กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว…มักจะเริ่มต้นด้วยสาวสวยนางหนึ่งและลงท้ายด้วยการที่เธอได้แต่งงานกับเจ้าชาย และย้ายเข้าไปอยู่ในปราสาทหลังใหญ่ ปราสาทหลังสวย ปราสาทของเจ้าชาย หรือปราสาทอะไรก็ตามแต่อย่างมีความสุขชั่วกาลนาน
อาจจะเรียกได้ว่า ‘ปราสาท’ ก็เป็นเอกลักษณ์หนึ่งที่ขาดไม่ได้ไม่ว่าจะเทพนิยายเรื่องไหนๆ
และแน่นอนว่าปราสาทก็ไม่ได้มีอยู่เพียงในเทพนิยาย ในโลกของเราเองก็มีปราสาทมากมาย ที่เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างเทพนิยายและเรื่องเล่าที่เราคุ้นเคยกันดี
หากจะให้ลองยกตัวอย่างมาให้เห็นภาพแล้วล่ะก็…
อย่างแรกที่จะขาดไปไม่ได้เลยคือ ‘Neuschwanstein’ หรือปราสาทนอยชวานชไตน์ในแคว้นบาวาเรียน ประเทศเยอรมนี ปราสาทแห่งนี้สร้างเสร็จในปี 1886 เพื่อเป็นที่ประทับของกษัตริย์ลุดวิกที่ 2 และสร้างขึ้นโดยใช้ลักษณะของสถาปัตยกรรม Neo-Romanesque ที่มีลักษณะเด่นเป็นการใช้ซุ้มโค้งและการใช้อิฐเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบ และสาเหตุที่เราต้องพูดถึงปราสาทแห่งนี้นั้นเป็นเพราะปราสาทแห่งนี้เป็นปราสาทต้นแบบของทั้งปราสาทของเจ้าหญิงนิทราและโลโก้ของ Disney นั่นเอง
(https://en.wikipedia.org/wiki/Neuschwanstein_Castle)
ต่อมาสถานที่ที่กลายมาเป็นแรงบันดาลใจของปราสาทน้ำแข็งของราชินีเอลซ่าในเรื่อง Frozen ก็คือ ‘Hotel de Glace’ ในรัฐควิเบก ประเทศแคนาดา หรือโรงแรมที่มีอีกชื่อว่า Ice Hotel เพราะโรงแรมแห่งนี้ไม่ได้แค่ ‘ตกแต่ง’ ในธีมน้ำแข็ง แต่ ‘สร้างขึ้นจาก’ น้ำแข็งทั้งหมดต่างหาก! ทั้งตัวอาคารไปจนถึงเฟอร์นิเจอร์ล้วนแล้วแต่เป็นน้ำแข็ง…แต่ยังโชคดีที่พวกเขายังดีไซน์ให้ห้องน้ำและเตียงนอนนั้นอบอุ่นและสามารถใช้งานได้สะดวกสบายเหมือนโรงแรมทั่วไป ไม่อย่างนั้น…แค่คิดก็หนาวแล้วล่ะค่ะ…
(https://www.hoteldeglace-canada.com)
ตำนานรักอมตะอันโด่งดังอย่าง ‘Taj Mahal’ ในเมืองอัครา ประเทศอินเดียถูกสร้างขึ้นด้วยหินอ่อนสีขาวทั้งหลัง จุดประสงค์เพื่อเป็นสุสานให้กับพระนางมุมตัซ มาฮาล พระมเหสีอันเป็นที่รักของสมเด็จพระจักรพรรดิ์ชาห์ชะฮันเป็นตำนานที่หลายๆ คนน่าจะเคยได้ยินมาบ้างแล้ว ปราสาทหลังนี้ถูกสร้างด้วยสไตล์ของสถาปัตยกรรมแบบเปอร์เซียที่จะมีโดมเป็นยอดอาคารและมีสวนที่มีบ่อน้ำกว้างด้านหน้าเพื่อสะท้อนงานสถาปัตยกรรมและยังทำให้ตัวอาคารมีอุณหภูมิที่เย็นสบายเนื่องจากประเทศอินเดียเป็นประเทศที่มีอากาศร้อน
และปราสาทหลังนี้ยังไปปรากฏในหนังเรื่อง ‘โรงงานช็อคโกแลต’ ตอนต้นๆ เรื่องที่วิลลี่ วองก้าเดินทางไปประเทศอินเดียเพื่อสร้างทัชมาฮาลช็อกโกแลตตามคำขอของเจ้าชายพอนดิเชอรี่ที่ต้องการแสดงความรักที่เขามีต่อช็อคโกแลต ดังนั้นวิลลี่ วองก้าจึงสร้างทัชมาฮาลขึ้นมาจากช็อกโกแลตทั้งหลัง แม้ว่าสุดท้ายมันจะละลายไปหมดเพราะแดดอันร้อนระอุนั่นเอง
(http://www.travelandleisure.com/attractions/landmarks-monuments/taj-mahal-unique-facts-history)
(Movie : Charlie and the Chocolate Factory)
เมื่อเร็วๆ นี้หนังเรื่อง Beauty and the Beast เพิ่งจะเปิดตัวไปโดยฉากส่วนใหญ่นั้นจะอยู่ในปราสาทสไตล์เรเนซองค์ฝรั่งเศสที่มีลักษณะเด่นคือการมีอาคารทรงกลมและหลังคาที่มีองศาลาดชัน รวมไปถึงปิดยอดหลังคาด้วยเหล็กดัดรูปทรงต่างๆ และต้นแบบของปราสาทหลังนี้ก็คือ ‘Chateau du Chambord’ ในประเทศฝรั่งเศส และนอกจากนี้ภายในยังมีบันไดวนที่ออกแบบ โดยศิลปินชื่อก้องโลกอย่าง Leonardo Da Vinci หรือบันไดที่เรียกว่า DNA Staircase อีกด้วย
(http://www.cycling-loire.com/sights-itinerary/chateaux-loire/chateau-chambord) / (https://www.feelguide.com)
ประเทศสก็อตแลนด์เองก็เป็นอีกประเทศที่มีสภาพแวดล้อมและทิวทัศน์ที่สวยงามจนได้กลายเป็นสถานที่ถ่ายทำของหนังหลายๆ เรื่องเช่น James Bond 007 Skyfall และรวมไปถึงเรื่องราวเทพนิยายของเจ้าหญิงผู้กล้าหาญอย่างเมริด้า ในเรื่อง Brave เจ้าหญิงผมแดงที่ออกเดินทางเพื่อแก้คำสาปให้มารดาและน้องๆ ที่กลายเป็นหมีเพราะคำอธิษฐานของตนเองก็มาจากปราสาทในประเทศสก็อตแลนด์เช่นกัน ปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นแบบ Medieval หรือในยุคมืดหรือยุคล่าแม่มดของคนยุโรป ดังนั้นลักษณะของอาคารจึงค่อนข้างอึดอัดและมีหน้าต่างน้อย…ทั้งเพื่อง่ายต่อการปกป้องดูแลคนในพื้นที่ของตนเองและป้องกันไม่ให้อากาศที่หนาวเย็นจากภายนอกพัดเข้ามาในตัวอาคารค่ะ
(http://www.thousandwonders.net/Dunnottar+Castle)
กลับมาที่ฝั่งเอเชียกันบ้าง หากพูดถึงเทพนิยาย Disney ของฝั่งตะวันตกไปแล้ว เราก็คงจะพลาดไม่ได้กับการพูดถึงเรื่องราวแฟนตาซีของ Ghibli ค่ายอนิเมชั่นชื่อดังของฝั่งตะวันออก แม้แต่โรงแรมยังเป็นแรงบันดาลใจให้ปราสาทน้ำแข็ง หาก ‘เมืองจิ่วเฟิน’ และ ‘ร้านน้ำชา’ จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับฉากในเรื่อง Spirited Away และปราสาทของบาบายาก้าบ้างก็คงไม่แปลกอะไร เพราะทั้งการใช้สีแดงเป็นสีหลักของอาคาร โคมแดงที่ประดับประดา รวมไปถึงหลังคาเก๋งจีนนั้นล้วนแต่เป็นลักษณะเด่นของอาคารสถาปัตยกรรมจีนในยุคก่อนๆ ซึ่งยังคงมีอยู่ในเมืองจิ่วเฟิน ประเทศไต้หวัน หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศไต้หวันในปัจจุบัน
(https://www.redbubble.com/people/nsfx/works/7655577-a-mei-teahouse-in-taiwan) / (https://www.tofugu.com/travel/jiufen-spirited-away/)
The Emperor’s Castle ในเรื่องมู่หลานนั้นเป็นอีกเรื่องที่นำสถาปัตยกรรมจีนในยุคราชวงศ์ฮั่น (พ.ศ.749-พ.ศ.763) มาผสมกับ ‘พระราชวังต้องห้าม’ ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีนมาใช้ เพราะพระราชวังในยุคฮั่นนั้นถูกทำลายไปหมดแล้วตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง (พ.ศ.1161-พ.ศ.1449) เหลือเพียงแบบจำลองที่ถูกสร้างขึ้นเลียนแบบ ซึ่งพระราชวังทั้งสองยุคสมัยนั้น หลักๆ แล้วจะต่างกันที่ความสูงของท้องพระโรง ในสมัยฮั่นท้องพระโรงจะตั้งอยู่สูงเพื่อแสดงถึงอำนาจอันยิ่งใหญ่ให้ผู้ที่จะมาเข้าเฝ้าหวั่นเกรงอีกทั้งยังเพื่อความปลอดภัยที่หากฝ่ายศัตรูจะบุกตีเข้ามาก็ต้องปีนขึ้นบันไดที่สูงชันเสียก่อน ต่างจากพระราชวังต้องห้ามที่ตั้งอยู่ใน ‘เมืองต้องห้าม’ ที่มีเวรยามป้องกันแน่นหนาอยู่แล้ว อีกทั้งแทนที่จะตั้งท้องพระโรงให้อยู่สูง ก็สร้างให้มันยิ่งใหญ่โอ่โถง น่าเกรงขามแทน
จุดที่เหมือนกันของพระราชวังจีนแทนจะทุกหลังนั้นก็หลังคาเก๋งจีนที่มีรูปปั้นดินเผาอยู่ที่เชิงหลังคาเป็นลักษณะเด่นของพระราชวังในประเทศจีน โดยสัตว์ที่เป็นรูปปั้นนั้นจะเป็นสัตว์มงคล เช่น นกหงส์แดง มังกร กิเลน และจำนวนของรูปปั้นที่เป็นเลขคี่ ก็บ่งบอกความสำคัญของตำหนักแต่ละหลังเช่นหลังที่มีรูปปั้น 9 ตัวจะสำคัญกว่าหลังที่มีรูปปั้น 7 ตัว, 5 ตัวและ 3 ตัวเป็นต้น ยกเว้นแต่ท้องพระโรงของพระราชวังต้องห้ามที่จะมีรูปปั้นมังกร 10 ตัวเพราะเป็นตำหนักที่สำคัญที่สุดนั่นเองค่ะ
(https://vmfa.museum/exhibitions/exhibitions/forbidden-city/) / (http://topicstock.pantip.com/)
ในเดือน 7 แบบนี้ก็ขอฝากเรื่องราวของอาคาร ปราสาทและพระราชวังทั้ง 7 แห่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับเทพนิยายและเรื่องราวแฟนตาซีทั้งหลายที่โด่งดังทั้งหลาย และสุดท้ายนี้…ปราสาทในเทพนิยายสร้างมาจากแรงบันดาลใจมากมาย บ้านหลังเล็กธรรมดาสำหรับคนหนึ่งอาจเป็นปราสาทที่อบอุ่นสำหรับอีกคน
แล้วตอนนี้ทุกๆ ท่านล่ะค่ะ…ได้อยู่ในปราสาทของตัวเองกันแล้วรึยัง? 🙂