The Labyrinth
The Ancient Modular System
เขาวงกต และ รูปแบบโมดูลาร์
หากเอ่ยถึง “เขาวงกต” เชื่อว่าหลายคนคงจะรู้จักและเคยเห็นผ่านตากันมาบ้าง ไม่ว่าจะในภาพยนตร์สุดระทึกอย่าง Maze Runner กับเรื่องราวการเอาชีวิตรอดหลังกำแพงเขาวงกต หรือฉากสวนสวยสุดฉงนจากภาพยนตร์แฟนตาซี Labyrinth ไปจนกระทั่งลวดลายต่างๆที่ปรากฏผ่านอารยะธรรมโบราณมานับพันปี
สำหรับคำว่า “เขาวงกต” ในภาษาไทยอาจจะมีแค่ความหมายเดียว แต่ภาษาอังกฤษนั้นถูกแยกออกเป็นสองคำคือ “Labyrinth” และ “Maze” สำหรับทั้งสองคำในภาษาอังกฤษนี้ก็มีคำจำกัดความที่แตกต่างกัน เพราะ Labyrinth นั้น ต่อให้ถูกออกแบบเส้นทางวกไปวนมาเพียงไร ก็จะมีทางเดินเพียงแค่เส้นทางเดียวเท่านั้นและจะไม่มีทางเดินแยกย่อยออกไป โดยให้ลองนึกถึงภาพเส้นเชือกเพียงเส้นเดียวแต่ถูกวางจนยุ่งเหยิงไปมาเพียงแค่นั้น ซึ่งจะแตกต่างไปโดยสิ้นเชิงกับ Maze ที่ออกแบบมาให้ฉงนงงงวยและสนุกตื่นเต้นมากกว่าซึ่งจะคล้ายกับการเล่นเกมปริศนา เพราะเส้นทางนั้นจะถูกแบ่งย่อยไปตามทิศทางต่างๆมากมาย เมื่อเดินเข้าไปแล้วอาจจะเจอทางตันหรือเจอทางออกก็ได้ อย่างไรก็ตามทั้ง Labyrinth และ Maze ก็คือเขาวงกตเช่นเดียวกัน
|| Labyrinth of Minos ||
ภาพโมเสคของชาวโรมัน ที่แสดงการต่อสู้ระหว่างเธซิอุสและมิโนทอร์ในเขาวงกต
Cr. buyabroadweb
รูปแบบ “ปริศนาเขาวงกต” นั้น มีหลักฐานต้นกำเนิดมาหลายพันปีจากทางโพ้นทะเลเมดิเตอร์เรเนียนก่อนคริสตกาลจากอารยะธรรมโบราณยุคสำริด โดยชาวกรีกโรมันก็มีตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับเทพเจ้าว่า พระราชาไมนอส ( King Minos ) ได้พบว่าพระนางปาซิปาอี ซึ่งเป็นพระมเหสีของตนนั้น ได้ให้กำเนิดบุตรออกมาเป็นสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งวัว สืบเนื่องมาจากพระราชาไม่ยอมส่งเครื่องบรรณาการไปบูชายันต์ให้กับเทพเจ้าโพไซดอนเจ้าแห่งท้องทะเล จนทำให้พระมเหสีถูกสาปให้รักกับวัวสีขาว จึงได้ถือกำเนิดบุตรออกมาเป็นสัตว์ครึ่งคนครึ่งวัวชื่อว่า “ มิโนทอร์ ” ( Minotaour ) สร้างความอับอายให้กับพระราชาไมนอสเป็นอย่างมาก
ดังนั้นพระราชาจึงได้สั่งออกแบบพระราชวังให้กลายเป็นเขาวงกตเพื่อนำสัตว์ประหลาดมิโนทอร์มากักขังเอาไว้ไม่ให้มันหลุดออกมาสู่ภายโลกนอก จากเรื่องเล่าขานผ่านกาลเวลามาหลายพันปีจนกระทั่งปัจจุบันได้มีการขุดพบพระราชวังไมนอสอีกครั้ง ทำให้ได้พบหลักฐานและโครงสร้างการออกแบบห้องรูปแบบเขาวงกตที่ดูสลับซับซ้อนและแน่นอนว่าต้องถูกกลั่นกรองผ่านความคิดของนักออกแบบในยุคนั้นมาอย่างถี่ถ้วนก่อนจะมีการสร้างห้องเหล่านี้ขึ้น ซึ่งห้องเขาวงกตได้ถูกซ่อนเอาไว้ใต้ฐานพระราชวัง ปัจจุบันพระราชวังไมนอสตั้งอยู่บนเกาะครีต ประเทศกรีซ
พระราชวังไมนอส
Cr. blog.alexander-beach
ห้องเขาวงกตภายใต้ซากพระราชวังไมนอส
Cr. thetinybook
เหรียญประทับลายเขาวงกตพบที่เมืองไมนอส
Cr. walklabyrinth.blogspot
|| Labyrinth at Chartres Cathedral ||
พื้นหินรูปเขาวงกตที่มหาวิหารชาตร์ ประเทศฝรั่งเศส
Cr. smithsonianmag
อีกหนึ่งการออกแบบเขาวงกตอันน่าทึ่ง ซึ่งนับว่าเป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมในการไปเยือนและจัดว่ามีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกเช่นกัน นั่นก็คือ เขาวงกตที่ปรากฏอยู่บนพื้นหินปูนในมหาวิหารชาตร์ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งตัววิหารนั้นเป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิค ( Gothic Architecture ) โดยนักโบราณคดีคาดการณ์กันว่าน่าจะถูกสร้างขึ้นในทศวรรษแรกของศตวรรษที่ 13 แต่ก็ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่าพื้นหินรูปเขาวงกตนี้ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อใดเนื่องจากยังไม่มีเอกสารใดๆรองรับและไม่รู้ว่าผู้สร้างคือใคร ซึ่งผลงานพื้นหินรูปเขาวงกตชิ้นนี้เต็มไปด้วยความลึกลับยากจะหาคำตอบ
สำหรับรูปพื้นหินเขาวงกตนี้มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 42 ฟุตเล็กน้อย และคาดกันว่าครั้งหนึ่งเคยมีภาพของมิโนทอร์ ( Minotaour ) อยู่ตรงกลาง ปัจจุบันอาสนวิหารนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก ( UNESCO ) และนับเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว และนักแสวงบุญชาวคริสต์ศาสนิกชน เพราะผู้นับถือศาสนาคริสต์หลายคนก็มีความเชื่อว่าพื้นหินรูปเขาวงกตนี้อาจจะมีความเกี่ยวเนื่องทางใดทางหนึ่งกับประวัติความเป็นมาของศาสนาคริสต์ ถึงได้มีผู้ออกแบบเขาวงกตนี้ไว้ที่พื้นวิหาร รวมถึงผู้ที่ได้มีโอกาสไปเยือนมหาวิหารแห่งนี้ก็มักจะหาโอกาสเข้าไปเดินทำสมาธิตามเส้นทางรูปเขาวงกตบนพื้นหินนี้อีกด้วย
Cr. simon jones
|| Labyrinth Park of Horta ||
Cr. barcelona-top-travel-tips
อุทยานเขาวงกตแห่งฮอร์ทา ( Parc del Laberint D’Horta ) ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา Serra de Collserola เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน จัดว่าเป็นอุทยานประวัติศาสตร์เก่าแก่ที่สุดของสเปน อุทยานแห่งนี้ถูกออกแบบโดยวิศวกรชาวอิตาลีนามว่า Domenico Bagutti เมื่อปี ค.ศ. 1792 สร้างขึ้นสำหรับขุนนางผู้เป็นเจ้าของที่ดินคือ Joan Antoni Desvalls ภายหลังหลายปีต่อมาในช่วงศตวรรษที่ 19 ลูกหลานของขุนนางท่านนี้ ได้ให้สถาปนิกนามว่า Elies Rogent ออกแบบตกแต่งสวนเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นบ่อน้ำ น้ำตก สวนดอกไม้ หรือลานแสดงละครกลางแจ้ง
ในปี ค.ศ. 1967 ครอบครัว Desvalls ผู้เป็นเจ้าของที่ดินอุทยานได้ตัดสินใจส่งมอบอุทยานฮอร์ทาให้กับเมืองบาร์เซโลนา ซึ่งในที่สุดก็เปิดให้สาธารณชนได้เข้าชมเมื่อปี ค.ศ. 1971 ปัจจุบันอุทยานแห่งนี้มีพื้นที่ทั้งหมดถึง 9 ไร่
ภาพบรรยากาศภายในอุทยานเขาวงกตแห่งฮอร์ทา
Cr. luxm2
ไฮไลท์ของอุทยานแห่งนี้ คือ สวนเขาวงกตสไตล์นีโอคลาสสิกที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง เพราะได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวความรักของเธซิอุส (Theseus ) ราชาในตำนานแห่งเมืองเอเธนส์ ซึ่งว่ากันว่าผู้ใดก็ตามที่เดินฝ่าเขาวงกตเข้าไปถึงใจกลางของอุทยานสำเร็จ จะได้รับความรักที่สมหวังเป็นรางวัลกลับไป ดังนั้นทางเข้าของอุทยานแห่งนี้จะมีรูปปั้นของเธซิอุสและเอเรียดเน ( ลูกสาวของพระราชาไมนอสแห่งเกาะครีต ) รอต้อนรับผู้ที่เดินเข้ามาสู่เขาวงกตทุกคน
ด้านการออกแบบตกแต่งสวน ได้มีการปลูกต้นไซปรัสเป็นแนวยาวกว่า 750 เมตร เพื่อต้อนรับผู้มาเยือน และยังคิดค้นแผนผังทางเดินภายในสวนรูปเขาวงกตแบบ Maze ที่มีทั้งทางตันและทางหลอกให้เดินเลี้ยวผิดอยู่มากมาย ทำให้การที่จะเดินไปให้ถึงจุดศูนย์กลางของอุทยานนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายและยังท้าทายไม่น้อย หากผู้ใดสามารถเอาชนะเขาวงกตและเดินเข้าไปถึงจุดศูนย์กลางของอุทยานแห่งนี้ได้สำเร็จ ก็จะได้พบกับปฏิมากรรมรูปของ อีรอส ( Eros ) หรือคิวปิด ( Cupid ) เทพเจ้าแห่งความรักของชาวกรีกที่ยืนรออยู่ ซึ่งก็มีความเชื่อกันว่าผู้นั้นจะได้พบกับรักที่สมหวังหลังจากเอาชนะเขาวงกตแห่งนี้ไปได้ ดั่งเช่นข้อความที่ถูกสลักอยู่ ณ เบื้องล่างประติมากรรมของเธซิอุสและเอเรียดนา ว่า “The labyrinth is simple, do not be afraid, you will not need a guiding thread. Simple or not simple, but it is very possible to find yourself in a dead end in the maze”
อีรอส หรือ คิวปิด ( Eros/ Cupid )
เอเดรียน่า และ เธซิอุส ( Ariadne and Theseus )
Cr. luxm2
|| Labyrinth of Villa Pisani ||
Cr. grandvoyageitaly
หากคุณได้มีโอกาสผ่านไประหว่างเมืองเวนิสและเมืองปาดัว ในประเทศอิตาลี คุณจะได้พบกับสวนเขาวงกตที่งดงามมากๆแห่งหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่า “ เขาวงกตวิลล่าปิซานี ” ( Labirinto di Villa Pisani ) ตั้งอยู่ที่เมือง San Pietro di Stra โดยสวนเขาวงกตแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นที่ริมฝั่งแม่น้ำ Brenta โดยครอบครัวปิซานี ( Pisani ) ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่ร่ำรวยและมีอำนาจเป็นอย่างมากในช่วงในปี ค.ศ. 1722
Cr. italianways
สถานที่แห่งนี้ประกอบไปด้วยวิลล่าอันงดงามสไตล์เวนิสที่ มีจำนวนห้องมากถึง 114 ห้อง ซึ่งถูกตกแต่งอย่างหรูหรา ทั้งหมดถูกออกแบบโดยสถาปนิกนามว่า Frigimelica และ Preti สำหรับในของส่วนเขาวงกตปิซานี ได้ถูกออกแบบให้มีวงกลมจำนวน 9 วง ประกอบขึ้นด้วยพุ่มไม้หนา 900 แนว โดยมีหอคอยอยู่ตรงกลาง ซึ่งจะมีบันไดแบบเกลียววนขึ้นไปบนอาคาร ทำให้สามารถเดินจากภายนอกขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์บนหอคอยได้ สำหรับแรงบันดาลใจที่ก่อให้เกิด “ สวนเขาวงกตปิซานี ” ก็มีต้นกำเนิดมาจากตำนานการต่อสู้ของเธซิอุสและมิโนทอร์ ที่ถูกกักขังอยู่ในเขาวงกตของพระราชวังไมนอสบนเกาะครีต จะว่าไปตำนานเรื่องนี้ของชาวกรีกก็ถือเป็นแรงบันดาลใจในการก่อสร้างเขาวงกตมากมายไปเท่าโลกก็ว่าได้
Cr. italianways
|| The Masone Labyrinth ||
Cr. designboom
“เขาวงกตแห่งมาโซเน่” ( Labirinto Della Masone ) เป็นเขาวงกตที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกตั้งแต่มีการสร้างเขาวงกตขึ้นมาในโลกนี้ ตั้งอยู่ที่เมืองปาร์มา ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ลักษณะเด่นชัดของเขาวงกตมาโซเน่ จะเป็นรูปดาว 8 แฉก โดยต้นไม้ที่เลือกใช้ก็จะมีเฉพาะต้นไผ่เท่านั้น ( มีต้นไผ่ทั้งหมดประมาณ 200,000 ต้น เกือบ 20 สายพันธุ์ ) โดยเขาวงกตมีขนาดมหึมาถึง 17 เอเคอร์ ออกแบบให้มีเส้นทางเดินโอมล้อมรอบอาคารปิรามิดสีทอง ซึ่งภายในเป็นอาคารที่เก็บสะสมงานศิลปะเก่าแก่ มีผลงานทั้งหมดประมาณ 500 ชิ้น โดยชิ้นผลงานเหล่านี้ถูกรังสรรค์ขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 จนถึงศตวรรษที่ 20 นอกจากนี้ยังมีห้องสมุดเฉพาะที่เก็บตัวอย่างผลงานการพิมพ์และงานกราฟิกที่มีชื่อเสียงเอาไว้
Cr. smithsonianmag
“ เขาวงกตมาโซเน่ ” เกิดขึ้นจากไอเดียการสร้างสรรค์ของนักสะสมงานศิลปะและนักเขียนบรรณานุกรมนิตยสารศิลปะชาวอิตาลี ที่มีชื่อว่า ฟรานเชสโก มาเรีย ริกชี่ ( Franco Maria Ricci ) และได้ความร่วมมือจากนักเขียนและกวีชาวอาร์เจนตินานามว่า จอร์จ หลุยส์ บอร์เกส ( Jorge Luis Borges ) โดยในปี ค.ศ. 1998 ริกชี่ ได้ขายสำนักพิมพ์และทุ่มทุนทรัพย์ที่เขามีทั้งหมดเพื่อนำมาสร้างเขาวงกตมาโซเน่แห่งนี้ โดยเขาหวังว่าเขาวงกตที่สร้างขึ้นจะช่วยสร้างจุดหมายปลายทางและแรงบันดาลใจให้กับผู้คน และยังจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันน่าทึ่งให้ผู้ที่มาเยี่ยมชมเกิดความรู้สึกพิศวง ความอยากรู้อยากเห็น ได้รู้สึกพักผ่อนหย่อนใจ รวมไปถึงได้รับอารมณ์แปลกใหม่อื่นๆเมื่อได้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์อยู่ภายในเขาวงกตขนาดยักษ์แห่งนี้ โดย ริกชี่ บอกว่าเขาต้องการสร้างสิ่งที่ช่วยให้ผู้คนหลงทาง เฉกเช่นเดียวกับ บอร์เกส ที่ก็เชื่อว่าเขาวงกตเป็นสัญลักษณ์เส้นทางชีวิตของมนุษย์และความยากลำบากที่ทุกคนต้องเอาชนะในช่วงชีวิตที่อาจจะสั้นหรือยืนยาวและในช่วงเวลาที่เราทุกคนต้องการค้นหาตัวเอง ริกชี่ กล่าวว่า การหลงทางอาจเป็นเรื่องที่น่าจดจำยิ่งกว่า เพราะอารมณ์ของการหลงทางเป็นสิ่งที่ทุกคนลืมไม่มีวันลืมไปได้
Cr. smithsonianmag