SKY

      ในช่วงฤดูหนาว จะเป็นเวลาที่เรามองเห็นผืนฟ้าได้แจ่มใสที่สุดไม่ว่าในกลางวันหรือกลางคืน ยิ่งมองจากสถานที่สูงๆ ฟ้าก็ยิ่งสวย แต่คนธรรมดาอย่างเราๆ จะสามารถไปที่ไหนได้บ้าง นอกจากปืนเขาหรือเดินขึ้นตึกสูงๆ วิวดีๆ ซึ่งอย่างหลังเห็นจะง่ายกับท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษทั้งหลายที่ไม่ชอบการท่องเที่ยวแบบผจญภัย แต่ชอบชมวิวแบบสบายๆ แถมได้ความรู้สึก ได้อารมณ์ไม่แตกต่างกันนัก แน่นอนอยู่แล้วว่าตามตึกสูงใหญ่ย่อมมีวิวสวยๆ ให้เราได้ชมกัน

      วันนี้ Karuntee ได้คัดสรรตึกระฟ้าที่มีการออกแบบและตกแต่งภายในอย่างสวยเก๋ แถมด้วยพื้นที่ชมวิวสวยสุดตระการมาฝาก แต่จะมีที่ไหนบ้างนั้น ไปชมพร้อมกันเลยค่ะ

 

1. เซี่ยงไฮ้ทาวเวอร์ (Shanghai Tower), ประเทศจีน

 

ที่มารูปภาพ : Dezeen

 

      เมืองเซี่ยงไฮ้ เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องและตึกที่สูงจนติดอันดับโลกอีกหลายแห่ง อาคารเซี่ยงไฮ้ทาวเวอร์ (Shanghai Tower) นี้ จึงกลายเป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอินที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด ด้วยความสูงถึง 632 เมตร หรือประมาณ 2,073 ฟุต จำนวน 128 ชั้น รวมมูลค่าการก่อสร้างกว่า 2.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียวค่ะ

      ความโดดเด่นของตึกนี้คือการออกแบบอาคารที่เน้นให้มีการบิดตัว 120 องศาจากข้างล่างจนถึงยอดตึกเพื่อลดแรงลม โดยดีไซน์ของตึกถูกออกแบบให้มีลักษณะเป็นเกลียวคล้ายกับงูเลื้อย ซึ่งทุกชั้นจะมีลักษณะการหมุน 1 องศา ทำให้อาคารมีรูปลักษณ์ที่สวยงามหรูหรา สะดุดตา ทั้งยังสามารถต้านทานต่อพายุไต้ฝุ่นได้อย่างดีเลยค่ะ ที่สำคัญอาคารเซี่ยงไฮ้ทาวเวอร์ยังขึ้นชื่อว่าเป็นตึกประหยัดพลังงาน เพราะใช้ระบบนำน้ำทิ้งกลับมาใช้ใหม่ (Greywater System) และมีการเก็บกักน้ำฝนเพื่อนำมาใช้ (Rainwater Collection) นอกจากนี้ยังมีเครื่องผลิตไฟฟ้าด้วยกังหันลมกว่า 270 ตัว

      สำหรับใครที่อยากชมวิว ตึกนี้ก็เปิดให้เข้าชมโดยจุดชมวิวจะอยู่ที่ชั้น 119 คุณสามารถโดยสารขึ้นไปด้วยลิฟต์ความเร็วสูงของตึกเซี่ยงไฮ้ทาวเวอร์ ที่จะพาคุณทะยานสู่จุดหมายได้ภายในเวลาเพียง 55 วินาทีเท่านั้นค่ะ เมื่อถึงชั้น 119 คุณจะได้ชมวิวทิวทัศน์รอบนครเซี่ยงไฮ้ได้แบบ 360 องศากับภาพของตึกน้อยใหญ่และแม่น้ำหลากสาย ที่กลายเป็นขนาดเล็กๆ เมื่อมองลงมาจากด้านบน แต่ยังสวยงามเกินกว่ากระจกใสบางๆ จะขวางกันได้ ที่สำคัญบริเวณจุดชมวิวนี้ยังสามารถมองดูท้องฟ้าได้อย่างชัดเจน เห็นก้อนเมฆเหมือนลอยอยู่เหนือศรีษะ ความงามสีฟ้าครามบวกกับสีขาวนวลของปุยเมฆ ดูสบายตาจนเรียกว่าเห็นใกล้กว่านี้ก็นั่งอยู่บนเครื่องบินแล้วค่ะ

      นอกจากนี้ ชั้น 119  ไม่เพียงแค่เปิดให้ชมวิวเท่านั้นนะคะ แต่ยังเปิดเป็นพื้นที่จำหน่ายสินค้าที่ระลึก และนิทรรศการภาพถ่ายอาคารสูงระฟ้าที่มีชื่อเสียงโด่งดังจากทั่วโลกอีกด้วย น่าไปเยือนสุด ๆ เลยใช่ไหมล่ะ

 

ที่มารูปภาพ : Smartshanghai

 

2. หอไข่มุกตะวันออก (Oriental Pearl TV Tower), ประเทศจีน

 

ที่มารูปภาพ : XIANLIANG

 

      อีกหนึ่งตึกที่เป็นไฮไลท์ของนครเซี่ยงไฮ้ คือ หอไข่มุกตะวันออก (Oriental Pearl TV Tower) ซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์อันโดดเด่นของเมืองเลยทีเดียวค่ะ เพราะไม่ว่าคุณจะเดินอยู่บนพื้นที่ไหนๆ ของเมืองเซี่ยงไฮ้ ก็สามารถมองเห็นปลายยอดของหอไข่มุกตะวันออกนี้ได้ เรียกได้ว่าทั้งสูงและเด่นเป็นสง่าจริงๆ

      หอไข่มุกตะวันออก ตั้งอยู่ในบริเวณสวนผู่ตง (Pudong Park) ติดริมแม่น้ำหวงผู่ มีลักษณะสถาปัตยกรรมการออกแบบและตกแต่งที่เป็นเอกลักษณ์ โดยมีลักษณะเป็นหอคอยความสูง 468 เมตร ประกอบด้วยไข่มุก 11 ลูก และ เสา 3 เสา ด้านบนเป็นรูปไข่มุก 3 เม็ด 3 ขนาดเรียงกันในแนวตั้ง ซึ่งไข่มุกทรงกลมนี้เองที่เปิดให้เป็นพื้นที่ชมวิวและร้านอาหารสุดหรูหรามากมาย สำหรับไข่มุกลูกที่ 2 จะมีการออกแบบพื้นทางเดินเป็นกระจกด้วย ทำให้สามารถมองเห็นวิวได้ทุกมุมมองทั้งบน ล่าง หน้า หลัง

      ส่วนในยามราตรีหอไข่มุกตะวันออกจะเปิดไฟสว่างไสวที่จะเปลี่ยนสีไปได้เรื่อยๆ อย่างสวยงาม ตระการตา สามารถมองเห็นวิวของค่ำคืนที่ยังไม่หลับใหลของเมืองเซี่ยงไฮ้ซึ่งก็งดงามไปอีกแบบ นอกจากนี้ หากล่องเรือในแม่น้ำหวงผู่ยังสามารถชมความงามของหอคอยไข่มุกตะวันได้เช่นกัน

      ถึงหน้าที่หลักของอาคารแห่งนี้คือส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์ให้กับเมืองเซี่ยงไฮ้ แต่ก็เปิดเป็นแลนด์มาร์กให้นักท่องเที่ยวเข้าเที่ยวชมทุกวันค่ะ

 

ที่มารูปภาพ : Wikimedia Foundation, TripAdvisor

 

3. ตึกแฝดเปโตรนาส (Petronas Twin Towers), ประเทศมาเลเซีย

 

ที่มารูปภาพ : Max Pankow Adventures

 

      ตึกแฝดที่โด่งดังที่สุด ไม่มีใครไม่รู้จัก อาคารเปโตรนาส (Petronas Twin Towers) ประเทศมาเลเซียแน่นอน ด้วยดีไซน์การออกแบบที่แปลกตา ทำให้เป็นที่จดจำง่ายของตึกสูง 2 ตึก ที่มีสะพานเชื่อมต่อกันนั้น ใครเห็นก็ต้องรีบยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปคู่พร้อมเช็คอินว่า ถึงแล้วนะมาเลเซีย โดยไม่ต้องบรรยายเป็นตัวอักษร

      อาคารเปโตรนาสนั้น มีความสูง 452 เมตร จำนวน 88 ชั้น ออกแบบโดย เซซาร์ เปลลี (César Pelli) ตั้งอยู่บริเวณใจกลางย่านธุรกิจของกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียค่ะ มีลักษณะการออกแบบให้เป็นอาคารแฝดมี 2 หอคอย ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากเสาหินทั้ง 5 ของศาสนาอิสลาม ผสมผสานกับตกแต่งโครงเหล็กที่ห่อหุ้มในแต่ละจุดได้อย่างปราณีต จนได้สถาปัตยกรรมที่สวยงามแปลกตา

      จุดเด่นอยู่ที่สะพานเชื่อมลอยฟ้า (Sky Bridge) ในบริเวณชั้นที่ 41 และ 42 ของทั้ง 2 ตึกค่ะ และถือเป็นจุดชมวิวสำคัญของนักท่องเที่ยวด้วย เรียกได้ว่าเป็น View Point แบบสามมิติเลยก็ว่าได้ค่ะ เพราะนอกจากจะได้เห็นวิวสวย ๆ ของกรุงกัวลาลัมเปอร์แบบสุดลูกหูลูกตาแล้ว ยังได้สัมผัสกับลมเย็นๆ  ที่พัดผ่านตลอดเวลา จุดชมวิวนี้จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ฟรี วันละประมาณ 1,000 คน แบ่งตั๋วออกเป็น 2 รอบ คือ เช้าและบ่าย จะเลือกมาดูช่วงเวลาไหน หรือเลือกดูทั้งสองรอบก็ได้นะคะ แต่จะต้องมารับตั๋วก่อนขึ้นชมในแต่ละรอบค่ะ

 

ที่มารูปภาพ : ArchDaily , Askideas.com

 

4. มารีนา เบย์ แซนด์ส สกายพาร์ค (Marina Bay Sands Skypark), ประเทศสิงคโปร์

 

ที่มารูปภาพ : Stayclassy.dk

 

      มาที่ประเทศเพื่อนบ้านในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงของเราบ้าง กับตึกสูงที่ไม่ได้สูงที่สุด แต่มีจุดชมวิวสวยสุด ๆ อีกที่หนึ่งเลยค่ะ

      ใครๆ ต่างรู้จักมาริน่า เบย์ แซนด์ (Marina Bay Sands) ว่าเป็นอาคารที่มีการออกแบบที่แปลกตา ซึ่งถูกดีไซน์ออกมาเป็นรูปเรือ วางอยู่บนฐานที่เป็นตึกสูงทั้ง 3 อาคาร สวยงามจนขึ้นชื่อและกลายเป็นเอกลักษณ์สำคัญของประเทศสิงคโปร์เลยค่ะ ตึกนี้เป็น Complex ขนาดใหญ่ที่รวมเอา รีสอร์ทหรู ศูนย์การค้า สวนลอยฟ้า พร้อมสระว่ายน้ำลอยฟ้าแบบ Infinity Edge Pool   ที่มีขนาดใหญ่และสวยที่สุดเป็นอันดับต้นๆ ของโลกมารวมไว้ในที่เดียวกัน ด้วยความสูง 200 เมตร สูง 55 ชั้น จึงทำให้เป็นจุดชมวิวที่สวยและหรูหรามากที่สุดในสิงคโปร์ นักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาชมวิวทิวทัศน์อันสวยงามของเมืองสิงคโปร์ได้แบบ 360 องศาบนดาดฟ้ารูปทรงคล้ายเรือนี้ พร้อมกับท้องฟ้าใสๆ และแม่น้ำที่ล้อมรอบอยู่ด้านล่าง เห็นวิวไกลไปจนถึงเจ้าสิงโตพ่นน้ำ ตกกลางคืนก็มีการแสดงแสงสีเสียงในลำน้ำ ที่สาดส่องไปถึงบริเวณดาดฟ้า คลอเคลียกันไปกับสายลมจากธรรมชาติ อีกทั้งยังมีร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหารและบาร์ลอยฟ้าไว้คอยให้บริการด้วย สำหรับใครที่อยากไปชมวิวที่มาริน่า เบย์ แซนด์ ขอแนะนำว่าเวลาที่ท้องฟ้าและวิวจะสวยงามมากที่สุดอยู่ในช่วงที่พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน แต่เพื่อนๆ สามารถเข้าไปชมวิวได้ตลอดเวลาที่อาคารเปิดให้บริการเลยค่ะ

 

ที่มารูปภาพ : Calvin Seah , loversiq.com

 

5. เบิร์จ คาลิฟา (Burj Khalifa), ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

 

ที่มารูปภาพ : Emirates Directory

 

      เบิร์จ คาลิฟาได้รับการรับรองว่าเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก แย่งตำแหน่งตึก 101 จากประเทศไต้หวันมาครองอย่างง่ายดาย ตึกสูงในดินแดนทะเลทรายนี้ นอกจากจะสูงมากๆ แล้ว ยังได้รับการออกแบบและตกแต่งไว้อย่างสวยงาม ทั้งยังมีอัตลักษณ์ที่โดดเด่น เป็นทรงเรียวยาวแหลมสูงคล้ายกับจรวด จนบางคนเรียกกันว่า “ตึกหัวแหลม”  เอเดรียน สมิธ สถาปนิกชาวชิคาโก เป็นผู้ออกแบบ โดยเน้นการดีไซน์ผสมผสานกับรูปแบบของสถาปัตยกรรมอิสลาม และบางส่วนออกแบบใกล้เคียงกับงานออกแบบของตึกดิอิลลินอยส์ ผลงานของ แฟรงก์ ลอยด์ ไรต์ สถาปนิกชื่อดังชาวอเมริกัน หลายๆ คนอาจจะเคยรู้จักตึกนี้ในชื่อเก่าว่า “เบิร์จ ดูไบ” ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนมาใช้ชื่อเบิร์จ คาลิฟาในปี 2010 เพื่อเป็นเกียรติแก่ชีคห์ คาลิฟา บิน ซัยเอ็ด อัล-นาห์ยาน เจ้าผู้ครองนครอาบูดาบี และประธานาธิบดีสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์นั่นเองค่ะ

      สำหรับการตกแต่งภายในตึกนี้ เป็นฝีมือของจอร์โจ อาร์มานี โดย 37 ชั้นแรกเป็นส่วนของโรงแรม ชั้น 45 ถึง 108 เป็นอพาร์ตเมนต์ และชั้นที่เหลือจัดเป็นสำนักงาน โดยชั้นที่ 123 และ 124 จะเป็นจุดชมวิวของตึก ซึ่งสามารถมองเห็นวิวได้ 360 องศา จากจุดชมวิวคุณจะได้พบกับภาพท้องฟ้าสวยตัดกับผืนทรายสีน้ำตาลทองเนียนละเอียด ที่ถูกแทรกด้วยตึกและอาคารน้อยใหญ่ ด้านล่างอาคารมีบ่อน้ำพุ ที่ หากไปถูกช่วงเวลา คุณจะได้พบกับน้ำพุเต้นระบำแห่งดูไบ (Dubai Fountain) ซึ่งมองลงมาจากชั้น 124 แล้วสวยงามมากจริงๆ ค่ะ สมแล้วกับที่เป็น “จุดชมวิวที่สูงที่สุดในโลก”

 

ที่มารูปภาพ : E-architect

6. วิลลิส ทาวเวอร์ (Willis Tower), ประเทศสหรัฐอเมริกา

 

ที่มารูปภาพ : Glamour Love

 

      ตึกวิลลิส ทาวเวอร์ (Willis Tower) ในเมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากจะเป็นตึกที่สูงที่สุดในอเมริกาแล้ว ยังได้รับการยอมรับว่าเป็นตึกที่ “น่าหวาดเสียวที่สุด” อีกด้วย เนื่องจากทางตึกได้ทำการออกแบบระเบียงกระจกใส (The Ledge) ยื่นออกจากตัวตึกชั้น 103 ให้นักท่องเที่ยวได้ใช้พื้นที่ในการชมวิวเมืองชิคาโกได้แบบสุดลูกหูลูกตาโดยเฉพาะเลยค่ะ

      “The Ledge” เป็นระเบียงที่ทำจากกระจกใสล้วน ๆ บนความสูง 1,353 ฟุต ซึ่งยื่นออกจากตัวอาคารชั้น 103 ประมาณ 4 ฟุต (1.2 เมตร) ทำให้คุณสามารถมองเห็นวิวเมืองได้ทั้งด้านบน ด้านหน้า และด้านล่างแบบไร้ขีดจำกัด ทั้งนี้ทางผู้ออกแบบได้บอกถึงแรงบันดาลใจในการออกแบบว่า เพราะต้องการให้ผู้ที่ยืนบนระเบียงมีความรู้สึกว่ากำลังล่องลอยอยู่ในอากาศ และก่อนหน้านี้มักเห็นรอยหน้าผากของนักท่องเที่ยวติดตามผนังกระจก ซึ่งเกิดจากการชะโงกดูวิวด้านนอก และเพื่ออำนวยความสะดวกในการชมวิวทิวทัศน์ทางตึกจึงตัดสินใจสร้างระเบียงกระจกขึ้นมา พื้นที่ของ The Ledge  มีความกว้างและสูง 10 ฟุต ถูกติดตั้งไว้ 4 จุดด้วยกัน เพื่อให้นั่งท่องเที่ยวสามารถชมวิวเมืองและแม่น้ำชิคาโกได้หลากหลายในมุมมองที่แตกต่างแต่ทั่วถึงค่ะ

 

 

 ที่มารูปภาพ :  Scott Olson

 

7. ยูเรกา สกายเด็ค 88 (Eureka Skydeck 88), ประเทศออสเตรเลีย

 

ที่มารูปภาพ : Global Ballooning Australia

 

      ข้ามฝากมาในอีกทวีป อาคารแห่งนี้อยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย มีชื่อว่า ตึกยูเรกา สกายเด็ค 88 (Eureka Skydeck 88) ด้วยความสูง 297 เมตร ที่ต้องใช้ลิฟต์ที่มีความเร็วสูงที่สุดในซีกโลกใต้เพื่อขึ้นไปยังชั้นบนสุด นอกจากนี้ยูเรกา สกายเด็ค ยังเป็นตึกระฟ้าแห่งแรกของโลกที่มีพื้นที่การชมวิวแบบ The Edge ซึ่งเป็นการชมวิวบนพื้นกระจกใส ที่มีพื้นกระจกจะยื่นออกไปนอกตัวอาคารถึง 3 เมตร ให้ความรู้สึกตื่นเต้นเหมือนยืนอยู่บนอากาศ นับเป็นการชมวิวเมืองเมลเบิร์นแบบมุมสูงที่ดีที่สุด

      หากมองลงมาจากชั้นบนคุณจะได้เห็นวิวของแม่น้ำยาร่าห์ (Yarra) ที่วางตัวทอดผ่านเมืองเมลเบิร์น แทรกแซมด้วยสีเขียวของต้นไม้จากสวน Birrarung Marr รวมไปถึงสนามเทนนิสที่ใช้ในการแข่งขัน Australian Open และ Rod Laver Arena ด้วย สำหรับใครที่อยากชมวิวสวยๆ บนตึกสูงชั้น 88 แห่งนี้ ต้องยอมแลกด้วยการจ่ายเพื่อการชมวิว 12 ดอลลาร์ แต่ต้องบอกก่อนว่าที่นี่เขามีกฎห้ามถ่ายรูปจากมุม The Edge  นะคะ แต่จะมีการขายรูปพร้อมกรอบในราคา 15 ดอลลาร์ค่ะ

 

ที่มารูปภาพ : Eureka Skydeck

 

      ว้าว….แต่ละสถานที่นั้นสูงและมีชมวิวที่สวยสุดๆ ไปเลยจริงๆ หากใครที่มีแพลนจะไปท่องเที่ยว ชมวิวรอบเมืองนั้น ขึ้นไปมองดูภาพเมืองกับชมท้องฟ้างามๆ จากตึกสูงเองก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจไม่น้อยเลยใช่ไหมคะ สำหรับคนที่เคยไปเยือนจุดชมวิวมาบ้างแล้ว เก็บภาพมาฝากกันบ้างนะคะ บาริโอจะขอเป็นตัวกลางขยายความสุขไปให้เพื่อน ๆ เองค่ะ