ไฮกุกับธรรมชาติอันสุนทรีย์
ไฮกุ (haiku) หรือบางครั้งเรียกว่า บทกวีไฮกุ หรือ โคลงไฮกุ เป็นบทกวีที่มีความเรียบง่าย เป็นคำประพันธ์โบราณชนิดหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น มีการใช้กันอย่างแพร่หลายมาประมาณ 400 ปี ส่วนใหญ่กลอนไฮกุ มักเขียนขึ้นจากความประทับใจที่มีต่อธรรมชาติและมนุษย์ มีเพียง 3 วรรค แม้จะเป็นคำประพันธ์ที่ไม่มีสัมผัสสระหรือพยัญชนะ แต่สิ่งที่พิเศษนอกจากวรรคสุดท้ายที่ผู้เขียนต้องหักมุมจบแล้ว การเลือกใช้คำง่ายๆ สื่อความหมายตรงๆ ก็เป็นอีกประเด็นของความโดดเด่นไฮกุ
Cr : http://www2.yamanashi-ken.ac.jp
ความเป็นมาของบทประพันธ์ไฮกุ
ไฮกุเดิมทีเป็นหนึ่งในบทประพันธ์ที่นิยมใช้ภายในสำนักที่ถอดแบบมาจากบทร้อยกรอง เร็งงะ เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 9 ถึง 12 เร็งงะเป็นบทประพันธ์ที่ใช้สำหรับการให้ความรู้ด้านศาสนาและศึกษาวิถีความเป็นอยู่ของผู้คนภายในสำนักโดยเฉพาะ และลักษณะการเขียนของเร็งงะจะยาวเกี่ยวเนื่องกัน ในช่วงศตวรรษที่ 16 คนญี่ปุ่นส่วนมากเริ่มสนใจงานประพันธ์ที่เป็นบทร้อยกรองมากขึ้น หลังจากนั้นไม่นานงานประพันธ์ประเภท ไฮไค เริ่มเข้ามาแทนที่และได้แพร่หลายอย่างรวดเร็วภายในสํานักรวมถึงประชาชนทั่วไป
ไฮไคเป็นบทประพันธ์หนึ่งที่มีลักษณะการเขียนต่อเนื่อง รูปแบบงานประพันธ์ไฮไคคือไม่มีข้อจํากัดของเนื้อหา สามารถสร้างสรรค์คําได้อย่างอิสระ นําเสนอแนวคิดได้ตามจินตนาการของผู้ประพันธ์ งานประพันธ์ในช่วงนี้เริ่มมีความหลากหลายของเนื้อหาเพิ่มขึ้น โดยทั่วไปงานประพันธ์ประเภทไฮไค ประเด็นเนื้อหากล่าวถึงความเป็นอยู่ของสังคมโดยจะแทรกอารมณ์ของความตลกขบขัน ถ้อยคำเย้ยหยัน คำประชดประชัน ส่อเสียด ทั้งหมดนี้กลายเป็นลักษณะเด่นเฉพาะที่เกิดขึ้นในงานประพันธ์ไฮไค
ในศตวรรษที่ 17 นักประพันธ์ชาวญี่ปุ่นเริ่มมีการปรับเปลี่ยนบทประพันธ์ให้สั้น มีความกระชับมากขึ้นเหลือเพียง แค่ 3 วรรคแรก ซึ่งจะเรียกว่า ฮกกุ เป็นบทเกริ่นนำของงานประพันธ์และเป็นที่รู้จักกันในสมัยนั้น ผู้ริเริ่มงานประพันธ์ประเภทนี้คือ มัตสึโอะ บะโช (1644-1694) โยสะ บุซน (1718-1783) และ โคะบะยะชิ อิสสะ (1763-1827) ทั้งสามคนถือได้ ว่าเป็นผู้ผลักดันงานประพันธ์ประเภทไฮกุ ขึ้นมาจนกระทั่งเป็นที่รู้จักกันในสังคม ครั้นพอมาถึงในช่วงหนึ่ง งานประพันธ์ประเภทฮกกุเกิดความอิ่มตัวในหมู่สังคมศตวรรษที่ 19 มะสะโอะกะ ชิกิ (1867-1902) ได้เขียนงานประพันธ์ที่มีลักษณะเฉพาะภายในตัวและได้เรียกบทประพันธ์ชนิดนี้ว่า ไฮกุ
งานประพันธ์ประเภทไฮกุเป็นงานประพันธ์ที่สั้นมากแม้ว่าข้อความจะปรากฏเพียงในสามบรรทัดแต่ในขณะเดียวกันข้อความที่ประพันธ์นั้นสื่อความหมายได้อย่างลึกซึ้งและชัดเจน เปรียบเทียบงานประพันธ์ก่อนหน้านี้มีความแตกต่างโดยสิ้นเชิง จากผู้ผลักดันงานประเภทไฮกุทั้งสามคนที่กล่าวมาก่อนหน้านี้เกิดในยุค เอโดะ (1600-1868) พวกเขาได้สร้างงานเขียนขึ้นมามากมายเป็นมรดกที่มีอยู่ตราบจนถึงทุกวันนี้ ช่วงชีวิตทั้งสามคนใช้เวลาในการฝึกประพันธ์ไฮกุอย่างละเอียดอ่อนและประณีตจนกระทั่งได้รับสมญานามปราชญ์ในวงการไฮกุในเวลา
สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่นักประพันธ์ขาดไม่ได้นั่นคือศาสตร์แห่งการเรียนรู้ การใช้ชีวิตในสังคม ยิ่งแสวงหาความรู้มากเท่าไหร่ผลงานที่ออกมามีความสำคัญมากเท่านั้น งานประพันธ์ไฮกุเสมือนเรื่องราวที่เกิดขึ้นสะท้อนกลับมายังปัจจุบันเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของผู้เขียนโดยตรงจากประสบการณ์ที่เกิดขึ้น นักกวีทั้งสามคนได้ค้นพบอะไรมากมายในชีวิตและใช้ประสบการณ์ดังกล่าวประพันธ์ผลงานอันล้ำค่าให้กับประเทศญี่ปุ่น ไฮกุได้แพร่หลายสู่สังคมยุคนั้นและมีกระแสตอบรับที่ดี ส่วนหนึ่งมาจากบทประพันธ์ของไฮกุที่สั้น ไม่เหมือนกับรูปแบบเก่า ไฮกุใช้คำที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ ทำให้ผู้ประพันธ์และผู้อ่านรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งที่อยู่รอบตัว
ในศตวรรษที่ 19 มาซาโอกะ ชิกิ ได้นำแนวคิดสำหรับการเขียนไฮกุ เรียกว่า ฉะเซ หมายถึง บทกลอนธรรมชาติ ใจความหลักเกี่ยวกับแนวคิดนี้คือ การเขียนเชื่อมโยงกันระหว่างธรรมชาติและวิถีชีวิตของมนุษย์ จากนั้นการประพันธ์ไฮกุเหลือเพียงสามบรรทัดเท่านั้น แต่ทว่าความสั้นกะทัดรัดนี่เองที่ทำให้ไฮกุเต็มไปด้วยความงดงามภายในตัว มีการใช้ขยายเป็นวงกว้าง
องค์ประกอบหลักที่สำคัญในการประพันธ์ไฮกุมี 3 อย่างด้วยกัน คือ
1. หนึ่งบทมี 17 พยางค์ มีทั้งหมด 3 วรรค แต่ละวรรคแบ่งออกเป็น 5-7-5
2. บทประพันธ์นำเสนอผ่าน คิโกะ การใช้สัญลักษณ์ของฤดูกาล ในการประพันธ์ผู้แต่งจะแฝงนัยยะสื่อภายในตัว
3. การประพันธ์ใช้ลักษณะ คิเระจิ เปรียบเทียบสองสิ่งที่มีลักษณะที่แตกต่างกัน ส่วนนี้จะปรากฏอยู่ในตอนท้ายของบทเป็นการสรุปประเด็นที่เกิดขึ้นและผลที่ตามมา
หลักการเขียนกลอนไฮกุ
1. ควรกล่าวถึงสิ่งใกล้ตัวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาขณะใดขณะหนึ่ง ไม่ควรกล่าวถึงช่วงเวลายาวนาน
2. ต้องเอาใจใส่ในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แล้วนำมาแต่งเป็น ไฮกุ เลือกใช้คำที่กระชับได้ใจความ ไม่ใช้คำเยิ่นเย้อ หรือคำขยายความ
3.ไฮกุ ไม่ใช่การพูดถึงเหตุผล หรือปรัชญาทางความคิด แต่เป็นการถ่ายทอดสิ่งที่เห็นออกมาตามธรรมชาติ ดังนั้นต้องพยายามหลีกเลี่ยงถ้อยคำเปรียบเทียบหรือคำอุปมาอุปไมย
4.บรรทัดสุดท้ายของกลอนไฮกุ มักใส่ความแปลกลงในบทกลอน โดยมักจะมีถ้อยคำที่แสดงความรู้สึกนึกคิดชั่วขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือจินตนาการของผู้ประพันธ์ก็ตาม
กวีไฮกุ
นักประพันธ์ที่ได้ประพันธ์ผลงานจนเป็นที่รู้กันมากเช่น มัตสึโอะ บะโช (1644-1694) เป็นนักประพันธ์ที่รู้จักกันอย่าง ดีในนามผู้บุกเบิกและเป็นผู้อุทิศให้กับงานวรรณคดีญี่ปุ่น บะโชเสมือนเป็นผู้เปลี่ยนโฉมบทประพันธ์จากฮกกุเป็นไฮกุ เขาเป็นหนึ่งในสี่ของนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงงานบทประพันธ์ไฮกุ ตัวอย่างงานประพันธ์ของบะโช เช่น
Hara-naka ya
Mono nimo Tsukazu
Naku hibari
ท่ามกลางท้องทุ่งหญ้า
นกสกายลาร์ดร้องเพลง
เป็นอิสระและหลุดพ้นจากสิ่งทั้งปวง
(Yuzuru Miura, 2001)
อธิบายความหมายได้ว่าสิ่งที่มนุษย์ใฝ่ฝันมากที่สุดในช่วงชีวิตคือการได้ทำในสิ่งที่ตนเองปรารถนา บทประพันธ์นี้ให้ความรู้สึกยินดี และความสงบสุข เปรียบได้ว่าคนเราสามารถทำตามที่ใจต้องการถึงแม้ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่ค่อยดีนัก ดั่งนกสกายลาร์ดหรือนกจาบฝนเวลาบินมักจะส่งเสียงเป็นเพลงที่ไพเราะจากบนฟากฟ้า บ่งบอกว่าชีวิตของคนที่ไร้ห่วงโซ่ได้มาซึ่งความเป็นตัวของตัวเอง
Suna-hama ni
Ashi-ato nagaki
Haru hi kana
วันในฤดูใบไม้ผลิ
รอยเท้าย่ำเป็นทางยาว
บนหาดทราย
(Yuzuru Miura, 2001)
สื่อให้เห็นถึงบริบทของสังคมในช่วงๆ หนึ่งบทประพันธ์นี้เป็นสัญลักษณ์ของความเศร้าและสูญเสีย อีกทั้งยังเป็นความหวังที่ต่างคนต่างรอคอยว่า ความสุขจะปรากฏขึ้นโดยความหมายที่แฝงไว้ในบทนี้น่าจะเป็น อิสรภาพ
นักประพันธ์ท่านต่อมาที่สร้างชื่อเสียงให้กับวงการไฮกุ โยสะ บูซน (1716-1784) เป็นนักจิตรกรที่ชอบวาดรูปเป็นชีวิตจิตใจ ผลงานของบูซน ในไฮกุส่วนใหญ่มักจะเล่าลงในรายละเอียดพฤติกรรมการใช้ชีวิตของมนุษย์ เช่น
Haru no umi
Hinemosu
Notari notari kana
ทะเลฤดูใบไม้ผลิ
คลื่นเป็นระลอกระลอก
สลับกันไปทั้งวัน
(Yuzuru Miura, 2001)
งานประพันธ์ชิ้นนี้ทำให้เรานึกถึงวันเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ต้องเจออะไรอีกมากมาย โดยไม่มีการเล่นคำอุปมาอุปไมยในบท แต่จะระบุไปเลยว่า ณ ปัจจุบันเป็นอย่างไร เกิดอะไรขึ้น
Yagate shinu
Keshiki wa miezu
Semi no koe
จักจั่นกรีดเสียง
ไม่มีวี่แววเลยว่า
มันต้องตายในไม่ช้า
(Barnhill, 2007)
บทกลอนจะบอกให้เห็นพฤติกรรมมนุษย์อย่างชัดเจนว่า บางครั้งอาจจะนิ่งสงบบางครั้งอาจจะสับสน มีขึ้นมีลง ขึ้นอยู่กับอารมณ์และสภาพแวดล้อมรอบตัว เห็นได้ชัดว่าบทกลอนไฮกุมีความสัมพันธ์โดยตรงกับธรรมชาติ
แม้ว่าบทประพันธ์จะสั้นกระทัดรัด ในเนื้อหาแฝงไปด้วยเรื่องราวความเป็นจริง มีความหมายที่ลึกซึ้งและสามารถตีความหมายได้ประเด็นโดยตรง ไฮกุสามารถโน้มน้าวและสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้อ่านและผู้เขียนได้เป็นอย่างดี ส่วนนี้เองที่ ทำให้บทร้อยกรองญี่ปุ่นตรึงตราแก่คนในประเทศและเป็นที่ชื่นชอบของคนทั่วโลก J
ขอบคุณข้อมูลจาก
– tci-thaijo.org – วารสารมหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์สาชามนุษย์ศาสตร์และสังคมศึกษา
– th.japantravel.com
– pinterest.com