French Garden
หากจะพูดถึงฝรั่งเศสแล้วหลายๆ คนคงนึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวอย่างหอไอเฟล มหาวิหารรูอ็อง หรือ พระราชวังแวร์ซาย ซึ่งถือว่าเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของฝรั่งเศสไปแล้ว แต่สำหรับความน่าสนใจอื่นๆนอกจากไปเยี่ยมชมสถาปัตยกรรมที่กล่าวมานั้นสวนในแบบฝรั่งเศสที่ถูกประดับประดาและตกแต่งจากต้นไม้นานาพันธุ์ให้สวยงาม ก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่น่าสนใจไม่แพ้กันครับ
สวนฝรั่งเศสเกิดขึ้นได้อย่างไร
สวนฝรั่งเศสนั้นได้รับอิทธิพลการจัดสวนแบบอิตาลีในยุคเรอเนสซองส์(Italian Renaissance Garden) เข้ามาผสมผสาน ซึ่งในยุคนั้นสวนอิตาลีจะเน้นหนักในเรื่องคตินิยมของความสมบูรณ์แบบทั้งในเรื่องความงามและความเป็นระเบียบ มีการวางรูปแบบแปลนโดยอาศัยรูปทรงเลขาคณิตเป็นหลัก จัดตกแต่งพันธุ์ไม้ต่างเป็นกลุ่มๆ ตัดแต่งให้เป็นรูปแบบที่แน่นอน เพื่อให้เกิดมุมมองที่ดูรื่นรมย์ ทั้งภายในและพื้นที่โดยรอบของสวน และทำให้เกิดความประทับให้แก่ผู้มาเยือนทั้งภาพความสวยงามของสวน เสียงจากธรรมชาติ และกลิ่นความหอมสดชื่นจากพันธุ์ไม้นานาพันธุ์ครับ
สวนแบบ Italian Renaissance Garden นี้จะพบได้ตาม Villas ทั้งใน Rome และ Florence ในยุคศตวรรษที่ 15 และ 16 ยกตัวอย่างเช่น Villa d’Este ใน Tivoli หรือ Villa Garzoni
Cr : www.cntraveller.com
Cr : www.viaggiachetipassa.it
การจัดสวนแบบ Italian Renaissance Garden ได้รับความนิยมมากและได้แพร่หลายไปทั่วทวีปยุโรปในช่วงศตวรรษที่16 รวมไปถึงในฝรั่งเศสด้วยทำให้ในปี 1536 สถาปนิกชาวฝรั่งเศสชื่อ Philibert de l’Orme ได้กลับมาจากโรมและทำการออกแบบสวนตามแนวคิดแบบ Italian Renaissance Garden ให้กับChâteau d’Anet ซึ่งสวนแห่งนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในสวนต้นแบบของ French Garden ในยุคต่อมา
สวนต้นแบบในฝรั่งเศส
สวนต้นแบบในฝรั่งเศส เกิดขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 เป็นการจัดสวนที่แปรสภาพพื้นที่โดยกำหนดให้ตัวปราสาทเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งของสวนทั้งหมด สร้างแนวแกนสมมาตรจากตัวปราสาท เปิดแนวเส้นสายตาให้คล้ายกับว่าสวนไม่มีที่สิ้นสุด โดยมีรูปสลักขนาดใหญ่เป็นจุดหยุดสายตา ในสวนตกแต่งด้วยงานประติมากรรม ไม้ตัดแต่ง สระน้ำ และน้ำพุอย่างสวยงาม สำหรับสวนฝรั่งเศสแล้ว ตัวต้นแบบที่สำคัญของยุคเริ่มแรกนั้นคือ โว เลอ วีกงต์ ( Vaux le Vicomte) และ ชาโต เดอ แวร์ซาย(Chateau de Versailles) ฉะนั้นในหัวข้อแรกบียอนจะพาเพื่อนๆไปทำความรู้จักสองสวนแรกแห่งนี้ในฝรั่งเศสว่ามีความพิเศษอย่างไรครับ
Vaux le Vicomte
Cr :https://www.architecturaldigest.com
ปราสาท โว เลอ วีกงต์ ( Vaux le Vicomte) ได้ถูกสร้างขึ้นโดย นิโกลา ฟูเกต์ (Nicolas Fouquet) เป็นปราสาทฝรั่งเศสแบบบาโรก ที่ตั้งอยู่ในเมืองแมงซี่ ( Maincy) ประเทศฝรั่งเศส “ฟูเกต์” เป็นเสนาธิการกระทรวงการคลังผู้มีหน้าที่ดูแลทรัพย์สมบัติของพระเจ้าหลุยส์ โดยมีความตั้งใจว่าการก่อสร้าง โว เลอ วีกงต์ ( Vaux le Vicomte) จะสะท้อนความยิ่งใหญ่ ร่ำรวย และแสดงถึงความมีอิทธิพลของเขาในฐานะผู้อำนวยการด้านการเงิน
ในด้านออกแบบสวนแห่งนี้ฟูเกต์ได้มอบหมายให้ เลอ โนตร์ (Le Notre) นักวาดภาพวิวทิวทัศน์ ผู้ที่ค้นพบการออกแบบสวนสไตล์ฝรั่งเศสเป็นผู้ออกแบบ และสวนแห่งนี้ก็เป็นต้นแบบแก่สวนหลายๆแห่งในประเทศฝรั่งเศสและประเทศอื่นๆในทวีปยุโรปที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 การสร้างภูมิทัศน์ของสวนแห่งนี้เป็นการวางผังสวนใช้แกนเส้นแบบบาโรกที่ยืดยาวออกไปหน้ายืนดูจากหน้าพระราชวังก็จะมองเห็นสวนอย่างไม่จบไม่สิ้นทอดยาวไปจนสุดตัดเส้นขอบฟ้า ความโดดเด่นจะเป็นพื้นที่ของสวน ไม่ใช่ตัวปราสาท แต่ออกแบบสวนให้สร้างแนวแกนสมมาตรจากตัวปราสาท ตัวปราสาทถูกล้อมด้วยคูน้ำและสวนที่ราบเรียบเหมือนการปูพรมข้างพระราชวัง และล้อมด้านนอกด้วยต้นไม้ใหญ้ที่ถูกเรียงและตัดแต่งให้เท่ากันอย่างสมดุลและสวยงาม ซึ่งการออกแบบตกแต่งเหล่านี้ทำให้เกิดเป็นสวนแบบฝรั่งเศสขึ้นมาโดยแยกออกจากสวนแบบ Italian Renaissance Garden อย่างชัดเจนครับ
Cr : http://artchist.blogspot.com
Chateau de Versailles
“ชาโต เดอ แวร์ซายส์” (Chateau de Versailles) เดิมที่เกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 ซึ่งเป็นสถานที่ไว้รับรองเล็กๆสำหรับไว้ล่าสัตว์ในเมืองแวร์ซายส์ ต่อมาหลังพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้ขึ้นครองราชย์ สวนแห่งแวร์ซายส์นี้จึงได้รับการสร้างขึ้น โดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กำหนดให้ เลอ โนตร์ (Le Notre) เป็นผู้ออกแบบ ซึ่ง เลอ โนตร์ ได้ออกแบบในลักษณะของความสมมาตรตามแนวแกนตะวันออก-ตะวันตก ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากดวงอาทิตย์อันเป็นสมัญญานามของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 หรือ “The Sun King” นั่นเอง
เลอ โนตร์ (Le Notre) ยังคงสร้างแกนหลักพุ่งจากตัวปราสาท เปิดมุมมองสายตาให้ยาวไกลไม่มีที่สิ้นสุด บนแนวแกนวางบ่อน้ำพุ ปลูกต้นไม้เป็นกลุ่มก้อนและควบคุมแนวเส้นเพื่อเน้นให้เกิดแกนที่ต้องการอย่างชัดเจน โดยรอบอาคารจัดเป็นสวนแบบทางการ ซึ่งก็คือการปลูกต้นไม้ และดอกไม้เป็นลวดลายสวยงามคล้ายพรมให้มองเห็นจากบนตึก ทำให้สวนของแวร์ซายส์แห่งนี้เป็นสวนที่สมบูรณ์แบบตามแนวคิดแบบ French Formal Garden
Cr : rhade-zapan.tumblr.com
Cr : www.cntraveler.com
Cr : www.women-on-the-road.com/
อีกหนึ่งสิ่งที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ และเป็นศูนย์กลางของสวนแห่งแวร์ซายส์นี้ คือ บ่อน้ำพุรูปดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นตราของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 โดยจะมีประติมากรรมของเทพเจ้าอพอลโลที่น้ำพุเป็นศูนย์กลางของสวนแห่งนี้ ภายใต้แนวคิดที่ว่า“ภาพที่ปรากฏแก่สายตาเมื่อมองจากตัวปราสาทหรือมองย้อนกลับไปที่ปราสาทก็ตามทีจะมีความต่อเนื่องอย่างไม่สิ้นสุด ซึ่งสื่อไปถึงความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์ที่สามารถสั่งฟ้าและดินได้”
สวนแบบฝรั่งเศส ได้ครองความนิยมมาอย่างยาวนานจนถึงศตวรรษที่ 18 จนต่อมาได้เกิดความนิยมของสวนในรูปแบบใหม่ เนื่องมาจากความน่าเบื่อของการออกแบบสวนที่ซ้ำๆ กันโดยขาดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ สวนแบบอังกฤษหรือ English Landscape Garden จึงเข้ามาแทนที่ในช่วงกลางศตวรรษที่ 18 ตามด้วยกระแสนิยมของสวนแบบจีนที่นิยมการจัดวางสวนเลียนแบบธรรมชาติและปฏิเสธการตัดแต่งสวนแบบเรขาคณิตอย่างสิ้นเชิง ทำให้คฤหาสน์และปราสาทจำนวนมากในฝรั่งเศสเริ่มปรับเปลี่ยนสวนแบบฝรั่งเศสให้เป็นสวนตามสมัยนิยมโดยอาจจะคงสวนแบบดั้งเดิมไว้รอบๆ บริเวณอาคารเท่านั้น ส่วนรอบนอกก็จะนำเอาแนวคิดการจัดสวนแบบธรรมชาติมาแทนที่และในที่สุดการจัดสวนแบบฝรั่งเศสก็ค่อยๆ สูญสิ้นความนิยมไปในที่สุด
เป็นอย่างไรกันบ้างครับสำหรับเรื่องราวความเป็นมาของสวนฝรั่งเศสที่มีประวัติอันยาวนาน ถือว่าเป็นสวนที่มีความสวยงาม มีเอกลักษณ์ชัดเจน เป็นสวนที่มีการตัดแต่งให้อยู่ในรูปทรงเรขาคณิตต่างๆ ทั้งในแง่ของรูปทรงของต้นไม้หรือการจัดวางครับ และสำหรับบทความถัดไปยังคงเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกับสวนฝรั่งเศส แต่เป็นในเรื่องขององค์ประกอบที่ใช้ในการจัดสวนครับ รับรองได้ว่าเพื่อนๆจะอินและสนุกไปกับสวนฝรั่งเศสอย่างแน่นอน ต้องห้ามพลาดนะครับ J
Reference
bareo-isyss.com
gardenthaidesign.com
eyeofthedaygdc.com
french-gardens.com
obonparis.com
talontiew.com
pantown.com
houzz.com
theeditorssociety.com
expedia.co.th
foundationforlandscapestudies.org