Contact us / Join us
ออกแบบตกแต่งภายใน รับเหมาตกแต่งภายใน ตกแต่งภายใน ออกแบบภายใน Interior design Thailand |
www.bareo-isyss.com เป็น web magazine ที่ update รายเดือนเพื่อผู้อ่าน ทัศนะและความคิดเห็นใดๆ ของผู้ประพันธ์ หรือผู้สนับสนุน
|
เข้าสู่ช่วงเทศกาลตรุษจีนแบบนี้ ไม่ว่าจะไปไหนมาไหนคงจะพบเห็นสถานที่ต่างๆตกแต่งในสไตล์จีนๆกันมากมายเลยทีเดียวค่ะ เราก็ไม่พลาดที่จะหยิบเอาสาระดีๆให้เข้ากับช่วงเทศกาลตรุษจีนแบบนี้มาฝากทุกๆคนเช่นกัน กับบทความภาชนะเซรามิกกับราชวงศ์จีน
ราชวงศ์ชาง,เชียง หรือหยิน (1550 ปีก่อนคริสต์ศักราช -1025 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
ราชวงศ์จิ๋น (249 ปีก่อนคริสต์ศักราช - 207 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
การเผาของภาชนะเย่วจะเผาที่อุณหภูมิสูงเคลือบสีเขียวหรือเทา และภาชนะเย่วยังถือได้ว่าเป็นเคลือบเซลาดอนรุ่นแรกเลยนะคะ ซึ่งทำสีเขียวไข่กาและได้รับการสืบสานพัฒนาขึ้นในราชวงศ์ต่อมา
ราชวงศ์ฮั่น (206 ปีก่อนคริสต์ศักราช - คริสต์ศักราช 220)
ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์สำหรับราชวงศ์ฮั่นเลยล่ะค่ะกับภาชนะไหภูเขาในรูปแบบต่างๆ
ราชวงศ์ถัง และห้าราชวงศ์ (คริสต์ศักราช 589 - คริสต์ศักราช 617)
งานศิลปะทางเครื่องปั้นดินเผามีการพัฒนาต่อเนื่องจากราชวงศ์ที่ผ่านมา นอกจากเทคนิควิธีแบบเก่ายังมีการค้นคว้าวิธีการใหม่ๆเพื่อสร้างสรรค์งานศิลปะแนวนี้ให้เกิดความงามและมีคุณค่ามากขึ้นดังต่อไปนี้ค่ะ
-น้ำเคลือบตะกั่ว มีการพัฒนาก้าวไกลด้านฝีมือจนเกิดลักษณะพิเศษเป็นที่ยอมรับทั่วไปจนปัจุบันนี้คือ เครื่องปั้นที่เรียกว่า “ถังสามสี” (Tang San Cai) ลักษณะคือจะมีการใช้เคลือบสีโดยประมาณ3สีเป็นสีที่สดใสเคลือบสีเหล่านี้จะไหลน้อยๆเมื่อแต่ละสีไหลมาผสมกันจะทำให้เกิดความนุ่มนวลของสีเปรียบได้กับการระบายภาพบนกระดาษด้วยสีน้ำ
“ถังสามสี” (Tang San Cai)
-ลายหินอ่อน(Marble ornament) ใช้ดินที่มีสีต่างกัน2-3สีนวดดินแต่ละสีแล้วตัดเป็นแผ่นวางซ้อนสลับสีกันนวดเบาๆพอให้ดินแต่ละสีผสมเข้าหากัน แล้วตัดดินเป็นแผ่นๆ ด้านในของดินที่ตัดออกจะเห็นเป็นลายเหมือนหินอ่อนแล้วจึงนำดินแผ่นลายหินอ่อนมาวางในแบบพิมพ์เพื่อทำเป็นรูปทรงภาชนะ
ราชวงศ์ซ้อง (คริสต์ศักราช 960 - คริสต์ศักราช 1279)
เครื่องปั้นดินเผาสมัยราชวงศ์ซ้อง สมัยรุ่งเรืองของศิลปะเครื่องปั้นดินเผาจีนเพราะมีความงดงามทั้งรูปทรงและน้ำเคลือบ เครื่องปั้นดินเผาในยุคนี้จะแบ่งได้ตามแหล่งเตาเผามี 2 ประเภทคือ
เตาหลวง จะผลิตเครื่องปั้นดินเผาที่มีลักษณะพิเศษ สะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมของชนชั้นสูงที่ชอบของนุ่มนวล อ่อนหวานและเด่นสง่าด้วยรูปแบบที่เรียบง่าย เคลือบสีสุภาพคลาสสิค
เตาพื้นบ้าน นิยมลวดลายที่แข็งกล้า สีสดใส ล้วนแต่เป็นความหลากหลายที่ลงตัวทั้งเนื้อดินและน้ำเคลือบ นอกจากนี้ศิลปะเครื่องปั้นดินเผาสมัยราชวงศ์ซ้อง สามารถแบ่งได้ตามลักษณะต่างๆดังนี้
-ภาชนะติง เป็นเนื้อปอร์ซเลนสีขาว เคลือบส่วนใหญ่มีสีอ่อนประเภทสีงาช้าง บริเวณขอบของภาชนะจะเว้นไว้ไม่มีการเคลือบ เนื่องจากใช้วิธีคว่ำภาชนะเคลือบในเตาเผา ปิดขอบภาชนะด้วยการนำเส้นโลหะ เช่น ทอง เงิน มาประดับ
ภาชนะติง
-ภาชนะชุน เนื้อสีคล้ำ ภาชนะมีลักษณะแข็งแรงเนื้อหนากว่าภาชนะติง น้ำเคลือบเป็นสีฟ้าอมเหลือง อมแดงไล่เรียงลำดับไปจนกระทั่งสีฟ้าอมม่วงมีเคลือบหนาและมักไหลเยิ้มม้วนตัวกองบริเวณด้านล่างของภาชนะ มีผู้เปรียบเทียบเคลือบสีฟ้าของภาชนะชุนว่า “ชุ่มช่ำดังฟ้าหลังฝน”
-ภาชนะจู คล้ายภาชนะติง เคลือด้วยสีอ่อนๆเช่นสีเขียวอมฟ้าจางบางเบา ผิวเคลือบมีรอยราน
“รานแบบรอยเดินของปูทะเล”
“รานแบบเกล็ดปลา"
-ภาชนะเยา-เชา มีการตกแต่งผิวด้วยวิธีแกะลายลึกลงในดินและปาดเพล่ การปาดเพล่ก็คือการทำให้ลายบนภาชนะมีมิติเมื่อเคลือบและเผาแล้วจะพบว่าเคลือบฝังตัวลึก ตื้น ตามรอยแกะสลักทำให้ได้น้ำหนักของสีเคลือบอ่อนแก่สวยงาม นิยมเคลือบเป็นสีน้ำตาลใสหรือสีน้ำตาลอมเขียว น้ำตาลอมเทา ลวดลายส่วนใหญ่แกะเป็นรูปพันธุ์พฤกษา ลายดอกโบตั๋น ดอกเบญจมาศ ดอกบัว เป็นต้น
-ภาชนะเฉียน เนื้อแกร่งชุบเคลือบหนา สังเกตได้จากเคลือบที่ไหลม้วนตัวหนาบริเวณส่วนล่างเคลือบเป็นสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ บางทีเป็นสีดำอมน้ำเงิน ดำออกน้ำตาล น้ำเคลือบมีส่วนผสมของเหล็กออกไซด์ซึ่งมักมีปริมาณสูงเกินจุดอิ่มตัวของน้ำเคลือบประกอบกับช่างมีทักษะความชำนาญในการเผาสูงปล่อยให้เตาเย็นตัวลงอย่างช้าๆเป็นผลที่ทำให้เกิดจุดเหมือนโลหะสีเทาเงินอย่างที่เรียกว่า “หยดน้ำมัน” (Oil spot)และลายเส้นสี “ขนกระต่าย” (Fur of a hare)
“หยดน้ำมัน” (Oil spot)
“ขนกระต่าย” (Fur of a hare)
-ภาชนะซู-เจา มักปั้นภาชนะขนาดใหญ่ให้ความรู้สึกหนักแน่น แข็งแรง มีลักษณะเด่นตรงที่ใช้น้ำดินสีขาวแล้วใช้เครื่องมือขูดขีดในเนื้อดิน บางครั้งก็ใช้พู่กันชุบสีน้ำตาลเข้ม ระบายบนพื้นภาชนะที่ชุบน้ำดินสีขาว
-ภาชนะลุงชวน ผลิตขึ้นมามากแทนภาชนะเย่วซึ่งเป็นเซลาดอนรุ่นแรกหรือเรียกว่าเครื่องถ้วยตี้ (Ti ware)น้ำเคลือบมีหลายน้ำหนักสี มีการแกะลาย ปั้นนูน หรือกดลายจากแม่พิมพ์
-ภาชนะควน เคลือบมีลักษณะทึบ ส่วนใหญ่เป็นสีครีมหรือขาวหม่น เน้นรอยรานให้เด่นชัดด้วยการใส่สีเข้มให้ซึมในรอยราน ช่างโบราณนิยมแช่ภาชนะเคลือบลงในน้ำชาแก่เพื่อให้สีคล้ำของชาซึมลงไปในรอยราน
ราชวงศ์หยวน (คริสต์ศักราช 1200 - คริสต์ศักราช 1368)
เป็นราชวงศ์ของชาวมองโกลที่ได้เข้ามาครอบครองแผ่นดินจีน ลักษณะของเครื่องปั้นดินเผาจะแตกต่างจากราชวงศ์ซ้องอย่างมาก มักชอบตกแต่งอย่างอลังการ ภาชนะค่อนข้างหนัก ไม่เพรียวตกแต่งเต็มพื้นที่ทั้งลายปั้นนูนและลายเขียน และค้นพบวิธีเขียนภาพด้วยสีคราม สีน้ำเงิน หรือเรียกว่า ลายคราม
ราชวงศ์หมิง (คริสต์ศักราช 1360 - คริสต์ศักราช 1644)
ส่วนใหญ่จะเป็นลายธรรมชาติ เป็นภาชนะลายครามเขียนลายสีน้ำเงินบนดินชนิดปอร์ซเลน ทำต่อเนื่องมาจากราชวงศ์หยวน มีการคิดค้นการทำสีต่างๆและวิธีเขียนสีบนเคลือบ
-ภาชนะแบบโต๋วไฉ่ ร่างเส้นนอกของลวดลายด้วยสีฟ้า นำไปเคลือบน้ำเคลือบใสหรือเคลือบขาวทับแล้วจึงนำมาเขียนลวดลายภายในเส้นร่างโดยใช้น้ำยาสีต่างๆมากกว่า2สี
-ภาชนะแบบอู๋ไฉ่ คือ “เครื่องห้าสี” อาจใช้สีมากกว่าแต่มองโดยรวมเป็นการเขียนสีหลายสีประมาณ5สี และยังมีภาชนะที่ราชวงศ์เหม็งทำได้ดีก็คือ ภาชนะที่เผาเคลือบสีแดง (Copper red)
“เครื่องห้าสี” (Copper red)
ราชวงศ์เช็ง หรือ ชิง (คริสต์ศักราช 1645 - คริสต์ศักราช 1912)
เป็นราชวงศ์สุดท้ายของจีน สถาปนาโดยชาวแมนจู ซึ่งรับเอาศิลปะและวัฒนธรรมต่อจากราชวงศ์หมิงภาชนะเครื่องปั้นดินเผาจึงยังคงมีเคลือบลายครามอยู่แต่พัฒนาให้สีเคลือบมีคุณภาพมากขึ้นพัฒนาให้มีหลายเฉดสี มากกว่าภาชนะอู๋ไฉ่ และมีการฟื้นฟูภาชนะเคลือบแบบต่างๆโดยการนำเอาราชวงศ์อื่นๆมาพัฒนา การทำเครื่องปั้นดินเผาของจีนสามารถทำสีต่างๆได้มากและใช้สีสดใสต่างๆมารวมในงานชิ้นเดียวกันทำให้ดูงามเกินงาม
ในยุคนี้ประเทศจีนมีจำนวนประชากรเพื่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ทำให้สินค้าต่างๆต้องผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก จึงทำเครื่องปั้นดินเผาสมัยเช็งทำกันมากซ้ำซาก มีการผลิตจำนวนมากเป็นอุตสาหกรรมทำให้ดูเหมือนขาดชีวิตจิตใจ ขาดเอกลักษณ์สะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมที่เปลี่ยนไปเป็นผลให้งานด้อยลงในด้านคุณค่าทางศิลปะ
ราชวงศ์เช็ง ล่มสลายกลายเป็นสาธารณรัฐปกครองในระบอบคอมมิวนิสต์ หลังสงครามโลกครั้งที่2 พรรคคอมมิวนิสต์ได้เข้าปกครองประเทศจีน จึงเปลี่ยนเป็นสมัยแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนจนกระทั่งปัจจุบันค่ะ
เป็นยังไงกันบ้างคะสาระที่นำมาฝากในเดือนนี้อ่านแล้วอินเข้ากับช่วงเทศกาลตรุษจีนจริงๆค่ะกว่าจะกลายมาเป็นภาชนะในรุ่นปัจจุบันมีการพัฒนามาอย่างยาวนาน หวังว่าจะชอบกับบทความที่เรานำมาฝากกันนะคะ นอกจากจะได้สาระความรู้แล้วยังได้เห็นถึงฝีมือของช่างในสมัยก่อนจากการบรรจงสร้างสรรค์ภาชนะแต่ละชิ้นทำให้เห็นเลยว่าศิลปะอยู่คู่กับมนุษย์มายาวนาน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือ history of ceramic(ประวัติศาสตร์เซรามิกส์) เขียนโดย อาจารย์พิพัฒน์ จิตอารีย์รักษ์
|
||