กว่าจะมาเป็นสินค้าที่เป็นที่จดจำในทุกยุคทุกสมัยนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ใช่ว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทุกๆ แบรนด์สินค้าจึงพยายามสร้างเอกลักษณ์ และจุดเด่น เพื่อให้เป็นภาพจำของผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม การจะสร้างแต่ภาพลักษณ์ไว้อย่างเดียวอาจจะดึงดูดผู้บริโภคไว้ไม่ได้ซะทั้งหมด คงต้องมีเรื่องของคุณภาพที่มาควบคู่กันด้วย จึงส่งเสริมให้แบรนด์สินค้ามีความแข็งแรงมากขึ้นครับ
วันนี้บียอนขอเสนอเรื่องราวของแบรนด์สินค้าจากทั่วโลก เมื่อเราได้เอ่ยถึงชื่อแบรนด์ปุ๊ป เราก็จะนึกออกได้ทันทีว่า รูปแบบของสินค้านั้นๆ เป็นอย่างไร กว่าจะมาเป็นตำนานให้ได้เห็นกันทุกวันนี้ เขามีเรื่องราวจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจกันอย่างไร และงานออกแบบของพวกเขาได้แรงบันดาลใจมาจากอะไร
1. Volkswagen Beetle
ที่มารูปภาพ : tr.linkedin.com
จุดเริ่มต้นของรถยนต์ Volkswagen Beetle เกิดขึ้นเมื่อปี 1934 โดยคณะกรรมการสมาคมอุตสาหกรรมรถยนต์แห่งชาติเยอรมนี ได้มอบหมายให้ ดร.เฟอร์ดินัน พอร์ช (Ferdinand Porce) เจ้าของบริษัทปอร์เช่ ออกแบบและผลิตรถยนต์ธรรมดา ราคาถูก สำหรับนั่งได้ทั้งครอบครัว เพื่อให้ประชาชนทั่วไปซื้อหาไปใช้ได้ โดยเซ็นสัญญาเมื่อปีค.ศ.1934 ซึ่งในภาษาเยอรมันเรียกว่า VOLKSWAGEN หมายถึง รถของประชาชน หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “รถเต่า” นั่นเอง
รถเต่ามีชื่ออย่างเป็นทางการว่า โฟล์กสวาเกน ไทป์ วัน หรือ Volkswagen Type 1 มีชื่อเล่นว่า Volkswagen Bug โดยบั๊กหมายถึงแมลง บ่งบอกถึงขนาดกะทัดรัด ส่วนคนไทยเรียกโฟล์กเต่า มาจากลักษณะแมลงเต่าทอง
พอร์ชและทีมงานใช้เวลา 4 ปี จึงสรุปผลออกแบบรถโฟล์กสวาเกนออกมาได้ โดยพอร์ชเป็นคนคิดค้นด้านนวัตกรรมทางเครื่องยนต์ ส่วนรูปทรงที่เหมือนแมลงปีกแข็งอย่างด้วง เป็นผลงานของ เออร์วิน โคเมนดา ดีไซเนอร์ชาวออสเตรีย ซึ่งคำว่า “ด้วง (kafer)” ในภาษาเยอรมันนั้น มีความหมายตรงกันกับคำว่า “beetle” ในภาษา
รถโฟล์กเต่ากลายเป็นรถยอดนิยม หลังจากที่สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง เพราะยอดผลิตและยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยความที่ราคาถูก และสมรรถภาพดีพอใช้ได้ ทำให้รถโฟล์กเต่าขายดีไปทั่วโลก และยังคงความสวยงาม ความเป็นเอกลักษณ์ แม้ในปัจจุบันจะมีการพัฒนารูปแบบของรถยนต์ให้ทันสมัยมากขึ้น แต่เมื่อได้เห็นบนท้องถนนเราก็ต่างทราบทันทีว่านี่คือรถ Volkswagen Beetle
2017 Volkswagen Beetle Convertible Dune
ที่มารูปภาพ : www.motortrend.com
2. Barcelona Chair
ที่มารูปภาพ : 34kvadrat.metromode.se
จุดเริ่มต้นของเก้าอี้ตัวนี้เกิดขึ้นในปี 1929 เมื่อเยอรมันได้ถูกเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดงานงานศิลปะโลก ณ เมืองบาร์เซโลนา รัฐบาลเยอรมันจึงว่าจ้างสถาปนิกชื่อ ลุควิก มีสฟาน เดอร์ โรห์ (Ludwig Mies van der Rohe สถาปนิกชาวเยอรมัน-อเมริกัน) และลิลลี รีค (Lilly Reich – นักออกแบบหญิงชาวเยอรมัน) จึงอยากให้ออกแบบเก้าอี้เพื่อรับรองที่ประทับแก่กษัตริย์และราชินีจากสเปน และนำเก้าอี้ตัวนี้มาตกแต่งอาคารพาวิลเลียน ที่ทำขึ้นจากหินอ่อน กระจก และทองเหลือง โดยต้องออกแบบให้เข้ากับสภาพแวดล้อม และต้องมีการออกแบบที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร ทั้งคู่จึงออกแบบตัวเก้าอี้โดยแยกเป็นสองส่วน คือ เบาะและพนักพิงหลังหุ้มด้วยหนังสีงาช้าง ตัดเย็บอย่างประณีต ใต้เบาะที่นั่ง ใช้แผ่นหนัง 17 เส้น สานเป็นเข็มขัดรัดตัวโครงเก้าอี้ไว้ ส่วนฐานและขาเก้าอี้ใช้โครเมียมหรือสแตนเลท ออกแบบให้ไขว้กันเป็นรูปตัว X
ในปี 1950 บริษัท Knoll นำโดยสถาปนิกชาวอเมริกันชื่อ ฟลอเรนซ์ คนอลล์ (Florence Knoll) ได้ร่วมงานกับ Ludwig Mies van der Rohe ดีไซน์หน้าตาของเก้าอี้ตัวนี้ใหม่อีกครั้ง โดยนำสแตนเลสมาใช้ทำเป็นโครงหลัก ทำให้โครงเก้าอี้ไม่มีรอยต่อ และขณะเดียวกันเบาะได้เปลี่ยนมาใช้เป็นหนังสีดำแทนที่สีเดิมที่เป็นหนังสีงาช้าง บริษัท Knoll ได้เสนอขายตำนานของเก้าอี้และสื่อให้เห็นว่าเก้าอี้ตัวนี้นั้นเหมาะกับโลกธุรกิจสมัยใหม่ เพราะเก้าอี้นี้เต็มไปด้วยความสง่างาม โก้หรู และชาญฉลาด ซึ่งมันก็ได้ผลอย่างยอดเยี่ยม และทุกวันนี้ Barcelona Chair ก็ยังได้รับความนิยมจากผู้ใช้ทั่วโลก และผู้ที่หลงไหลในดีไซน์ของเฟอร์นิเจอร์เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน จึงไม่แปลกใจเลยที่เก้าอี้ตัวนี้จะกลายเป็นเก้าอี้ระดับตำนานตัวหนึ่งของโลก
3. Chanel
ที่มารูปภาพ : fashionandart.mx
หากเลือกถามคุณผู้หญิงทั้งหลาย คงมีน้อยที่จะไม่รู้จักแบรนด์ดังยี่ห้อชาแนล (Chanel) เพราะไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า หรือแม้แต่น้ำหอม ชาแนลต่างเป็นที่นิยม อยู่คู่กายผู้หญิงบนโลกใบนี้มากว่า 100 ปี ด้วยการออกแบบที่เน้นความเป็นคลาสสิกและสง่างาม จึงทำให้ เสื้อผ้าของชาแนลใส่ได้ทุกยุคทุกสมัยโดยไม่เคยตกเทรนด์
มาดามโคโค่ ชาแนล (Coco Chanel) เจ้าแม่แฟชั่นผู้เป็นเจ้าของแบรนด์สุดหรูนี้ เติบโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า งานของเธอจึงได้รับอิทธิพลอย่างมากจากความเรียบง่ายและงามสง่าของชุดแม่ชี และโทนสีขรึมๆ ในโทนขาวดำ เธอแนะนำให้ผู้หญิงได้รู้จักกับเสื้อผ้าที่ใส่สบาย ดูเท่ เก๋ และมีสไตล์ รู้จักกับ Little Black Dress และเสื้อคาร์ดิแกนที่สวมใส่สบาย ดูไม่เหมือนใคร ที่ได้กลายเป็นเอกลักษณ์ของเสื้อผ้าแบรนด์ชาแนล นอกจากนี้เธอยังทำให้สูททรงตรงและผ้าเจอร์ซี กลายเป็นคอลเล็กชั่นคลาสสิก และนำเสนอแฟชั่นเดรสยาวเพียงเข่า ซึ่งเสมือนเป็นการใส่กระโปรงที่เปิดให้เห็นข้อเท้าของผู้หญิงครั้งแรก
สัญลักษณ์ที่บ่งบอกความเป็นชาแนล ได้แก่ โลโก้ CC กระเป๋าลายข้าวหลามตัดที่มีโซ่พันสาย แจ็กเกตที่มีซับในผ้าไหมพิมพ์ลายชาแนล กระดุมเหรียญพิมพ์ลายดอก Camillia หรือพิมพ์ Mademoiselle Chanel ฯลฯ รายละเอียดเหล่านี้เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่รับแรงบันดาลใจจากความเป็นโคโค่ ชาแนล ที่มักจะปรากฏตัวในภาพถ่ายโดยมือหนึ่งคีบบุหรี่ หรือไม่ก็ยืนอยู่หน้ากระจกเงาอันเลื่องชื่อครับ
แม้ว่ามาดามชาแนลจะอำลาโลกนี้ไปแล้ว แต่สไตล์ของเธอที่เป็นตำนานมากว่า 100 ปีนั้น ยังคงเป็นอมตะไม่ผิดไปจากคำกล่าวของเธอที่ว่า “Fashion comes and goes but style remains”
ที่มารูปภาพ : fashionedbylove.co.uk
4. Harley Davidson
ที่มารูปภาพ : harley-davidson.com
ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน (Harley-Davidson) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ฮาร์ลียส์ (Harleys) ซึ่งในเมืองไทยนั้นนิยมเรียกกันว่า “ฮาร์เล่ย์” เป็นบริษัทผลิตรถจักรยานยนต์ จากสหรัฐอเมริกา มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองมิลวอกี (Milwaukee) มลรัฐวิสคอนซิน ประเทศสหรัฐอเมริกา
ในปี 1901 ฮาร์ลีย์ได้เริ่มวางแผนในการนำเครื่อง 116 ซีซี มาใช้กับโครงจักรยาน หลังจากนั้นเขาจึงตั้งโรงงานขึ้นในปี 1906 จุดเริ่มแห่งความเป็นเอกลักษณ์ของเสียงเครื่องยนต์ที่ไม่เหมือนใครที่ทำให้แฟนๆ ของฮาร์ลียส์ ภาคภูมิใจในความเป็นเจ้าของเสียงที่มีลักษณะเหมือนเสียง ”ฮัม” ไปตามท้องถนน แต่เป็นเสียง ”ฮัม” ที่สม่ำเสมอคงที่ด้วยการพัฒนาเครื่องยนต์ให้เฉียง 45 องศา ในลักษณะตัว ” V ” ที่เรียกว่า ” V – Twin “
ต่อ มาในช่วงปี 1920 จึงออกแบบถังน้ำมันรูป “หยดน้ำตา” และนำโลโก้รูป “นกอินทรี” มาติดที่ถังน้ำมันก่อนจะพัฒนาเครื่องยนต์ “Knucklehead” จนเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในช่วงปี 1930 จนถูกนำมาใช้ทั้งในวงการตำรวจ, ยานพาหนะสัญจร, ในวงการอุตสาหกรรม และวงการกีฬารถแข่ง
การขับ Harley Davidson เหมือนเป็นการเติมเต็มตัวตนของคนที่ชื่นชอบการขับมอเตอร์ไซค์ขนาดใหญ่ ที่ไม่ได้มีแต่งานออกแบบที่สวยงามแค่เพียงภายนอก แต่ยังมีสร้างเอกลักษณ์เฉพาะในเรื่องของเสียง เครื่องยนต์ ที่ไม่เหมือนใคร ทำให้มีกลุ่มคนรัก Harley Davidson มาถึงปัจจุบัน และเราก็มักจะพบเห็นได้ตามท้องถนน ไม่ว่าจะขับขี่ตามลำพัง หรือเป็นกลุ่มก๊วนขนาดใหญ่ ก็ยังเป็นภาพที่ติดตาอยู่เสมอมาครับ
ที่มารูปภาพ : pinterest.com
5. Swan Chair
ที่มารูปภาพ : wohnidee.ch
Swan Chair เป็นผลงานการออกแบบของอาร์น จาค็อปเซ่น (Arne Jacobsen) สถาปนิก, ดีไซน์เนอร์ และนักออกแบบ ชาวเดนมาร์ก ที่ออกแบบเก้าอี้นี้ในปี 1958 เพื่อใช้เป็นเก้าอี้ที่ล็อบบี้และในเลาจน์ของโรงแรม Radisson SAS Royal Hotel
Swan Chair เป็นเก้าอี้ที่เปลี่ยนโฉมหน้าการออกแบบเฟอร์นิเจอร์แบบเดิมๆ ที่เป็นเส้นสายตรงๆ มาเป็นการใช้เส้นเว้า เส้นโค้ง อ่อนช้อยดูลื่นไหลไปทั้งตัว ลดรายละเอียดลง ให้ดูเรียบง่ายมากขึ้น รูปร่างดูน่าสบายกว่า โปร่งกว่า โอบกระชับ อบอุ่นปลอดภัย สำหรับชื่อ Swan นั้นเป็นเพราะ หากมองจากด้านข้างของเก้าอี้ จะเห็นว่ารูปร่างของเก้าอี้คล้ายตัวหงส์ที่ลอยอยู่ในน้ำ
ที่มารูปภาพ : naharro.com
เก้าอี้ตัวต้นแบบนั้น ถือกำเนิดขึ้นที่โรงรถที่บ้านของอาร์น จาค็อปเซ่นเอง ก่อนที่จะส่งแบบไปให้ทางโรงงานฟริตซ์ ฮานเซน (Fritz Hansen) เป็นผู้ผลิตและยังผลิตมาจนถึงทุกวันนี้ เก้าอี้ตัวที่เป็นต้นตำรับ ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 129,500 บาท ตัวเก้าอี้ภายในทำจากวัสดุสังเคราะห์โพลียูรีเทนโฟม แล้วหุ้มทับด้วยหนังสัตว์หรือผ้าเนื้อดีครับ
6. Ray Ban
ที่มารูปภาพ : pinterest.com
แว่นตาเรย์แบนถูกประดิษฐ์ขึ้นครั้งแรกในปี 1936 โดยมีจุดเริ่มต้นจากการที่ร้อยตรี John A. Macready นักบินทดสอบชาวอเมริกัน ได้เสนอให้ทางบริษัท Bausch & Lomb สร้างแว่นตากันแดดเพื่อปกป้องดวงตาของเขาขณะที่ขับเครื่องบิน บริษัท Bausch & Lomb จึงได้ทำแว่นตากันแดดรุ่น Aviator ออกสู่สาธารณชน และถูกใช้งานในกองทัพสหรัฐ จากนั้นเมื่อนายพลดักลาส แม็คอาเธอร์ (Douglas MacArthur)สวมใส่แว่นขณะนำกองทักสหรัฐยกพลขึ้นบกที่ประเทศฟิลิปินส์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ภาพถ่ายจากนักข่าวทำให้แว่นตาของนายพลแม็คอาเธอร์กลายเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย เพราะเรย์แบนได้นำเสนอรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ แสดงให้เห็นถึงความอิสระ กล้าหาญ และเสรี เรย์แบนจึงโด่งดังทั้งนั้นด้านสไตล์และคุณภาพ
ที่มารูปภาพ : rohaut.blogspot.com
ยุคที่เปรี้ยงสุดๆ ของเรย์แบนคือการถือกำเนิดของแว่นตารุ่น Wayfare, Caravan และ Signet เมื่อตำนาน King of Pop อย่างไมเคิล แจ็คสัน (Michael Jackson) นำแว่นตาเรย์แบนมาใส่ตลอดการทัวร์คอนเสิร์ต เลยยิ่งทำให้เรย์แบนกลายเป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้นครับ
ในวันนี้เรย์แบนถือเป็นแบรนด์แว่นตากันแดดอันดับหนึ่งของโลก ที่มาพร้อมกับสถิติแว่นกันแดดที่ขายดีที่สุดในโลกตลอดกาล ทำให้ยากที่ใครจะล้มเรย์แบนลงได้
ที่มารูปภาพ : fanpop.com
7. Levi’s
ที่มารูปภาพ : pinterest.com
ลีวาย สเตราส์ (Levi Strauss) ชาวเยอรมัน เป็นผู้หนึ่งที่ร่วมอยู่ในยุคตื่นทอง เมื่อปี 1850 ซึ่งทุกคนต่างมุ่งหน้าไปหาขุมทรัพย์ที่เหมืองทองในเมืองซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา สเตราส์เดินทางไปที่นั่นเพื่อขายของ แต่ของที่นำไปขายได้หมดระหว่างทาง เหลือเพียงผ้าเต็นท์เท่านั้น เมื่อไปถึงเหมือง ชาวเหมืองคนหนึ่งบอกให้เขาหากางเกงที่ทนทานมาขายบ้าง เพราะกางเกงคนขุดเหมืองขาดง่าย
คำพูดนี้จุดประกายความคิดให้สเตราส์ทันที เขาจึงนำเอาผ้าเต็นท์มาให้ช่างตัดเป็นเสื้อและกางเกง แล้วนำออกขาย ปรากฏว่าขายดีอย่างนึกไม่ถึงจนผ้าเต็นท์หมดในไม่ช้า สเตราส์จึงสั่งผ้าใบเรือมาตัดเสื้อผ้า ในขณะที่ผ้าเต็นท์ขาดตลาด เขาสั่งผ้าหนาอีกหลายชนิดมาจากนิวยอร์ก และนำมาย้อมเป็นสีน้ำเงินคราม อันเป็นสัญลักษณ์ของเสื้อผ้ากรรมกร
ปี 1860 ช่างตัดเสื้อชื่อ นายจาคอบ เดวิส (Jacob Davis) จากรัฐเนวาดาได้ตอกหมุดตามมุมกระเป๋ากางเกงของคนงานเหมือง เพื่อให้บริเวณนั้นที่มักขาดเสมอแข็งแรงขึ้น สเตราส์นำวิธีการตอกหมุดมาใช้กับกางเกงเสื้อผ้าที่มีเนื้อผ้าหนาของเขาและตั้งชื่อว่า “ลีวาย” (Levi’s) นายสเตราส์ได้จดทะเบียนสิทธิบัตรกางเกงยีนส์ในปี 1873 ถือเป็นวันกำเนิดกางเกงยีนส์ลีวายที่นิยมใช้ทั่วโลก และยังเป็นหนึ่งในไอเทมของเสื้อผ้าที่ทุกคนต้องมีติดบ้านจนถึงปัจจุบัน
8. Coca Cola
ที่มารูปภาพ : catalinajacobsen.blogg.no
เมื่อพูดถึง “โค้ก” หรือ เครื่องดื่มแบรนด์ “โคคาโคลา” สิ่งแรกที่ใครๆ ต่างนึกถึง นั่นคือขวดแก้วรูปทรงโค้งที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ขวด “โค้ก” หรือที่เราเรียกกันว่าขวดคอนทัวร์ ขวดนี้ได้รับการถูกออกแบบขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1915 โดย อเล็กซานเดอร์ แซมมวลสัน (Alexander Samuelson) ตามแนวทางของ “โค้ก” ที่ต้องการรูปทรงขวดที่มีเอกลักษณ์และความโดดเด่น
แต่ก่อนหน้าที่ขวดโค้กจะมีรูปทรงแบบนี้นั้น ต้นกำเนิดของมันมาจาก ร้านขายยา “เจคอบ ฟาร์มาซี” เมืองแอตแลนตา มลรัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี 1886 เมื่อเภสัชกรชื่อ ดร.จอห์น เพมเบอร์ตัน (Dr.John Pemberton) ได้เริ่มขายเครื่องดื่มนี้เป็นแก้วในร้านขายยา ก่อนจะเปลี่ยนไปบรรจุใส่ขวดขวดแก้วทรงตรงๆ ที่มีโลหะปิดด้านบนสามารถเปิดขวดได้โดยการกดฝาลง
แต่ในช่วงทศวรรษ 1900 ขวดโค้กแบบเก่าที่เป็นรูปทรงตรงใสปั๊มโลโก้นูน ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจนถูกลอกเลียนแบบจากคู่แข่ง โคคาโคลาจึงเริ่มเพิ่มความละเอียดให้กับดีไซน์ขวดมีการจดสิทธิบัตรของรูปทรงขวดขึ้นในปี 1915 ซึ่งรูปทรงของขวด Contour ก็ยังเป็นที่นิยมถูกใช้กันแพร่หลายจนถึงทุกวันนี้ และกลายเป็นเอกลักษณ์ที่เท่ไม่เหมือนใคร
แม้เวลาจะผ่านมากว่า 128 ปีแล้ว แต่ “โค้ก” ยังคงเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมจากผู้คนทั่วโลก โดยปราศจากวัตถุกันเสียและสารแต่งกลิ่นสังเคราะห์ นอกจากนี้รูปทรงของมันก็ยังติดตา บ่งบอกได้ถึงเอกลักษณ์ของสินค้าเฉพาะตัว
ที่มารูปภาพ : solidsmack.com
กว่าจะมาเป็นงานออกแบบแห่งความทรงจำ แต่ละแบรนด์สินค้าก็ล้วนแล้วแต่ผ่านการลองผิดลองถูก หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ามีการพัฒนาสินค้าอยู่ตลอด จนออกมาเป็นสินค้าที่ดีทั้งรูปลักษณ์และคุณภาพ ให้เป็นที่จดจำจนถึงทุกวันนี้ครับ
สำหรับเรื่องราวในวันนี้ ขอให้เป็นแรงบันดาลใจสำหรับนักออกแบบหลายๆ คนว่าอย่าหยุดพัฒนาตัวเอง ไม่แน่ในอนาคตสิ่งที่เราสร้างสรรค์ออกแบบอาจจะเป็นตำนานเหมือนแบรนด์หลายๆ แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในทุกวันนี้ก็ได้ครับ ☺
ขอบคุณข้อมูล
vw-inc.net
blog.moodandtone.co.th
community.akanek.com
primermagazine.com
pinterest.com
icoke.co.th
teen.mthai.com