ยิ่งโลกหมุนเร็วขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งมองเห็นว่าความธรรมชาติสำคัญกับชีวิตมากเท่านั้น การได้ใช้ชีวิตโดยมีธรรมชาติเข้ามาผสมผสาน เป็นสิ่งที่เราเริ่มจะซึมซับกันเรื่อยมา จนถึงปัจจุบันที่คนเราเริ่มจะตื่นตัวกับการสิ่งที่เป็นประโยชน์รอบตัวเรามากยิ่งขึ้น บทความนี้นำเสนอเรื่องราวของ Organic Living ที่ไม่ใช่การย้ายตัวเองไปอยู่ท่ามกลางป่าเขาใด ๆ แต่จะใช้การดึงธรรมชาติอยู่ให้อยู่รอบ ๆ ตัว จากการตกแต่งบ้านครับ
การแต่งบ้านแบบออร์แกนิค ไม่จำเป็นถึงขนาดเอาต้นไม้มาปลูกในบ้าน บทความนี้เราได้สรุปแนวทางในการแต่งบ้านให้ได้สไตล์ organic living ในแบบที่สามารถทำตามได้ครับ
1. เปิดประตูสู่ความธรรมชาติ
แสงจากธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความอบอุ่นให้บ้านได้ดี การถูกปลุกให้เราตื่นด้วยแสงอ่อนๆยามเช้าถือเป็นช่วงเวลาที่ดีของใครหลายคน การออกแบบหน้าต่างและประตูบานสูงจรดเพดานจะทำให้เปิดรับแสงได้เต็มที่ แสงธรรมชาติจึงเข้ามาสู่ตัวบ้านได้อย่างเป็นมิตร อีกทั้งยังช่วยประพลังงานในบ้าน ถ้าหากอยากได้แสงอย่างเดียวก็ควรเลือกใช้กระจกใสผสมสี หรือติดฟิล์ม และกระสองชั้น แต่ถ้าอยากสัมผัสถึงธรรมชาติทั้งแสงและอากาศให้เลือกเป็นประตูกระจกบานเลื่อนก็จะทำให้เข้าถึงกับธรรมชาติได้อย่างดียิ่งขึ้นครับ
2. พื้นไม้สีเรียบ
แม้การเลือกไม้มาใช้เป็นพื้นบ้านนั้น จะต้องแลกมาด้วยการดูแลเอาใจใส่ แต่เพราะไม้ได้ให้ความรู้สึกผ่อนคลายจากการมองเห็นและการสัมผัส เมื่อได้จ้องมองหรือเหยียบลงบนพื้น ไม้จึงกลายเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกแรก ๆ ในการตกแต่งบ้าน นอกจากนี้การใช้พื้นไม้ยังเป็นฉนวนที่ทำให้ให้พื้นบ้านไม่สะสมความร้อน และมีความยืดหยุ่นสูง แต่พื้นไม้จริงจะมีราคาค่อนข้างสูงและหายาก ปัจจุบัน พื้นไม้ลามิเนตก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีและคุณภาพใกล้เคียงกับไม้จริง และบางชนิดก็ยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมครับ
3. Earthy Colors
สีที่เกิดจากธรรมชาติแท้ ๆ อย่างสีน้ำตาลอ่อน ขาว และเทาอ่อน สร้างความรู้สึกผ่อนคลายให้บ้านได้ดี เลือกนำมาใช้กับองค์ประกอบหลัก ๆ ในบ้านอย่างผนัง ผ้าม่าน และเฟอร์นิเจอร์ ก็ทำให้บ้านดูสงบและสบาย การแต่งบ้านด้วยสีโทน Earthy Colors จึงเป็นการดึงสีธรรมชาติมาใช้ในการตกแต่งเพื่อสร้างสมดุลแห่งการพักผ่อนที่ดี และได้รับความนิยมในปัจจุบันก็ว่าได้ครับ การเลือกใช้สีแบบนี้ สามารถเลือกใช้กับสีผนัง หรือ สีเฟอร์นิเจอร์ก็สามารถทำได้ทั้ง 2 แบบ หากเป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้ ก็ขอให้เลือกชิ้นที่เป็นสีไม้ธรรมชาติ เช่น สีโอ๊ค สีเมเปิ้ล ก็จะทำให้การตกแต่งบ้านดูกลมกลืนกับธรรมชาติได้ดียิ่งขึ้นครับ
4. Texture
การสร้างสัมผัสธรรมชาติจากของใช้ในบ้าน ทดแทนการใช้จากพลาสติก โดยการเติมของตกแต่งบ้านด้วยเฟอร์นิเจอร์หรืออุปกรณ์ที่มี texture ลวดลายเลียนธรรมชาติที่อาจมีเพียงชิ้นเดียว หรืองานผีมือ อาจจะเป็นพวกหมอนผ้าฝ้าย ทอ หรือถักให้เกิดสัมผัสแปลกใหม่ แจกันหิน โต๊ะ เก้าอี้ เพราะความสวยงามในธรรมชาติมีผลต่ออารมณ์และจิตใจ ความขรุขระของธรรมชาติสามารถสร้างสีสันความแปลกใหม่ให้กับการตกแต่งบ้าน มองแล้วเพลินตาอีกทั้งมีรายละเอียดที่ทำให้บ้านดูไม่น่าเบื่ออีกด้วยครับ
5. วัสดุธรรมชาติ
ความงามในธรรมชาติมีผลต่ออารมณ์และจิตใจ วัสดุธรรมชาติอย่างไม้จริง ความขรุขระของหินธรรมชาติสีอ่อนสร้างลูกเล่นให้บ้านได้ มองแล้วเพลินตาอีกทั้งมีรายละเอียดที่ทำให้บ้านดูไม่น่าเบื่อ และอีกหลายตัวอย่าง อาทิ ผลิตภัณฑ์สานที่ทำมาจากวัสดุหลากหลายชนิดด้วยกัน เช่น หวาย หรือ ผักตบชวา ให้ความรู้สึกเป็นออร์แกนิค สามารถเข้าได้กับห้องหลายสไตล์ทั้ง rustic ไปจนถึง สไตล์ modern เส้นใยผ้าจากธรรมชาติที่ใช้กันอย่างกว้างขวาง ทั้งในเสื้อผ้า และ เฟอร์นิเจอร์ ต่างๆ การเลือกก็ใช้เป็นเส้นใยที่ย้อมสีจากธรรมชาติ นอกจากจะไร้สารเคมีแล้วยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมไปในตัวอีกด้วยครับ
6. ให้สีเขียวนำสายตา
จัดรอบ ๆ บ้านให้แซมด้วยสีเขียวของต้นไม้ใบไม้นอกจากจะเป็นหน้าเป็นตา เป็นความสวยงามชวนให้น่ามองตั้งแต่แรกเห็นแล้ว พื้นที่ของสวนสวยหน้าบ้านยังอาจกลายเป็นพื้นที่ที่ให้ร่มเงาและผ่อนคลายเมื่อได้มองเห็น จะเป็นต้นไม้กระถางหรือไม้เลื้อยขึ้นประดับตรงกำแพง การได้ซึมซับความงามของธรรมชาติถือเป็นการสร้างสมาธิได้อย่างหนึ่ง เสียงลมพัดและใบไม้ไหวก็สร้างความผ่อนคลายได้มาก แต่หากวันไหนอยากจัดปาร์ตี้สวนนี้ก็ปรับเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ได้ครับ
7. เพิ่มแสงสีอุ่นในบ้าน
เพราะแสงนั้นมีผลต่อความรู้สึกของการอยู่อาศัย แสงไฟในบ้านที่สว่างกำลังดีจะสร้างสภาวะความสบาย โทนแสงอุ่น ๆ ของหลอดไฟสี Warm White จะทำให้รู้สึกสบายตา การเลือกตกแต่งแสงสีอุ่นบริเวณห้องนั่งเล่น ถือว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสมเพราะสามารถมอบความรู้สึกอันแสนอบอุ่นให้แก่สมาชิกในครอบครัว เพื่อสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นให้กับแขกผู้มาเยือน หรือออกแบบแสงไฟแบบเฉพาะจุดในบริเวณต่าง ๆ อาทิ หัวเตียง ห้องน้ำ ห้องทานข้าว ถือเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ ที่ทำให้บ้านดูน่าอยู่อาศัยมากยิ่งขึ้นครับ
ธรรมชาติเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับเรามาโดยตลอด ถึงแม้ในปัจจุบันความเป็นธรรมชาติค่อย ๆ ลดเลือนหายไปแล้วแทนที่ด้วยความเจริญของสังคมเมือง ซึ่งเต็มไปด้วยความก้าวหน้าจากเทคโนโลยี แต่ไม่ว่ายังไงมนุษย์ก็ไม่สามารถตัดขาดกับความเป็นธรรมชาติได้ เพราะฉะนั้นอย่าลืมหันมาใส่ใจกับธรรมชาติให้มากขึ้น แล้วเราจะได้สัมผัสถึงความสุข ผ่อนคลายที่แท้จริงครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก
iurban.in.th
baanlaesuan.com
pinterest.com
homebeautyfurniture.blogspot.com
wemall.com