Castle in the Sky
ปราสาทลอยฟ้าในกรุงเทพมหานคร Part I
วิมานในอากาศ…ปราสาทลอยฟ้า…ใครว่าเป็นแค่จินตนาการ
“ท่อนหนึ่งของเพลง ‘มีแต่รัก’ นั้นกล่าวไว้ว่า “…ฉันจะทำและฉันจะทำ ให้รักของเราเป็นเหมือนวิมาน…ให้เท่าเทียมสวรรค์บันดาลด้วยมือของฉัน…” และนี่ก็คือหนึ่งในวิมานที่งดงามราวกับสวรรค์บันดาลที่ออกแบบมาให้ตรงใจเจ้าของบ้าน
…สำหรับในเดือนนี้ขอเชิญทุกท่านมาพบกับห้องชุดพักอาศัยที่มีพื้นที่ราว 300 ตารางเมตรใจกลางเมืองกรุงเทพมหานครที่ถูกออกแบบให้งดงาม หรูหรา และครบครันไปด้วยฟังก์ชันการใช้สอยที่สะดวกสบาย ที่จะทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกราวกับเป็นเจ้าชายและเจ้าหญิงในปราสาทกันเลยทีเดียว”
- Foyer & Lobby
- Spa Massage Room
- Bedroom (4 ห้อง)
- Library
- Living & Dining
- Restroom
งานออกแบบตกแต่งภายใน สไตล์ Classical นั้นจะเป็นสไตล์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากยุคสมัยกรีกโรมัน ที่นิยมการตกแต่งที่มีดีเทลละเอียดอ่อนรวมไปถึงการใช้ ‘คิ้วบัว (Cornice)’ และ ‘ลูกฟัก (Panel)’ เข้ามาใช้ ในขณะที่ Deco ในโปรเจคนี้นั้นจะเป็น Deco-Chic หรือสไตล์ Art Deco ที่เอามาลดทอนลงให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน… ซึ่งเมื่อรวมทั้งสองสไตล์เข้าด้วยกัน ก็เกิดเป็นงานออกแบบและตกแต่งภายในที่หรูหราและลงตัว
ตั้งแต่ก้าวแรกที่ออกมาจากลิฟต์ บรรยากาศที่จะสร้างความประทับใจให้กับเจ้าของบ้านและผู้มาเยือนก็คือ ‘โถงลิฟต์’ เริ่มตั้งแต่ลวดลายบนพื้นหินอ่อนที่มี Pattern สีขาวของหิน Statuario สลับกับสีดำ Black African เพื่อสร้างมิติให้กับพื้นที่ ไล่ขึ้นมาที่ผนังตกแต่งลิฟต์ทั้งสองข้างที่ใช้เป็นผนังไม้กรุด้วยลูกฟักทาสีขาวให้ตัดกับตัวลิฟต์ที่เป็นสีเข้ม และประดับด้วยโคมไฟผนัง (Wall Light) ที่จะช่วยเสริมให้ไฟ Chandelier บนฝ้าเพดานโดดเด่นขึ้น
ในส่วนของผนังทั้งสองข้างนั้น ฝั่งหนึ่งนั้นจะเป็นส่วน Service ของอาคารที่ดีไซน์เนอร์ของเราออกแบบให้กลายเป็นผนังสำหรับแขวนรูปภาพตกแต่งที่สามารถเปิดออกไปเชื่อมกับส่วนของอาคารได้ ในขณะที่อีกฝั่งจะเป็นบานประตูคู่ที่เมื่อเปิดเข้าไปก็จะเจอส่วน Lobby ที่มีโซฟาทรงโดนัทสีหวานวางอย่างสะดุดตา คอยต้อนรับเจ้าของบ้านอยู่ท่ามกลางบานประตูและผนังสีขาวสะอาด ให้ความรู้สึกปลอดโปร่ง เงียบสงบและภูมิฐาน ก่อนที่จะเปิดเข้าไปเจอส่วนอื่นๆ ในวิมานแห่งนี้
สำหรับชั้นวางดีไซน์พิเศษของที่ถูกซ่อนอยู่นี้เองก็เป็นส่วนหนึ่งของโซน Lobby ที่ถูกซ่อนอยู่หลังหนึ่งในหน้าบานสีขาว โดยชั้นนี้ถูกออกแบบมาให้สามารถวางรองเท้าได้หลายสิบคู่ รวมไปถึงมีช่องสำหรับวางข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ ที่ใช้แค่เวลาออกไปข้างนอกได้ ที่ด้านหลังชั้นจะถูกซ่อนไฟ LED เอาไว้เพื่อให้สามารถมองเห็นของที่วางเอาไว้ในแต่ละช่องได้อย่างชัดเจน
เนื่องจากชั้นวางของนี้สูงจรดเพดานที่มีความสูงกว่าบ้านปกติทั่วไป ดังนั้นจุดเด่นและกลไกพิเศษของชั้นวางของนี้คือการที่ชั้นวางรองเท้าบริเวณล่างขวาสองช่องนั้น สามารถดึงชั้นวางรองเท้าธรรมดาๆ ให้ออกมาเป็นบันไดเพื่อปีนขึ้นไปหยิบของที่ชั้นด้านบนได้
พัฒนาโดยทีม Furniture Design ของบริษัท บาริโอ จำกัด ร่วมกับทีมเขียนแบบและทีมโรงงาน ที่ช่วยกันดูแลทุกรายละเอียดให้กลไกบันไดนี้แข็งแรงทนทานและปลอดภัยสำหรับการใช้งาน อีกทั้งยังสวยงาม สามารถเก็บและดึงออกมาใช้งานได้อย่างง่ายดายอีกด้วย
หนึ่งในบานประตูของที่เชื่อมมาจากส่วน Lobby นั้นจะเป็นประตูที่นำไปสู่โซน Library ที่นอกจากจะเป็นพื้นที่สำหรับการจัดเก็บหนังสือและของตกแต่งแล้ว ยังเป็นห้องสำหรับรับรองแขกผู้มาเยือนที่มีทั้งส่วนดูทีวีที่มีเครื่องเสียงครบครัน รวมไปถึงส่วนนั่งชิลจิบไวน์ชมเมือง
เริ่มจากด้านซ้ายที่จะเป็นชั้นวางหนังสือที่ดีไซน์ให้โดดเด่นต่างจากชั้นวางหนังสือธรรมดา โดยช่องวางหนังสือแต่ละช่องนั้นจะมีไฟ LED ซ่อนอยู่ทำให้ตัวหนังสือโดดเด่นไม่อับทึบ ราวกับเป็น Display ที่โชว์หนังสือสะสมที่แสดงถึงรสนิยมของเจ้าของบ้านได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงกล่องไฟทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่แทรกอยู่ตามชั้น นอกจากจะช่องแบ่งช่องแล้วยังทำให้ผนังนี้สวยงามราวกับเป็น Sculpture อีกด้วย
ในขณะที่ฝั่งตรงข้ามกันจะเป็นชั้นวางหนังสือที่มีแผงทีวีหินอ่อนแทรกอยู่ สำหรับชั้นที่ฝั่งนี้นั้นจะดีไซน์ให้ช่องแต่งต่างออกมา เพื่อใช้เป็นฟังก์ชันสำหรับวางชุดเครื่องเสียงและจะตัดกล่องไฟออกเพื่อไม่ให้รบกวนสายตายามที่ดูทีวี
เหนือโซฟาที่ใช้สำหรับนั่งดูทีวีนั้นจะเป็น Chadelier ดีไซน์พิเศษที่ออกแบบมาสำหรับห้องนี้โดยเฉพาะตามความต้องการของเจ้าของบ้าน โดยความพิเศษของไฟแชนเดอเลียนี้คือแก้วที่ตกแต่งแต่ละชิ้นรวมไปถึงไฟแต่ละดวงจะถูกห้อยลงมาจากเพดานด้วยสายนับร้อยที่มีความยาวแตกต่างกัน และเมื่อนำมารวมกันแล้วจะดูราวกับเป็นคลื่นไฟที่สวยงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
และในส่วนของโซนนั่งชิลริมหน้าต่างนั้น จะถูกแยกโดยซุ้มผนังขนาดใหญ่ที่มีเส้นสีทองตัดเพื่อให้เกิดความรู้สึกของการแบ่งโซนไปยังส่วนที่เงียบสงบแต่ในขณะเดียวกันก็เป็นพื้นที่เปิดที่ปลอดโปร่ง โดยพื้นที่ส่วนนี้นั้นจะเป็นพื้นที่ทรงหกเหลี่ยมที่ถูกตัดครึ่งและยื่นออกมา ผนังตรงส่วนนี้จะเป็นประจกเต็มบานทั้งหมดเพื่อให้เกิดความรู้สึกราวกับลอยอยู่บนฟ้าและมองลงมาเพื่อชมบรรยากาศของเมืองได้อย่างสุนทรีย์นั่นเอง
ในขณะที่คุณผู้ชายกำลังชมเมืองอย่างสุนทรีย์อยู่นั้น คุณผู้หญิงเองก็สามารถมาผ่อนคลายอยู่ในห้องสปาที่เชื่อมต่อกันด้วยห้องน้ำตรงกลางได้ ดังนั้นห้องน้ำที่เชื่อมระหว่างโซน Library และห้องสปา จึงมีดีไซน์ที่ผสมผสานกันระหว่างการใช้โทนสีจากโซน Library และการตกแต่งให้เกิดบรรยากาศแบบเดียวกับห้องสปา ทำให้ส่วนห้องน้ำนั้นเป็น merging space of design ที่จะช่วยปรับอารมณ์ความรู้สึกยามย้ายไปอีกห้องได้อย่างไม่ติดขัด
สำหรับตัวห้องสปานั้นบริเวณกลางห้องจะมีเตียงนวดวางอยู่และเว้นพื้นที่โดยรอบให้ช่างนวดสามารถเดินไปรอบๆ ได้อย่างทั่วถึง ผนังฝั่งนึงจะเป็นผนังตกแต่งสำหรับการแขวนรูปภาพเพื่อเพิ่มมิติให้กับตัวห้อง ในขณะที่สองข้างนั้น…ด้านหนึ่งจะเป็นบานกระจกสำหรับแต่งหน้าและวางเครื่องประทินโฉม รวมไปถึงอย่างล้างมือสำหรับใช้ในการสปา ส่วนอีกด้านจะเป็นผนังที่ตกแต่งด้วยลวดลายต้นไม้ที่ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย และซ่อนประตูที่จะเปิดไปเป็นห้องน้ำตรงกลางนั่นเอง
ประตูอีกบานที่ซ่อนอยู่จากโซน Lobby ก็คือประตูที่จะนำไปสู่ส่วน Dining และ Living ของห้องชุดพักอาศัยแห่งนี้ โดยพื้นที่บริเวณนี้นั้นจะเป็นพื้นที่ที่สามารถเปิดประตูเพื่อเชื่อมทั้งสองส่วนเข้าด้วยกันหรือปิดประตูเพื่อสร้างความเป็นส่วนตัวก็ได้ โดยตัวประตูนั้นจะถูกออกแบบให้มีลวดลายสไตล์ Art Nouveau ที่มีส่วนโค้งที่อ่อนช้อย ตัดกับลวดลายบนพื้นหินที่เป็น Pattern Art Deco ทรงหกเหลี่ยมที่ใช้หิน Ariston White เป็นสีขาวพื้น ตัดกับ Black Marquina ที่มีสีเข้ม ซึ่งตัวพื้นนี้เองก็เป็นงาน Craft อีกอย่างหนึ่งที่ต้องใช้ความประณีตและฝีมือที่ละเอียดอ่อน
เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนคัดเลือกและวางแพทเทิร์นการตัดหินให้ลวดลายต่อกันโดยการใช้เทคนิค Water Jet Cut ตามด้วยการปูพื้นและขัดเปิดหน้าหินและเชื่อมรอยต่อทั้งหมด ก่อนจะเคลือบปิดทับกลับไปใหม่ทำให้พื้นของโซน Dining & Living Area นั้นเรียบเนียนราวกับเป็นหินแผ่นเดียวกันทั้งหมด
โต๊ะกินข้าวสำหรับส่วนี้ เจ้าของบ้านเลือกที่จะใช้เป็นโต๊ะทรงกลมที่สามารถนั่งได้ 10 ที่ ทำให้สามารถคุยกันได้อย่างทั่วถึงแม้ว่าจะนั่งอยู่ห่างกันก็ตาม ที่ฝั่งซ้ายของพื้นที่จะเป็นประตูกระจกบานเปิดที่เชื่อมออกไปสู่ระเบียงจากุซซี่ด้านนอก ในขณะที่ฝั่งขวาจะเป็นส่วน Pantry สำหรับเตรียมอาหารที่สามารถเปิดโล่งก็ได้ หรือจะดึงหน้าบานเลื่อนจากส่วนห้อง Living มาปิดพื้นที่ส่วนนี้ก็ได้เช่นกัน
ที่ผนังด้านเดียวกับส่วน Lobby นั้นนอกจากจะมีฟังก์ชันการใช้สอยเป็นชั้นวางของแล้ว ยังมีมุมเล็กๆ ที่ซ่อนห้องเก็บไวน์เอาไว้ด้วย สำหรับห้องเก็บไวน์นี้ก็เป็นห้องที่มีดีไซน์พิเศษจากทีมออกแบบของบริษัท บาริโอ จำกัด ร่วมกับดีไซน์เนอร์เฉพาะทางการทำห้องเก็บไวน์ เพื่อให้สามารถเก็บรักษาไวน์ได้อย่างยาวนานตามอุณหภูมิและมีองศาการวางขวดไวน์ที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ ซึ่งห้องนี้เองก็เป็นหนึ่งในห้องขนาดเล็กที่โดนใจเจ้าของบ้านไม้แพ้ห้องอื่นๆ เลยทีเดียว
เมื่อเลื่อนบานประตูสไลด์สไตล์ Art Nouveau ออกมาก็จะพบกับโซน Living Area ที่เชื่อมอยู่ บริเวณนี้นั้นจะเป็นโซนพักผ่อนดูทีวีและใช้เวลาร่วมกันในครอบครัวที่นอกจากจะเป็นโซนสำหรับผ่อนคลายแล้วยังสามารถเปิดประตูเชื่อมกับส่วน Dining Area เพื่อให้กลายเป็นโซนสังสรรค์ได้อีกด้วย
ด้วยพื้นที่ที่จำกัด ดังนั้นโซฟาของห้องนี้จึงถูกออกแบบให้เป็นโซฟารูปตัว J ทำให้สามารถนั่งได้หลายคนเพื่อดูทีวี นั่งยืดขาเพื่อผ่อนคลาย หรือเพื่อนั่งคุยกันได้อย่างสะดวก โดยโซฟาตัวนี้เองก็เป็นอีกหนึ่งดีไซน์พิเศษที่มีส่วนวางของและเครื่องดื่มแทรงอยู่ระหว่างโซฟา ทำให้ประหยัดพื้นที่โดยไม่ต้องมีโต๊ะกลางออกไปได้
จุดเด่นของห้องนี้จะอยู่ที่หน้าบานเลื่อนขนาดใหญ่ที่ตกแต่งด้วยภาพชายหาดและบานกระจกลูกฝูกที่ซ่อนชั้นวางของไว้ข้างหลัง เมื่อเปิดประตูที่เชื่อมระหว่างสองโซนออกและเลื่อนหน้าบานนี้ไปที่โซน Dining ด้วยกลไกไฟฟ้า หน้าบานนี้ก็จะเคลื่อนไปซ่อนส่วน Pantry ที่เตรียมอาหารเอาไว้ข้างหลัง ในขณะที่ชั้นวางของและช่องวาง Sculpture ก็จะถูกเปิดขึ้นมา
ที่ข้างๆ ชั้นวางของนั้นจะเป้นประตูลวดลาย Art Nouveau อีกบานที่จะพาไปสู่ส่วน Private หรือห้องนอนทั้งหมดของตัวบ้าน ในขณะที่ฝั่งตรงข้ามนั้นก็จะเป็นห้องเก็บไวน์อีกหนึ่งห้องไว้สำหรับเก็บไวน์ที่เป็นของรักของหวงของเจ้าของบ้านหรือไวน์ที่เหมาะสำหรับดื่มร่วมกันในครอบครัว
และนี่ก็คือ ‘Castle in the Sky ปราสาทลอยฟ้าในกรุงเทพมหานคร Part I’ ที่พูดถึงส่วนพื้นที่ใช้สอยภายนอกของห้องชุดพักอาศัยแห่งนี้ และสามารถติดตามกันต่อกับ Part II ในส่วนห้องนอนที่รับรองว่าจะเป็นงานออกแบบที่โดดเด่นและแปลกใหม่ไม่แพ้กันในเดือนหน้า วันที่ 5 ตุลาคมได้ที่ Bareo-Isyss ค่ะ
หากสนใจดูผลงานอื่นๆ ของเราก็สามารถเข้าไปดูได้ที่ Portfolio ของเว็บไซต์ Bareo-Isyss หรือ ถ้ามีข้อสงสัยก็สามารถติดต่อเข้ามาได้ที่ 02 408-1341 – 44 และ 085 072-8998 และสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook Design by Bareo ค่ะ
แล้วพบกันใหม่ในเดือนหน้า
สวัสดีค่ะ : )