ "ชีวิต เป็น หลังคา เมือง"
เมื่อเดินเข้าไปภายในยิ่งทำให้ได้ความรู้สึกคล้ายกับแมกไม้ภายในป่าที่อยู่ร่วมกัน แต่เปลี่ยนรูปแบบมาเป็นบ้านแต่ละหลังที่อยู่ร่วมกันภายในหมู่บ้านแทนค่ะ
Guggenheim Museum
พิพิธภัณฑ์ Guggenheim Museum ของบิลเบา ตั้งอยู่ที่ Spain เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เปลี่ยนภาพลักษณ์รูปแบบพิพิธภัณฑ์แบบดั้งเดิมถูกออกแบบโดย Frank Gehry มีแรงบันดาลใจในการพัฒนาศิลปะของอาคาร ซึ่ง Frank Gehry ได้ลบล้างความคิดเดิมๆในการออกแบบพิพิธภัณฑ์ และการเข้าชมงาน Gehry ได้สร้างทางเดินโค้งริมแม่น้ำในการเข้าถึงตัวสถาปัตยกรรม และการสร้างโถงทางเข้าที่มีทางเดินแคบๆที่ให้ความรู้สึกเหมือนเดินเข้าไปในหุบเขา ด้วยลักษณะโครงสร้างที่มีความซับซ้อนที่สร้างจากไทเทเนียม หินปูน และกระจก ทำให้ตัวสถาปัตยกรรมเหมือนงานประติมากรรมขนาดใหญ่
รัฐบาลสเปนตั้งใจเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ชื่อของ Bilbao เป็นที่รู้จักในระดับโลก Guggenheim Museum จึงกำเนิดขึ้นภายใต้แนวคิดการทำให้ Bilbao เป็นเมืองการท่องเที่ยว โดยใช้สถาปัตยกรรมสมัยใหม่เป็นตัวดึงดูด ผู้เข้าชมบางคนสันนิษฐานว่ารูปแบบของอาคารเป็นเหมือนเรือในขณะที่ผู้อื่นเห็นมันมีลักษณะเป็นเกล็ดปลาหรือดอกไม้บาน ที่น่าตื่นตาตื่นใจคือแสงรอบๆบริเวณพิพิธภัณฑ์ที่ยังทำให้ดูมีมนต์ขลังในเวลากลางคืนอีกด้วย
น่าตื่นตาตื่นใจมากๆเลยใช่ไหมคะกับตึกหน้าตาแปลกๆที่ไม่คิดว่าจะมีอยู่จริง ทำให้เข้าใจได้มากขึ้นว่าศิลปะไม่มีปิดกั้นจริงๆค่ะ เมื่อศิลปะได้ไปผนวกเข้ากับอะไรแล้วก็มักจะเกิดความสวยงามขึ้นได้เสมอ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
kapook.com Wikipedia.com http://inhabitat.com Pinterest.com
|