อิตาลี มหาอำนาจของโลกในยุคก่อน ดินแดนที่ร่ำรวยทั้งอารยธรรมและประวัติศาสตร์อันแสนยิ่งใหญ่ ดินแดนที่เต็มไปด้วยสถาปนิก นักออกแบบ และจิตรกรชื่อดังระดับโลกจำนวนมากมาย ที่มาฝากผลงานเอาไว้ที่แผ่นดินแห่งนี้  ทำให้ปัจจุบันทั่วทั้งประเทศ มีสถาปัตยกรรมที่แสนงดงามตั้งตระหง่านรอให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาชื่นชมความงามแห่งอดีตอันน่าหลงไหลอย่างไม่ขาดสายครับ ก่อนที่จะไปชมสถาปัตยกรรมสวยๆของอิตาลี บียอนขอย้อนกลับไปทำความรู้จักกับอิตาลีกันสักหน่อย เพื่อเพิ่มอรรถรสในการอ่านบทความนี้ได้ดียิ่งขึ้นครับ

 

 

รู้จักอิตาลี

     ประเทศอิตาลี ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของทวีปยุโรปในคาบสมุทรอิตาลีที่มีรูปทรงคล้ายรูปรองเท้าบูท ภูมิประเทศทางเหนือมีเมือกเขาแอลป์ทอดขวางเป็นเส้นแบ่งเขตแดนกับฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์และออสเตรีย โดยมีทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ขนาบอยู่ทั้งสามด้านที่เหลือ นี่อาจทำให้อิตาลีมีชัยภูมิที่เหมาะสมในการรับเอาอารยธรรมจากผู้ตั้งถิ่นฐานจากยุคต้นที่มาทางเรือ โดยเฉพาะพวกกรีกที่ถือเป็นต้นกำเนิดอารยธรรมโรมันขึ้นบนโลก ขณะเดียวกันพื้นที่นี้ก็ยังเป็นที่ต้องการของกลุ่มชนเผ่าต่างๆ จึงส่งผลให้อิตาลีกลายเป็นอู่อารยธรรมลำดับต้นๆของโลกนั้นเองครับฃ

      อิตาลี มีชื่ออย่างเป็นทางการคือ สาธารณรัฐอิตาลี (Republic of Italian) รวมชาติสำเร็จและสถาปนาขึ้นเป็นประเทศเมื่อปี ค.ศ. 1871 โดยมีกรุงโรมเป็นเมืองหลวง มีพื้นที่บนคาบสมุทรราว 250,000 ตารางกิโลเมตร และพื้นที่บนเกาะชิชิลีกับเกาะซาดิเนียอีกราว 20,000 ตารางกิโลเมตร มีประชากรราว 60 ล้านคน ส่วนใหญ่ กว่าร้อยละ 95 นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก

      สำหรับเมืองที่บียอนหยิบเอามาเขียนในบทความนี้ ถือเป็นสถานที่ๆมีความสวย แต่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของอิตาลี ได้แก่ Amalfi coast , Siena, Verona,Lucca และBologna ครับ แต่ละเมืองก็จะมีสถานที่ๆน่าสนใจ มีเรื่องราวจากยุคประวัติศาสตร์ที่ยังคงอยู่จากซากของอารยธรรมที่เสื่อมตามการเวลา และสถานที่ใหม่ๆที่ยังคงความสมบูรณ์บ่งบอกความเป็นอิตาลีได้อย่างชัดเจน จะเป็นอย่างไรไปเริ่มกันเลยครับ

 

 

Amalfi coast

      ชายฝั่งอามัลฟี มีเมืองสวยๆน้อยใหญ่เรียงรายอยู่ตลอดทาง แต่ที่น่าแวะเที่ยวมี 3 เมือง คือ โปสิตาโน อามัลฟี จุดเด่นของชายฝั่งนี้คือบ้านเมืองที่ตั้งอยู่ริมเชิงเขา สีสดใสเย็นตา เรียงตามชั้นลงไปถึงทะเลเบื้องล่างสลับกับสวนดอกไม้สวยๆครับ

AMALFI

      อามัลฟีในอดีตเป็นเมืองศูนย์กลางการค้าทางทะเลในยุคไบ-แซนไทน์ ศูนย์กลางเมืองที่ จตุรัสดูโอโม เป็นที่ตั้งของน้ำพุเซ็นต์แอนดรูว์ (Sant’ Andrea Fontana) และมหาวิหารประจำเมือง (Amalfi Duomo) มีประตูสำริดจากศตวรรษที่ 11 ภาพโมเสค และสุสานใต้ดินของเซ็นต์แอนดรูว์ที่อันเชิญพระศพมาจากกรุงคอนสแตนติโนเบิล เมื่อปี 1208 รอบๆจัตุรัสมีร้านค้า ร้านอาหารอยู่มากมายครับ

      ส่วนชายทะเลที่อยู่ติดท่าเรือนั้น เหมาะจะเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์อาคารบ้านเรือนที่ตั้งลดหลั่นอยู่บนเชิงเขา เป็นภาพที่งดงามและเป็นเอกลักษณ์ของอามัลฟีครับ “ชายฝั่งอามัลฟี ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกเมื่อปี ค.ศ. 1997”

 

 

POSITANO

      โปซีตาโนเป็นเมืองท่าของสาธารณรัฐอามาลฟีในยุคกลาง ช่วงเวลาที่เมืองเจริญรุ่งเรืองที่สุดอยู่ในศตวรรษที่ 16 และ 17 ต่อมาเมื่อกลางศตวรรษที่ 19 เมืองเข้าสู่ยุคสมัยที่ตกต่ำ ประชากรมากกว่าครึ่งหนึ่งได้อพยพออกจากเมือง โดยส่วนใหญ่อพยพไปยังอเมริกา

      ทั้งสองเมืองนั้นเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมทะเล มีสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ไล่เรียงระดับลดหลั่นกันไปจากบนเขาไปจนสุดชายหาด เมื่อมองจากจุดชมวิวของทั้งสองเมือง เราจะเห็นหลังคากระเบื้องดินเผาสีแดงมากมายเรียงรายกันอย่างสวยงามเป็นที่สุด โดยกระเบื้องดินเผาหรือ Terracotta นี้ เป็นหลังคาที่นิยมใช้กันมากในอิตาลีและแพร่กระจายความนิยมไปยังประเทศแถบข้างเคียงด้วยความสวยงาม ทนทาน และประโยชน์ใช้สอย ความงดงามนี้ทำให้จิตรกรชาวอิตาเลี่ยนหลาย ๆ คน นิยามทิวทัศน์แห่งนี้ว่า สวยงามเหมือนรูปวาดมากกว่าจะเป็นความจริงครับ

 

 

SIENA

     เมืองหลักอีกเมืองหนึ่งของแคว้นทัสคานี ทางใต้ระหว่างฟลอเรนซ์ มีเอกลักษณ์ทั้งตัวสถาปัตยกรรมสิ่งก่อสร้างต่างๆรวมทั้งงานศิลปะส่วนใหญ่เป็นแบบโกธิกหรือบารอก และด้วยบ้านเรือนที่เก่าแก่ บวกกับการวางผังเมืองที่สวยงาม ถ้าลองได้เดินเข้าไปที่เมืองนี้แล้ว จะเหมือนเดินเข้าไปไปตรอกที่มีกำแพงล้อมไว้ทั้งสองด้านเลยทีเดียวครับ เดิน ๆ ไป ก็นึกว่าเดินอยู่ในเขาวงกตยังไงยังงั้น

 

 

Palazzo Pubblico

      ปาลัซโซปุบบลีโก เป็นสิ่งก่อสร้างแบบโรมาเนสก์ตั้งอยู่ที่ในเมืองซีเอนา ในแคว้นทัสกานีของประเทศอิตาลีที่สร้างเมื่อปี ค.ศ. 1297 จุดประสงค์เดิมของสิ่งก่อสร้างก็เพื่อใช้เป็นตึกที่ทำงานของรัฐบาลของเมืองซีเอนา ปัจจุบันบางส่วนก็ยังเป็นสถานที่ราชการเหมือนเมื่อ 700 ปีที่แล้ว แต่พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกปรับเป็นพิพิธภัณฑ์ชีวีโก หรือพิพิธภัณฑ์ประจำเมืองครับ

      ด้านนอกของสิ่งก่อสร้างเป็นตัวอย่างของสิ่งก่อสร้างของยุคกลางของอิตาลีที่มีอิทธิพลของโกธิก ชั้นล่างสร้างด้วยหินและชั้นบนสร้างด้วยอิฐ ด้านหน้าของวังโค้งเว้าเล็กน้อยครับ

 

 

      ปิอัลซ่า เดล กัมโป (Piazza del Campo) เป็นจัตุรัสใหญ่ที่เป็นศูนย์กลางของเมือง เป็นหนึ่งจัตุรัสที่สวยงามมากที่สุดในอิตาลี สร้างระหว่างปี ค.ศ. 1325 ถึงปี ค.ศ. 1344 ตอนบนออกแบบโดยลิปโป เมมมี เมื่อปีนขึ้นไปบนยอดหอระฆัง ตอร์เร เดล มันจีอา ซึ่งตั้งสูงโดดเด่นอยู่เหนือจัตุรัส มองลงมาจะเห็นพื้นจัตุรัสเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งซีกปูด้วยแผ่นหินแบ่งออกเป็น 9 ส่วน คล้ายกับการตัดขนมเค้กแบ่งกัน เพื่อเป็นการรำลึกถึงสมาชิกสภาเมือง 9 คน ที่ปกครองซีเอน่า ในช่วงกลางศตวรรษที่13 ถึงต้นศตวรรษที่14 ซึ่งถือว่าเป็นยุคที่ซีเอน่ามีความเจริญรุ่งเรืองขีดสุด อาคารสถานที่สำคัญมักจะสร้างขึ้นในช่วงนี้ครับ

      ส่วนหอคอย ตอร์เร เดล มันจีอา นั้นเป็นหอระฆังที่สูงที่สุดในอิตาลี ด้วยความสูง 102 เมตร จุดชมวิวที่สูงสุดนั้นต้องขึ้นบันไดไปถึง 503 ขั้นเลยทีเดียว ถือว่าสูงเอาเรื่องเลยละครับ แต่รับรองว่าคุ้มค่าเหนื่อยยแน่นอน ^^

 

 

VERONA

     เวโรนา เมืองใหญ่อันดับ 2 ของแคว้นเวเนโต รองจากเวนีซ เป็นอดีตเมืองโรมันอันรุ่งเรืองที่สวยงามที่สุดแห่งของอิตาลีครับ อาคารบ้านเรือนสีสันสดใสและปิอัลซ่าที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวานั้นเป็นมรดกตกทอดมาตั้งแต่ยุคเรอเนสซองซ์ บรรยากาศภายในเมืองดูรื่นรมย์ มีนักแสดงเปิดหมวกแต่งตัวเลียนแบบตัวละคนในยุคประวัติศาสตร์ ตามจัตุรัสต่างๆ

 

casa di giulietta (บ้านจูเลียต)

      ถ้าในวงการหนังสือ ละครเวที หรือหนัง ไม่มีใครไม่รู้จัก Romeo and Juliet นิยายชื่อก้องโลกของวิลเลียม เชคสเปียร์ ที่ว่าด้วยความรักโรแมนติกของหนุ่มสาวจากสองตระกูลขุนนางในเวโรนา และ Verona เมืองนี้นี่เองที่เป็นเมืองตามท้องเรื่องที่เกิดตำนานความรักนี้ขึ้น  ภายในเมืองมีบ้านที่เชื่อกันว่าเป็นบ้านของโรมิโอและบ้านของจูเลียตที่ตั้งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก

 

Piazza Bra

      ปิอัซซ่าบรา เหมาะที่จะเป็นจุดเริ่มต้นในการเดินสำรวจเมือง บริเวณจัตุรัสดูสวยงามมีสีสัน โดยมีน้ำพุและสวนเขียวขจีอยู่ตรงกลาง ด้านตะวันตกรายล้อมไปด้วยอาคารหลากหลายสีจากยุคเรอเนสซองซ์เป็นที่ตั้งของร้านคาเฟ่ เป็นศูนย์กลางของผู้คนที่ไปพบปะสังสรรค์กัน ในขณะที่ทางตะวันออกเป็นที่ตั้ง อารีน่า (Arena) โรงละครโรมันสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 1 มีลักษณะเช่นเดียวกับโคลอสเซียมในกรุงโรม เพียงแต่มีขนาดเล็กกว่า แต่ก็ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโรงละครหรือสนามกีฬาโรมันที่หลงเหลืออยู่ เคยได้รับความเสียหายพังลงมาเกือบหมดจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปี 1183 แต่ก็ได้รับการบูรณะซ่อมแซมให้คงสภาพใกล้เคียงของเดิมเรียบร้อยแล้วครับ

      และปัจจุบันยังมีการแสดงโอเปร่าหรือคอนเสิร์ตกลางแจ้งในสนามกีฬาแห่งนี้อยู่เป็นประจำ โดยจะเปิดในช่วงฤดูร้อนเดือนมิถุนายน สามารถจุคนได้ถึง 25,000คนครับ

 

 

 

LUCCA

      ลุกกา ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเมืองฟรอเรนซ์ และอยู่ทางเหนือของปิซ่าไม่ไกล ลุกกาเป็นเมืองเก่าที่มีเสน่ห์ มีกำแพงเมืองโอบล้อมรอบไว้ทุกด้าน ถนนหนทางค่อนข้างแคบ สถาปัตยกรรมของเมืองนี้ก็คงความงดงามมากว่าพันปี บริเวณเมืองเก่านั้นจะเป็นบ้านเรือนที่ผ่านยุคสมัยมาแล้วหลายรุ่น ทั้งยังมีสีสันที่โดดเด่นมีเอกลักษณ์อย่างที่สุด วิธีการชื่นชมความงามของที่นี่ที่ดีที่สุดก็คงไม่พ้นการขึ้นไปชมจากหอคอยเลืองชื่อของเมืองนี้อย่าง Torre Guinigi และ Torre delle

 

 

Torre Guinigi

      วังของตระกูลกุย นีจี ผู้ครองเมืองในยุคกลาง มีของสะสมตั้งแต่ยุคหินมาจนถึงยุคโรมันให้ชม คนส่วนใหญ่มาที่นี้เพื่อชมทิวทัศน์เหนือเมืองลุกกา มีต้นไม้ปลูกไว้เป็นพุ่มอยู่บนยอดหอคอย มองไปทางด้านตะวันตกจะเห็นยอดหอคอย Torre delle ตั้งตระหง่านอยู่เหนือหลังคาอาคารบ้านเรือนลุกกาที่ส่วนใหญ่เป็นสีน้ำตาลและส้มดูเป็นเอกลักษณ์ที่ชัดเจนของเมืองนี้ครับ

 

BOLOGNA

      โบโลญญา เมืองหลวงของแคว้นเอมีเลีย – โรมาญญา เป็นอีกเมืองเก่าที่น่าสนใจ ตามถนนปูด้วยหินจากยุคกลาง ตึกส่วนใหญ่สร้างด้วยอิฐแดง โบโลญญา มีหลายสมญาณาม บ้างก็ว่าเป็นเมืองแห่งนักปราชญ์ เพราะเป็นที่ตั้งของหมาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สึดในอิตาลี ก่อตั้งมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 บ้างก็ว่าเป็นเมืองแห่งสีแดงเพราะตามตึกราบ้านช่องต่างๆถูกสร้างด้วยอิฐแดง และเมืองแห่งหอคอย ซึ่งภายในเมืองมีอยู่หลายแห่งครับ

 

 

San Petronio

      โบสถ์ซานเปโตรนีโอ  โบสถ์ใหญ่ที่สุดของเมือง สร้างเมื่อปี 1390 จากความตั้งใจของชาวเมืองที่จะสร้างให้ใหญ่โตกว่ามหาวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ในกรุงโรม แต่ต้องลดขนาดลง เพราะทางโบสถ์กันเงินส่วนหนึ่งไปสร้าง Palazzo Archiginnasio ซึ่งอยู่ติดกัน โบสถ์ด้านนอกอาจดูเรียบ แต่ด้านในตกแต่งด้วยสไตล์โกธิก ประดับด้วยภาพเรื่องราวในพระคัมภีร์  ภาพที่น่าสนใจคือ The Martydom of St. Sebastian ผลงานของ  Lorenzo Costa ครับ

 

 

Torri degli Asinelli e Garisenda

      หอเอนแห่งเมืองโบโลญญา มี 2 หอที่มีความสูงไม่เท่ากัน โดยหอที่สูงกว่านั้นมีชื่อว่า ตอร์เร เดลยี อาซีเนลลี (Torri degli Asinelli) สูง 97 เมตร เอียงออกจากแนบระนาบราว 1 เมตร ส่วนหอที่ต่ำกว่าชื่อว่า ตอร์เรการีเซนดา (Torri Garisenda) มีความพยายามจะสร้างให้สูงกว่านี้ แต่ด้วยฐานรากที่ไม่มั่นคง จึงสร้างได้สูงเพียง 48 เมตร และเอียงหนีจากแนวตั้งฉากกว่า 3 เมตร

 

 

      หอเหล่านี้เกิดขึ้นจากตระกูลผู้มั่งคงของเมืองตั้งแต่ยุคกลางราวศตวรรษที่ 12 แข่งกันสร้างว่าหอใครจะสูงและสวยกว่ากัน เพื่อประกาศศักดาถึงความร่ำรวย ในยุคนั้นว่ากันว่ามีหอมากถึง 180 หอ แต่หลงเหลือมาถึงปัจจุบันแค่สิบกว่าแห่ง และกอคอยที่สูงที่สุดคือหอคอยของตระกูลอาซีเนลลี ซึ่งตั้งอยู่กลางจัตุรัส Ravegnana ครับ

      อิตาลีถือเป็นศูนย์กลางของอารยธรรมในทุกยุคทุกสมัย เป็นดินแดนมหัศจรรย์ที่ผลิตบุคลากร หรือศิลปิน นักวิทยาศาสตร์อยู่นับไม่ถ้วน และผลงานของพวกเขาก็ยังคงอยู่ให้พวกเราได้เห็นกัน เพราะฉะนั้นอิตาลีถือเป็นเมืองที่ถ้าใครมีโอกาสก็ควรไปสักครั้ง รับรองว่าคงได้เต็มอิ่มกับบรรยากาศของดินแดนแห่งอารยธรรมของโลกอย่างอิตาลีแน่นอนครับ

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก

หนังสือใครๆก็ไปเที่ยวอิตาลี
คู่มือนำเที่ยวประเทศอิตาลี
Pinterest.com