THE NATURE DESING
บนโลกใบนี้แม้จะมีสิ่งสวยงามตระการตาที่มนุษย์สร้างขึ้นมามากมาย แต่ความงามเหล่านั้นก็ไม่ได้จีรังยั่งยืนดังความงามที่ธรรมชาติรังสรรค์ มีหลากหลายสถานที่ที่ธรรมชาติได้สร้างความมหัศจรรย์เอาไว้ให้คนบนโลกได้รับรู้และเห็นว่าความสวยงามจากธรรมชาติที่แท้จริงเป็นอย่างไร คนกับธรรมชาติก็สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ
บทความนี้ เราขอรวมรวมสถานที่ที่เกิดจากธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้น มาให้แฟนๆ บาริโอ ได้ชมกันค่ะ
The wave
Cr. Flickr
The Wave (เดอะเวฟ) ภูเขาหินทรายที่ตั้งอยู่ในรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา ใกล้ชายแดนทางเหนือของยูทาห์ เป็นหนึ่งในสถานที่ที่สวยที่สุดซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยเกิดจากการที่กระแสน้ำและลมพายุกัดเซาะหินทรายที่ชื่อว่า Navajo Sandstone (หินทรายนาวาโฮ) จนหินทรายที่มีสีส้มและขาวหมุนวนมารวมกันกลายลักษณะคล้ายเกลียวคลื่นที่ลาดชัน และคดเคี้ยวซ้อนกันเป็นชั้น
Cr. thebesttravelplaces.com
ผลจากการกัดเซาะของน้ำและลมซึ่งเกิดขึ้นเป็นเวลานาน ทำให้บางพื้นที่ของ The Wave กลายเป็นหินทรายรูปร่างแปลกตามากมาย และยังมีหินรูปกากบาทขนาดใหญ่ที่มีความโค้งเว้าสวยงาม บางแห่งเกิดเป็นหลุมลึกขนาดหลายสิบเมตร ซึ่งเงาที่มีแสงสว่างส่องถึงสะท้อนกับหินทรายสีจัดจ้านจะสวยงามมาก นอกจากนี้บริเวณโดยของ The Wave ยังเต็มไปด้วยสระและแอ่งน้ำจำนวนมากอีกด้วย
Cr. justimagine-ddoc.com
Tunnel of Love
cr.IG: casaderami
Tunnel of Love หรือ อุโมงค์แห่งความรัก ขึ้นชื่อว่าเป็นอุโมงค์เส้นทางรถไฟที่โรแมนติกที่สุดในเมืองKlevan ประเทศยูเครน ซึ่งเกิดจากต้นไม้นานาพรรณโน้มเข้าหากันจากทั้ง 2 ฝั่ง ปกคลุมเส้นทางรถไฟยาวกว่า 1.8 ไมล์ ในแต่ละวันจะมีขบวนรถไฟวิ่งผ่านอุโมงค์รถไฟนี้เพียงวันละ 2-3 ขบวนเท่านั้น ทำให้บรรยากาศความสดชื่น และใบไม้ที่เขียวขจียังปกคลุมเส้นทางสายรถไฟนี้ได้อย่างสมบูรณ์ โดยใบของต้นไม้จะเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล ตั้งแต่พฤษภาคมถึงสิงหาคม ใบไม้จะเขียวขจี และเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเมื่อถึงเดือนกันยายนจนถึงตุลาคม ทิ้งทวนด้วยการมีหิมะปกคลุมอุโมงค์ในฤดูหนาวช่วงปลายปีจนถึงต้นปี ซึ่งถือเป็นความโรแมนติกที่เกิดจากฝีมือธรรมชาติ สวยงาม จนที่แห่งนี้กลายเป็นเป้าหมายหลักของคู่รักที่อยากให้ความรักอยู่คู่กับพวกเขาไปนานๆ (เพราะเชื่อกันว่าคู่รักคู่ไหนที่ได้มา Tunnel of Love จะครองคู่กันอย่างยาวนานนั่นเองค่ะ)
Cr. earthroulette.com
Waitomo Glowworm Caves
Cr. rove.com
Waitomo Glowworm Cave (ถ้ำไวโตโมโกลว์วอร์ม) หรือที่เราเรียกกันว่า “ถ้ำหนอนเรืองแสง” เป็นถ้ำที่อยู่ทางเหนือในประเทศนิวซีแลนด์ ความมหัศจรรย์ของถ้ำแห่งนี้คือลักษณะทางกายภาพภายในถ้ำซึ่งมีสายน้ำไหลผ่าน ประกอบกับความงามที่ธรรมชาติสร้างขึ้นก็คือ “หนอนเรืองแสง” ที่ส่องแสงระยิบระยับอยู่ภายในถ้ำ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ภายใต้แสงดาวบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน
Cr. thegallivantpost
สิ่งที่เรืองแสงนี้ หลายคนอาจชินและเรียกกันจนติดปากว่า “หนอน” แต่ในทางวิทยาศาสตร์นั้นบอกว่ามันเป็นตัวอ่อนของแมลงที่มีชื่อว่า Araachnocampa Luminosa ถือเป็นสายพันธุ์ที่พบได้เฉพาะในนิวซีแลนด์เท่านั้น ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเติบโตไปเป็นแมลง ทำให้เกิดการส่องแสงติดต่อกันเป็นเวลา 6-12 เดือน หรือตามความสมบูรณ์ของตัวหนอนนั่นเองค่ะ พอแสงมาอยู่ในถ้ำที่มืดสนิทจึงเกิดเป็นความงามทางธรรมชาติที่น่าพิศวง
Cr. weddingmoonvacations.com
ชมคลิปความสวยงามของหนอนเรืองแสงแบบเคลื่อนไหวได้ที่ลิงค์ด้านล่างค่ะ
Victoria Falls
Cr. plus.google.com
น้ำตก Victoria Falls (น้ำตกวิกตอเรีย) ตั้งอยู่บริเวณรอยต่อของประเทศแซมเบียและประเทศซิมบับเวเป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีชื่อท้องถิ่นที่เรียกกันทั่วไปว่า Mosi-oa-Tunya (โมซิ-โอวา-ทุนยา ) ซึ่งหมายถึงเสียงคำรามแห่งซิมบับเว ถูกค้นพบครั้งแรกโดย ดร.เดวิด ลิฟวิงสโตน ในปี ค.ศ. 1855 และตั้งชื่อขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย
Cr. i.pinimg.com
น้ำตกวิกตอเรียเกิดจากแม่น้ำซัมเบซีซึ่งเป็นแม่น้ำกั้นพรมแดนของสองประเทศ ไหลมารวมกันบริเวณหน้าผาสูงแบบตั้งฉากที่มีขนาดกว้างกว่า 1690 เมตร และสูงประมาณ 60-100 เมตร จนมวลน้ำมากมายมหาศาลตกลงสู่แอ่งน้ำลึกด้านล่าง ส่งผลให้ปริมาณน้ำที่ไหลลงมีความแรง กระทบกับหินจนเกิดเสียงดังอื้ออึง และไอน้ำจากน้ำตกวิกตอเรียกระจายตัว ฟุ้งไกล ดุจมีหมอกครื้มครอบคลุมไปทั่วบริเวณ สามารถมองเห็นได้จากระยะทาง 20 กิโลเมตรเลยทีเดียวโดยรอบข้างของน้ำตกวิคทอเรียถูกล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติอันเขียวขจี และบางครั้งก็ตัดกับสีสันของสายรุ้งพาดผ่าน ทางฝั่งตะวันออก สวยงามสุดๆ ไปเลยค่ะ
Salar de Uyuni
Cr. www.nationalgeographic.com
ซาลาร์ เดอ อูยูนี ดินแดนแสนมหัศจรรย์ที่ถูกปกคลุมไปด้วยผนึกเกลือสีขาว ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศโบลิเวียซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 10,582 ตารางกิโลเมตร พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่ถูกล้อมรอบด้วยหุบเขาต่างๆ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้น้ำไม่มีทางระบายออกไปสู่มหาสมุทร จนเวลาต่อมาน้ำได้ค่อยๆแห้งเหือดจนเกิดเป็นแอ่งทะเลสาบ และผนึกเกลือค่อยๆก่อตัวหนาขึ้นจนกลายเป็นทะเลเกลือขนาดใหญ่ที่สุดในโลก
CR www.nationalgeographic.com/travel/