
ทุกย่างก้าวของเราอาบไปด้วยแสง แสงที่ยิ่งเจิดจ้ามากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ภาพของเงาชัดเจน แสงและเงาจึงเป็นเหมือนคู่หูที่ท้องฟ้าส่งลงมาสร้างความงดงามให้กับโลก เพราะแสงและเงาทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ ในงานศิลปะหลากรูปแบบ โดยเฉพาะกับด้านสถาปัตยกรรมที่แสงและเงาจะช่วยเข้ามาทำให้ผลงานมีความแปลกตาและน่าดึงดูดใจมากยิ่งขึ้น
1.Church of The Light (Osaka, Japan)

(credit : http://www.archello.com)
Church of The Light หรือในชื่อภาษาญี่ปุ่น คือ โบสถ์อิบารากิ คาสึงาโอกะ (Ibaraki Kasugaoka Church) เป็นสถาปัตยกรรมเลื่องชื่อของทาดาโอะ อันโดะ (Todao Ando) สถาปนิกชาวญี่ปุ่นผู้มีอัตลักษณ์ในการใช้แสง เงา และคอนกรีตในการสร้างสรรค์ผลงาน
โบสถ์คริสต์นิกายโปรเตสแตนท์แห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมืองอิบารากิ จ.โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ด้วยลักษณะที่เรียบง่ายตามรูปแบบทางความเชื่อของนิกายที่ไม่ยึดติดกับศาสนสถาน ผนังของโบสถ์จึงสร้างขึ้นจากคอนกรีตผิวเรียบ ที่ก่อขึ้นเป็นลักษณะของกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยเว้นผนังคอนกรีตส่วนหนึ่งให้เป็นช่องรูปไม้กางเขนบริเวณด้านหลังแท่นบูชาพอดี แสงสว่างที่ส่องมาจากด้านนอกผ่านช่องรูปไม้กางเขนเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงพลังของธรรมชาติผ่านความเรียบง่าย เหมาะกับสถานที่ที่สร้างขึ้นเพื่อความสงบทางจิตใจอย่างแท้จริง
คลิปประกอบ :
2.Church of Saint-Pierre (Firminy, France)

(credit : http://www.payneandladner.com , http://www.designersandbooks.com)
โบสถ์เซนต์ปิแอร์ในเมืองเฟมินี (Firminy) ที่ประเทศฝรั่งเศสนี้ เป็นศาสนสถานอีกแห่งที่อาศัยพลังของแสงมาช่วยในการนำความสงบ เลอ คอร์บูซิเยร์ (Le corbusier) สถาปนิกชาวสวิตเซอร์แลนด์ผู้ออกแบบภายในอาคารหลังนี้ ใช้แสงจากธรรมชาติเข้ามาช่วยในการเนรมิตโบสถ์ โดยเจาะรูแบบสุ่มบนผนังของอาคารให้ความสว่างจากด้านนอกผ่านรอดเข้ามายังห้องที่มืดสนิท เมื่อมองจากด้านในโบสถ์จึงเห็นเป็นแสงระยับของดวงดาวมากมายที่ผนังหลังแท่นบูชา ราวกับสามารถยกทั้งจักรวาลมาไว้ในห้องเล็กๆ นอกจากนี้แสงไฟรอบๆ ยังไล่ระดับเป็นเส้นเงาพริ้วไหวเหมือนกับแสงเหนือ ที่สื่อได้ถึงความสงบและสวยงามไปพร้อมๆ กัน
คลิปประกอบ :
3.Chapel of Thanks-Giving Square (Texas, United States of America)

(credit : http://www.skyscrapercity.com , https://print24.com)
การนำกระจกสเตนกลาส (Stained Glass) มาเล่นกับแสง เป็นสิ่งยอดนิยมในการตกแต่งอาคารที่มีมาอย่างยาวนานและยังคงให้ผลลัพธ์ที่งดงามไม่เปลี่ยนแปลง โบสถ์ในสวนสาธารณะ Thanks-Giving Square ในรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่นำกระจกสเตนกลาสมาใช้ตกแต่งอาคารได้อย่างอลังการ แม้มองจากด้านนอกจะเห็นเพียงความเรียบง่ายของสถาปัตยกรรมสีขาวทึบ แต่ภายในตัวโบสถ์นั้นกลับมีแสงที่ส่องลงมาจากด้านบนหลังคา สะท้อนสีสันของกระจกสเตนกลาสที่ประดับเป็นขั้นบันไดขึ้นไปจนสุด เป็นความงดงามที่วางตาไม่ลงกันเลยทีเดียว
คลิปประกอบ :
4.Burj Qatar (Doha, Qatar)

(credit : http://fasadnews.ru)
เงาของหน้าต่างลายลูกไม้ที่ตกกระทบบนพื้นตลอดรอบตัวอาคารทำให้ตึกเบิร์จ กาตาร์ (Burj Qatar) หรือ โดฮา ทาวเวอร์ (Doha Tower) อาคารสำนักงานทรงกระบอกที่ตั้งอยู่กลางกรุงโดฮา เมืองหลวงของประเทศกาตาร์แห่งนี้ มีเอกลักษณ์ด้วยสถาปัตยกรรมอันโดดเด่น แรงบันดาลใจในการออกแบบตึกลายลูกไม้ของฌอง นูแวล (Jean Nouvel) สถาปนิกชื่อดังชาวฝรั่งเศสนั้น ได้มาจากลวดลายของมัชราบียา (Mashrabiya) ฉากบังตาไม้ฉลุสไตล์อาหรับโบราณที่มีลักษณะเป็นตาข่าย ซึ่งชาวอาหรับนิยมนำมาใช้ตกแต่งอาคารต่างๆ
โครงสร้างภายนอกของเบิร์จ กาตาร์ สร้างด้วยแผงสแตนเลสลวดลายคล้ายลูกไม้ซ้อนทับกันหลายชั้นเพื่อบังแดดและป้องกันฝุ่นทรายตลอดทั้งตัวอาคาร แต่จุดเด่นคือความหนาของผนังบังแดดในแต่ละจุดนั้นไม่เท่ากันทั่วทั้งตึก โดยด้านที่โดนแสงแดดจัดจะมีลวดลายที่หน้าทึบมากกว่า เงาที่สะท้อนเข้ามาในตัวตึกจึงมีการไล่ระดับตามความสว่างของแสงด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นการผสมผสานศิลปะแบบเก่าให้เข้ากับรูปแบบทันสมัยของตึกได้อย่างสวยงาม
คลิปประกอบ :
5.The Louvre Abu Dhabi Museum (Abu Dhabi, United Arab Emirates)

(credit : http://www.archdaily.com)
พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์แห่งนี้ เป็นอีกหนึ่งผลงานออกแบบชิ้นโบว์แดงของฌอง นูแวล (Jean Nouvel) โดยเป็นการร่วมมือกันสร้างระหว่างชาติอาหรับและฝรั่งเศส สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้ซื้อลิขสิทธิ์ในการใช้ชื่อของพิพิธภัณฑ์ลูฟร์จากประเทศฝรั่งเศส นำมาสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์บนเกาะซาดิยาต (Saadiyat) ในเมืองอาบูดาบี เขตวัฒนธรรมที่ตั้งใจสร้างขึ้นเพื่อรวบรวมมรดกทางวัฒนธรรมระดับโลกไว้ในเขตตะวันออกกลาง
หลังคาส่วนหนึ่งของพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ถูกออกแบบให้เป็นรูปโดมซึ่งมีรูกับรอยแตกที่ไม่สม่ำเสมอ แสงอาทิตย์จึงสามารถส่องเข้ามาภายในอาคาร สะท้อนเป็นเงาบนกำแพงและพื้น ให้บรรยากาศเหมือนอยู่ใต้นำ้เมื่อเดินเข้ามาด้านใน ซึ่งภายในพิพิธภัณฑ์นั้นจะจัดแสดงผลงานของศิลปินจากทั่วโลกเพื่อเป็นการเชื่อมช่องว่างระหว่างศิลปะตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน
คลิปประกอบ :
5.The Louvre Abu Dhabi Museum (Abu Dhabi, United Arab Emirates)

(credit : http://openbuildings.com)
ดีไซน์แปลกตาของตึกมิกิโมโตะในย่านกินซ่าดูเข้ากันได้ดีกับบรรยากาศของแหล่งชอปปิงสุดหรู อาคารทรงปริซึมนี้เป็นผลงานของโทโย อิโตะ (Toyo Ito) ที่ออกแบบจากความเรียบง่าย ด้วยการนำแผ่นโลหะกับคอนกรีตมาผสมผสานกันและยึดติดกับตะแกรงให้ตัวอาคารแข็งแรงขึ้น และเสริมความน่าสนใจด้วยการทำหน้าต่างกระจกเป็นช่องๆ จัดเรียงแบบสุ่มจนเหมือนสวิสชีสก้อนใหญ่ ยิ่งกว่านั้นเมื่อมองจากภายนอกเวลาไฟในอาคารเปิดจะเห็นเป็นการไล่แสงสว่างจากเข้มจนอ่อนขึ้นไปยังด้านบนอย่างลงตัว นอกจากตึกมิกิโมโตะแล้ว ศิลปินผู้นี้ยังออกแบบอาคารที่ใช้ลูกเล่นจากแสงไฟอีกมากมาย เช่น โรงหนังสาธารณะ Za-Koenji และ ตึก Sendai Mediatheque
คลิปประกอบ :