Silk Road หรือที่รู้จักกันในชื่อว่าเส้นทางสายไหมเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ที่เกิดขึ้นในช่วงราชวงศ์ฮั่นของจีน เรียกได้ว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก เป็นเส้นทางที่เชื่อมระหว่างตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกัน ซึ่งการเกิดขึ้นของเส้นทางสายนี้ก็ได้มีส่วนร่วมให้เกิดการพัฒนาเปลี่ยนแปลงในหลายๆด้าน เช่น ด้านธุรกิจการค้าขาย ด้านวัฒนธรรม เป็นต้น

เส้นทางสายไหม (Silk Road)

เส้นทางสายไหมคือเส้นทางสำคัญทางการค้าที่มีความสำคัญลำดับต้นๆของโลก โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากทางตะวันออกที่เมืองฉางอานหรือซีอานในปัจจุบันของจีน และไปสิ้นสุดที่ยุโรปคือเมืองคอนสแตนติโนเปิล โดยเส้นทางนี้มีจุดเด่นตรงที่เปิดกว้างในการค้าขายมากที่สุด เปรียบได้เหมือนกับในปัจจุบันที่โลกแห่งการค้านั้นมีการเปิดตลาดใหม่ๆได้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งการเปิดกว้างตรงนี้เองทำให้ผู้คนมีโอกาสมากขึ้น
เส้นทางสายไหมในยุคแรกถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ และมีหลักฐานทำให้เชื่อว่าจีนได้เคยติดต่อค้าขายกับโลกตะวันตกมาตั้งแต่ 300 ปี ก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งการเกิดขึ้นของเส้นทางการค้านี้ เกิดมาจากการที่ในสมัยก่อนมนุษย์เราดำรงชีวิตด้วยการอยู่อาศัยกันเป็นกลุ่มก้อน จนเกิดเป็นอารยธรรมใหญ่ๆขึ้นมาเช่นอารยธรรมกรีก-โรมัน, อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ, อารยธรรมลุ่มแม่น้ำฮวงโห ซึ่งแต่ละอารยธรรมนั้นมีที่ตั้งอยู่ห่างไกลกันคนละมุมโลก และด้วยการที่ต้องดำรงชีวิตรอด มนุษย์จึงไม่จำกัดโอกาสตัวเองให้อยู่แค่ในอารยธรรมของตัวเองเท่านั้น จึงเริ่มมีการติดต่อค้าขายระหว่างแต่ละอารยธรรมมาโดยตลอด และอารยธรรมโบราณที่ยิ่งใหญ่ในอดีตนั้นมีอยู่ 2 ที่หลักๆคือ อารยธรรมลุ่มแม่น้ำฮวงโห ที่เป็นที่ตั้งของประเทศจีนในปัจจุบัน และอารยธรรมโรมันที่ตั้งอยู่ในยุโรป
Credit : worldhistory .org
ในเวลาต่อมาเริ่มได้มีการค้าขายระหว่างอารยธรรมเกิดขึ้น โดยใครเป็นผู้ริเริ่มเป็นคนแรกไม่ได้ถูกกล่าวไว้ในประวัติศาสตร์ แต่ทราบได้ว่าเริ่มจากพ่อค้าในอารยธรรมลุ่มแม่น้ำฮวงโหมีความคิดขึ้นมาว่าการนำสินค้าในอารยธรรมตัวเองไปขายให้กับผู้คนในยุโรป จะสามารถสร้างกำไรได้อย่างมหาศาล เพราะเป็นสินค้าแปลกใหม่ที่ในยุโรปไม่มี และยังสามารถนำเอาสินค้าจากยุโรปกลับมาขายในอารยธรรมของตัวเองได้อีกด้วย จึงเป็นจุดเริ่มต้นทำให้มีการเดินทางเพื่อการติดต่อค้าขาย โดยเป็นระยะทางที่ไกลถึง 8,000 ไมล์ หรือประมาณ 12,800 กิโลเมตร เลยทีเดียว
นอกเหนือจากนี้ยังมีอีกเรื่องราวที่มีหลักฐานการบันทึกจากราชสำนักจีนในสมัยราชวงศ์ฮั่น ได้กล่าวเกี่ยวกับการเกิดขึ้นของเส้นทางสายไหม โดยเกิดจากในสมัยนั้นอาณาจักรฮั่นถูกพวกเร่ร่อนที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของจีนมีชื่อเรียกว่า “ซงนู๋” รุกรานอยู่บ่อยครั้ง จึงทำให้ต้องหาวิธีรับมือด้วยการส่งราชทูตที่ชื่อว่าจางเชียน ให้เดินทางไปทางตะวันตก เพื่อเจริญสัมพันธ์กับแคว้นต่างๆ รวมถึงออกตามหาม้าพันธุ์ดี เพราะม้าพันธุ์พื้นเมืองของจีนเป็นม้าตัวเล็กและไม่แข็งแรงมากพอที่จะสู้รบ จึงต้องการม้าพันธุ์ที่แข็งแรงเพื่อใช้มาเป็นกำลังสำคัญของกองทัพ ขณะเดินทางไปทางตะวันตก จางเชียนก็ได้พบกับผู้คนแคว้นต่างๆมากมาย มีทั้งผู้ที่ตั้งตัวเป็นศัตรูและผู้ที่ไม่สนใจข้อเสนอการร่วมเป็นพันธมิตรของจางเชียน เพราะพวกเขาพอใจกับสถานะปัจจุบันของตัวเองอยู่แล้ว
Credit : soundofhope .org , zhuanlan.zhihu .com, new.qq .com
เมื่อเดินทางไปในแถบตะวันตกจางเชียนก็ได้ถูกพวก Huns (สันนิฐานว่าเป็นกลุ่มคนนอกกำแพงเมืองจีนที่ถูกชาวฮั่นไล่และอพยพมาทางตะวันตกจนมาถึงโรมัน) จับตัวไว้เป็นเวลา 10 ปี แต่เขาก็เอาตัวรอดหนีออกมาได้ และด้วยความโชคดีจางเชียนนั้นได้เดินทางไปถึงบริเวณที่เรียกว่า เฟอร์กานา ซึ่งเป็นอุซเบกิสถานในปัจจุบัน จางเชียนได้พบกับม้าพันธุ์ดีที่มีชื่อเรียกว่า “Ferghana” หรือม้าเหงื่อโลหิตต้าหยวนที่เราอาจจะคุ้นเคยมาจากนิยายเรื่องสามก๊ก ม้าเหงื่อโลหิตต้าหยวนนี้ เป็นม้าที่มีความแข็งแกร่งกว่าม้าในแถบๆบริเวณของจีนเป็นอย่างมาก ซึ่งถึงแม้ว่าจางเชียนจะคว้าน้ำเหลวจากการเจริญสัมพันธุ์กับแคว้นอื่นๆ แต่เรียกได้ว่าจางเชียนเป็นผู้เปิดตลาดนำเอาม้าเหงื่อโลหิตต้าหยวนกลับมาให้กับจีนได้สำเร็จ และด้วยความที่จางเชียน อยู่ในภูมิภาคตะวันตกเป็นเวลาร่วมสิบปี เขาจึงเชี่ยวชาญทั้งภาษาและวัฒนธรรม จางเชียนมักจะมีการจดบันทึกสิ่งต่างๆเอาไว้ ทั้งวิถีชีวิต การค้าขาย โบราณวัตถุทางวัฒนธรรม รวมถึงตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของภูมิภาคตะวันตก เพื่อให้กองทัพฮั่นมีความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับซงนู๋ ซึ่งเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับการต่อสู้ และในภายหลังกองทัพฮั่นก็ได้เอาชนะพวกซงนู๋ได้ในช่วง 119 ปีก่อนคริสตกาล พร้อมกับผลพลอยได้ครั้งยิ่งใหญ่จากการเดินทางครั้งนี้ เส้นทางการค้าที่เปิดโดยจางเชียนซึ่งเดินทางจากเมืองฉางอานไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคตะวันตกได้กลายเป็นเส้นทางสำคัญที่เชื่อมโยงวัฒนธรรมตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน และจึงมีนักวิชาการหลายๆคนออกมาให้คำตอบว่าผู้ที่เปิดเส้นทางสายไหมเป็นคนแรกนั้นก็คือจางเชียนนั่นเอง
Credit : europenowjournal .org
ความสำคัญของเส้นทางสายไหมไม่ใช่มีเพียงแค่เรื่องการค้าขายเท่านั้น เนื่องจากระหว่างทางของเส้นทางสายไหมได้ผ่านดินแดนที่มีพื้นที่ใหญ่ๆมากมายทั้งอินเดีย, เปอร์เซีย, ตะวันออกกลาง, เมโสโปเตเมีย, แอฟริกา, ดินแดนทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีอารยธรรมและวัฒนธรรมที่หลากหลาย จึงเริ่มมีการแชร์และแลกเปลี่ยนกัน หนึ่งในนั้นที่สำคัญมาจนถึงปัจจุบันก็คือศาสนา การเกิดขึ้นของศาสนา เช่นศาสนาพุทธที่เกิดในอินเดีย ศาสนาอิสลามที่เกิดในคาบสมุทรอาหรับ และศาสนาคริสต์ที่เกิดบริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งพื้นที่ที่เกิดขึ้นของศาสนานั้นล้วนแต่อยู่ใกล้กับเส้นทางสายไหม จึงทำให้มีเหล่านักบวชของศาสนาต่างๆมีการใช้เส้นทางสายไหมในการเดินทางเพื่อเผยแพร่ศาสนาของตนเอง และมีหนึ่งในนักบวชที่มีชื่เสียงโด่งดังในสมัยราชวงศ์ถังก็คือพระถังซัมจั๋ง ที่ใช้เส้นทางสายไหมในการเดินทางไปชมพูทวีป เพื่อไปคัดลอกพระไตรปิฎกมาเผยแพร่ที่เมืองซีอานประเทศจีนด้วยเช่นกัน

เส้นทางการเดินทาง

Credit : chinadiscovery .com
การเดินทางของเส้นทางสายไหมนั้นเต็มไปด้วยความยากลำบากตลอดการเดินทาง เพราะเรียกได้ว่าเป็นเส้นทางที่ไกลมากเลยทีเดียว เหล่ากองทัพพ่อค้ามักจะเดินทางด้วยอูฐ ม้า ลา ซึ่งต้องผ่านพื้นที่ทุรกันดารอย่างทะเลทรายโกบี หรือหลังคาของโลกอย่างอย่างที่ราบสูงปามีร์ ซึ่งพ่อค้าที่ต้องการเดินทางเส้นทางสายนี้จะต้องลงทุนไปกับหลายสิ่งทั้งสินค้า ยานพาหนะ ค่าภาษีต่างๆ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลตอบแทนที่ได้นั้นคุ้มค่าที่จะลงทุน
หากแบ่งตามจุดเริ่มต้นเส้นทางในการใช้เดินทางจะมี 2 เส้นทางหลักๆ คือเส้นทางจากตะวันตกมาตะวันออก และเส้นทางจาตะวันออกไปยังตะวันตก ซึ่งจะมีเส้นทางที่ใช้เดินทางผ่านต่างกันดังนี้
Credit : britannica .com
เส้นทางจากตะวันตกมาตะวันออก
เส้นทางนี้จะเริ่มต้นจาก เมืองกาดิซประเทศสเปน → เมืองคอร์โดบาประเทศสเปน → เมืองวาเลนเซียประเทศสเปน → เมืองเจนัวประเทศอิตาลี → ประเทศออสเตรีย → เมืองเตหะรานประเทศอิหร่าน → ทะเลทรายโกบี → ที่ราบสูงระหว่างเทือกเขาหิมาลัยกับรัสเซีย → กำแพงเมืองจีน
เส้นทางจากตะวันออกมาตะวันตก
เส้นทางนี้การเดินทางเริ่มต้นจาก จีน ซึ่งมี 2 เส้นทางหลักคือสายเหนือและสายใต้
สายเหนือจะเริ่มจากเมืองลั่วหยางประเทศจีน → โอเอซิสหลานโจวประเทศจีน → โอเอซิสตุนหวงประเทศจีน → ประเทศเลบานอนในตะวันออกกลาง → กรุงแบกแดด → ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน → ยุโรป
สายใต้จะเริ่มจากเมืองลั่วหยางประเทศจีน → โอเอซิสหลานโจวประเทศจีน → โอเอซิสตุนหวงประเทศจีน → ประเทศเลบานอนในตะวันออกกลาง → อินเดีย(จะไปบรรจบกับเส้นทางสายไหมทางทะเล) และก็จะเป็นเส้นทางแยกย่อยๆจนกว่าจะไปถึงยุโรปซึ่งขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของพ่อค้าในการเดินทาง
Credit : chinasilkmuseum .com
เส้นทางสายไหมทางทะเล
นอกจากทางบกแล้วจีนยังได้มีการทำการค้าขายทางเรือผ่านเส้นทางสายไหมทางทะเลซึ่งแบ่งออกเป็น 2 เส้นทางหลักคือเส้นทางทะเลจีนตะวันออก และเส้นทางทะเลจีนใต้ ช่องทางนี้เป็นช่องทางที่ใช้ติดต่อกับคาบสมุทรมลายูผ่านทางช่องแคบมะละกา จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ผ่านไปยังอ่าวเบงกอลจนไปถึงมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งเส้นทางนี้ก็จะสามารถไปเชื่อมต่อกับเส้นทางทางบกได้ หรือจะใช้เส้นทางทางทะเลเดินทางไปต่อก็จะไปพบกับอ่าวเปอร์เซีย และทวีปแอฟริกานั่นเอง และโดยส่วนมากเส้นทางสายไหมทางทะเลจะนิยมขนส่งเครื่องเทศ และของป่าต่างๆ

สินค้าและงานศิลปะที่ขึ้นชื่อในเส้นทางสายไหม

Credit : silk-road .com
การค้นพบเส้นทางสายไหมไม่ใช่แค่เพียงการเกิดตลาดใหม่สำหรับชาวตะวันออกไปสู่ตะวันตก แต่เรียกได้ว่าเกิดการเปิดกว้างทั้งสองฝั่ง ซึ่งกำเนิดการเดินทางของชาวฝั่งตะวันตกมายังตะวันออกด้วยเช่นกัน รวมไปถึงสินค้าที่นำมาแลกเปลี่ยนค้าขายก็มีสินค้าที่หลากหลายจากทั้งสองฝ่าย และคำว่าเส้นทางสายไหมนั้นก็เกิดขึ้นมาจากสินค้าที่เป็นที่นิยมขายและมีชื่อเสียงโด่งดังนั่นคือผ้าไหมจากจีน จนนำมาใช้เรียกเป็นชื่อเส้นทางสายไหม
Credit : chinahighlights .com
คำว่าเส้นทางสายไหม (Silk Road) เพิ่งถูกตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในกลางศตวรรษที่ 19 โดย Baron Ferdinand von Richthofen นักปราชญ์ชาวเยอรมันที่ได้บัญญัติชื่อนี้ขึ้น สินค้าที่มีชื่อเสียง คือ ผ้าไหมจีน, แก้ว, เพชรพลอย, กระดาษ, เครื่องเคลือบดินเผา เป็นต้น แต่ที่โดดเด่นคือผ้าไหมจะเป็นสินค้าหลักในการค้าขาย เพราะด้วยน้ำหนักที่เบา มีความกะทัดรัด จึงทำให้เกิดความต้องการมหาศาล และด้วยราคาที่สูงจึงทำให้เหมาะสำหรับการค้าและการขนส่งทางไกล ซึ่งผู้ซื้อจะรู้สึกถึงความยากลำบากในการขนส่งและทำให้กลายเป็นสินค้า Luxury ในยุคนั้น
Credit : athenaeum.baronyofmadrone .net
นอกจากสินค้าจากจีนที่ไปนิยมทางฝั่งยุโรปแล้ว กลับกันสินค้าทางตะวันตกที่ถูกนำมาขายในจีนก็มีเช่นกันได้แก่ ม้า อานม้า องุ่น สัตว์แปลกๆ และพวกขนสัตว์ หนังสัตว์ เป็นต้น ซึ่งในขณะที่มีการเดินทางค้าขายกันไปมาในเส้นทางสายไหมนี้ ก็ได้มีการนำพาหลายๆ สิ่งแลกเปลี่ยนกันนอกจากผ้าไหมจากจีนที่เป็นที่นิยม ยังมีดินปืนที่จีนเป็นผู้ประดิษฐ์และนำพาไปให้ชาวยุโรปและประเทศอื่นๆ ได้รู้จัก รวมไปถึงเข็มทิศที่เป็นอีกสิ่งสำคัญที่มีส่วนนำไปถึงจุดเสื่อมสลายของเส้นทางสายไหม
Credit : editions.covecollective .org
เส้นทางสายไหมที่รุ่งเรืองมากที่สุดในยุคหนึ่งก็ได้มีจุดที่เสื่อมสลายไปเนื่องมาจากเมื่อผู้คนเริ่มรู้จักกับดินปืนจึงก่อให้เกิดสสงครามในหลายพื้นที่ รวมไปถึงการเกิดสงครามครั้งสำคัญในปี 1453 และนำไปสู่การล่มสลายของอาณาจักรไบแซนไทน์หรืออาณาจักรโรมันตะวันออก จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่นับว่าเป็นการเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ ส่งผลทำให้ลักษณะการเดินทางของผู้คนเปลี่ยนไป หลายๆ ประเทศมีความต้องการที่จะไปเปิดตลาดใหม่ๆ ในดินแดนอื่น เริ่มมีการใช้เข็มทิศในการเดินทางและได้ค้นพบเส้นทางใหม่ๆ อีกมากมาย รวมถึงมีโรคระบาดอย่างกาฬโรคเกิดขึ้นในเส้นทางสายไหม จึงทำให้การเดินทางผ่านเส้นทางสายไหมนั้นเสื่อมความนิยมลง
Credit : geoex .com
ในปัจจุบันการเดินทางและการขนส่งของมนุษย์เราก้าวหน้าขึ้นต่างกับในอดีตอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นทางการบิน ทางเรือ รวมไปถึงรถไฟ ซึ่งแน่นอนว่าการติดต่อค้าขายก็สามารถเกิดขึ้นได้อย่างไม่มีสะดุด จึงทำให้ในปี2013 เส้นทางสายไหมเริ่มกลับมาเป็นที่สนใจอีกครั้ง เมื่อจีนได้มีการเปิดเส้นทางสายใหม่ขึ้นมาอีกครั้งในศตวรรษที่21 โดยจีนตั้งใจที่จะ Connect กับประเทศต่างๆให้ได้มากที่สุดรวมถึงประเทศไทยของเราด้วย เพราะมีจุดประสงค์ที่ต้องการก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำการค้าโลก และเส้นทางสายไหมใหม่นี้ก็ถือว่าได้ถูกเปิดให้ใช้งานแล้ว อย่างสถานการณ์ของการเกิดโรคระบาด Covid19 ในปี2019 ทำให้การขนส่งสินค้าทางอากาศและทางเรือเกิดความล่าช้าขึ้น จีนก็ได้แก้ปัญหาโดยการใช้เส้นทางรถไฟในการกระจายสินค้าต่างๆ เป็นการเปิดเส้นทางการค้าใหม่เสมือนกับการเปิดเส้นทางสายไหมในอดีตเลยทีเดียว
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเส้นทางสายไหมไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือปัจจุบัน ยังคงโดดเด่นเรื่องของการเปิดกว้างในการจะคว้าโอกาสดีๆระดับโลก ทั้งในเรื่องของการเปิดตลาดใหม่ๆในการค้าขาย หรือจะเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้จากต่างแดน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าทึ่งที่คนในอดีตได้ศึกษาเปิดทางไว้ให้จนตกทอดมาถึงปัจจุบันเพื่อให้เราสามารถใช้ชีวิตกันได้ง่ายขึ้น
สามารถติดตามผลงานต่าง ๆ ของทาง Bareo ได้ที่ช่องทางเว็บไซต์ของ Bareo หรือทาง Facebook : Design by Bareo ที่จะคอยอัพเดทข่าวสาร งานดีไซน์ และผลงานการออกแบบตกแต่งภายในมากมาย ให้ท่านผู้อ่านได้รับความรู้ และความสนุกตลอดทั้งปี
หรือหากสนใจจะออกแบบตกแต่งภายในกับทาง Bareo ทางเราก็มีบริการออกแบบภายในครบวงจร โดยสามารถอ่านรายละเอียดการให้บริการของเราได้ที่นี่ คลิ๊ก
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
cuti.chula .ac.th
readthecloud .co
Point of View Chanel
Bbc .com
advantour .com/silkroad

CONTENT RELATED

NEW CONTENT

PORTFOLIO