13 ตุลาคม ปี 59 น้ำตารินทั่วถิ่นไทย
หลักธรรมพ่อให้ไว้ สถิตย์ในใจทุกคน
พ่อจ๋าอย่าได้ห่วง ลูกทั้งปวงทุกแห่งหน
มุ่งทำหน้าที่ตน สมเป็นคนของราชา
ปวงข้าพระพุทธเจ้า ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อม สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได้
ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า ผู้บริหารและพนักงาน บริษัท บาริโอ จำกัด
300 กว่าวันที่ความโศกเศร้าปกคลุมคนไทย หลังจากที่สูญเสียพ่อหลวงอันเป็นที่รักไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ แม้ทุกวันนี้ความเสียใจจะทุเลาและบางเบาลงบ้าง แต่ภาพและความทรงจำของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชกลับชัดเจนในใจคนไทยเสมอ ด้วยสำนึกในความดีและความรักที่พระองค์ท่านมีให้ปวงชนชาวไทยมาโดยตลอด
นึกย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่นักเขียนยังเด็กๆ กับประโยคสนทนาสั้นๆ ที่ยังจำมาจนถึงทุกวันนี้
“ยายจ๋า ผู้ชายคนนั้นคือใคร ทำไมหนูเห็นมีรูปเขาแทบทุกบ้านเลย”
“คนนั้นนะเหรอ ก็ในหลวงไง ‘ในหลวงของคนไทยทุกคน’ ” ยายพูด พร้อมยกมือขึ้นไหว้เหนือหัว
“แล้วทำไมเราต้องไหว้ และก็วางรูปในหลวงไว้สูงกว่าคนอื่นด้วยจ้ะ”
“พอโตขึ้นเจ้าจะรู้เองว่า ทำแค่นี้ยังน้อยไป กับสิ่งที่ ในหลวงทำเพื่อคนไทย มาทั้งชีวิต”
ผ่านมาแล้ว 20 กว่าปี จนถึงวันนี้เราเข้าใจแล้ว ว่าทำไม “คนไทย” ถึง “รักในหลวงรัชกาลที่ 9” ได้มากมายขนาดนี้ ตลอดเวลาที่เด็กคนหนึ่ง นั่งดูทีวีตั้งแต่ยุคจอขาวดำ มักเห็นพระองค์ทรงบุกป่า ลุยฝน ไปตามสถานที่ต่างๆ พร้อมกับในมือที่ถือแผนที่ขนาดใหญ่ และกล้องถ่ายรูปห้อยคอ ในขนาดนั้นยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมในทุกๆ ที่ที่พระองค์ท่านเสด็จ เราจึงมักเห็น 2 สิ่งนี้เป็นประจำ
แผนที่ ประเทศไทย ก็คือบ้านของพระองค์ท่าน ตรงไหนที่ประชาชนลำบากยากแค้น พระองค์ท่านไม่รีรอที่จะเข้าไปเยียวยา และทำให้คุณภาพชีวิตของผู้คนในพื้นที่นั้นดีขึ้น เรียกได้ว่าไม่มีพื้นไหนในประเทศไทย ที่มหากษัตริย์พระองค์นี้ไม่เคยไป ต่อให้ขึ้นเขา ลงห้วย น้ำท่วม ถนนขาด พระองค์ท่านก็ไม่เคยนิ่งนอนใจ ลงพื้นที่ด้วยพระองค์เอง แม้จะลำบากขนาดไหนก็ตาม
เคยได้ยินมาว่าพระองค์ท่านทรงโปรดการถ่ายรูปเป็นอย่างมาก เราจึงคิดว่ากล้องที่ห้อยพระศอของพระองค์อยู่ตลอดเวลานั้น พระองค์คงใช้เก็บภาพทั่วๆ ไป เมื่อเสด็จไปตามที่ต่างๆ แต่ใครเลยจะรู้ว่ากล้องถ่ายรูปของพระองค์ท่านนั้น ไม่ใช่เพียงถ่ายรูปวิวสวยๆ หรือภาพของประชาชนที่มารับเสด็จเท่านั้น เพราะกล้องตัวนี้สามารถเปลี่ยนพื้นที่ต่างๆ ให้กลายเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ขึ้นมาได้ ดังเช่นครั้งหนึ่งที่พระองค์ทรงถ่ายรูปพื้นดินเปล่าๆ จนคนรอบข้างแปลกใจว่าเหตุใดท่าจึงถ่ายแต่รูปพื้นดิน จนเวลาผ่านไปทุกคนจึงเข้าใจเมื่อแผ่นดินที่แห้งแล้งว่างเปล่ากลายเป็นเขื่อนที่ช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตของประชาชนในหลายพื้นที่ได้ถึงทุกวันนี้
ซึ่งการกระทำเหล่านี้ คือคำตอบว่าทำไมคนไทยถึงรัก “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช”
ที่มารูปภาพ : dhammathai.org
ทำไมคนไทยถึงรักพระองค์ท่านได้มากมายขนาดนี้?
ถ้าเป็นคนยุคก่อนๆ ที่ได้เห็นพระองค์ท่านทรงงาน ก็คงตอบได้ไม่ยากว่า “เพราะในหลวงเป็นมากกว่าพระเจ้าแผ่นดินที่ปกครองประเทศไทย แต่ในหลวงคือพ่อที่ให้ชีวิตลูกได้ลืมตาอ้าปาก มีชีวิตที่ดีขึ้นมาได้ พระองค์ท่านทำงานอย่างหนักเพื่อให้คนในประเทศของพระองค์พ้นจากความยากจน จนมีอยู่มีกินได้อย่างพอพียง”
แล้วคนยุคหลังๆ ล่ะ?
คนที่ไม่เคยเห็นพระองค์ท่านประกอบพระราชกรณียกิจต่างๆ อย่างเช่น ตัวผู้เขียนเอง ก็เป็นหนึ่งในคนกลุ่มนี้ที่เคยเห็นท่านผ่านทีวีในช่วงข่าวพระราชสำนักทุกๆ วัน วันละ 15-30 นาที กับการทรงงานและการลงพื้นที่ต่างๆ ไม่ซ้ำกัน ตั้งแต่หน้าจอยังเป็นขาวดำจนเปลี่ยนเป็นจอสี ก็ยังมีให้ชมกันไม่มีหมด ประกอบกับเรื่องเล่าจากบรรพบุรุษมากมายที่ส่งต่อถึงเราจากรุ่นสู่รุ่น มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะทำให้คนยุคหลัง “รัก” พระองค์ท่านได้อย่างสนิทใจเหมือนกับที่นักเขียนเป็นอยู่ในตอนนี้
นอกจากจะเป็น “ในหลวง” ที่ทรงงานหนักในแบบที่เราได้เห็นตามสื่อต่าง ๆ แล้ว ในอีกมุมหนึ่งพระองค์ท่านยังเป็นบุคคลที่มีพระราชอารมณ์ขันยิ่งนัก จนทำให้คนรอบข้างที่เคยเข้าเฝ้าและถวายงาน หลงรักในความเป็นกันเองนั้น เช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป ที่เคยรับเสด็จอย่างใกล้ชิด มักจะเล่าต่อกันมาว่าพระองค์ท่านทรงไม่ถือตัว และไม่เคยรังเกียจคนจน แถมยังให้เกียรติประชาชนด้วยซ้ำ เพราะพระองค์ท่านเคยตรัสกับพระราชินีว่าเวลาพูดคุยกับประชาชนอย่ายืนค้ำหัวประชาชน
ที่มารูปภาพ : hilight.kapook.com
พระราชอารมณ์ขันของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ
นักเขียนเองได้เคยอ่านหนังสือเรื่องพระราชอารมณ์ขันจากพระโอษฐ์ ที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ของพระองค์ท่าน ที่ชวนให้อมยิ้มได้ตลอด มีใจความหนึ่งที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ เป็นประโยคที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงตรัสกับมหาดเล็กคนสนิท
ครั้งหนึ่งได้มีการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางนิติศาสตร์ พระองค์ก็รับสั่งกับมหาเล็กใกล้ชิดว่า “ฉันได้เป็นหมอความแล้ว”
ต่อมาได้มีการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางการแพทย์ ก็รับสั่งว่า “คราวนี้ฉันได้เป็นหมอยา”
ต่อมาอีกไม่นานได้มีการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางการดนตรี ก็รับสั่งว่า “คราวนี้เป็นหมอลำ”
นอกจากนี้ยังมีบทสนทนาอื่นๆ ที่แสดงให้เห็นว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช” ทรงมีพระอามรมณ์ขันยิ่งนัก เช่น
ทำไมหน้าเหมือนในหลวงจัง?
มีเรื่องเล่าน่ารัก ๆ เมื่อพระองค์ทรงเสด็จที่ตลาดสด เพื่อแวะไปเสวยก๋วยเตี๋ยว และแม่ค้าก็ได้เอ่ยทักด้วยความสงสัยจึงทูลถามท่านว่า “ทำไมหน้าเหมือนในหลวงจัง?” พระองค์ก็ได้แต่ยิ้มและไม่ตอบอะไร ทรงจ่ายเงินค่าก๋วยเตี๋ยวแล้วตรัสชมว่าก๋วยเตี๋ยวอร่อย ปล่อยให้แม่ค้างงต่อไป จนภายหลังแม่ค้าคนนั้นได้ทราบว่าผู้ชายคนนั้นคือพระองค์จริงๆ ก็ได้แต่ปราบปลื้มและคิดว่าเป็นบุญยิ่งนักที่ได้รับเสด็จพระองค์ท่านอย่างใกล้ชิด
ทรงพระนามว่าเกาะช้าง
ครั้งหนึ่งพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินทางทะเล ระหว่างทางผ่านเกาะช้าง ทรงถามข้าราชการท้องถิ่นคนหนึ่งว่า “เกาะนั้นชื่ออะไร” ข้าราชการทูลตอบว่า “เกาะนั้นทรงพระนามว่า เกาะช้างพะยะค่ะ” ตรัสว่า “ถ้างั้นก็เป็นญาติกับฉันน่ะสิ” (ถ้างงก็กลับไปอ่านอีกรอบ—-เฉลยให้ก็ได้!! ข้าราชการตื่นเต้นจนพูดผิดพูดถูก ใช้ราชาศัพท์กับเกาะช้างเลยไงล่ะคะ^^)
ชื่อเดียวกันเลย
การใช้คำราชาศัพท์ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยล่ะค่ะ ยิ่งเมื่อได้มีโอกาลทูลกับพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์ ยิ่งตื่นเต้นจนพูดผิดพูดถูกกันไปใหญ่ ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ รองราชเลขาธิการ เคยเล่าว่า ดวยพระบุญญาธิการและพระบารมีในพระองค์นั้นมีมากล้น จนบางคนถึงกับไม่อาจระงับอาการกิริยาประหม่ายามกราบบังคมทูลฯ จึงมีผิดพลาดเสมอ แม้จะซักซ้อมมาเป็นอย่างดีก็ตาม
ครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน มีข้าราชการระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงานว่า “ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า “พลตรีภูมิพลอดุลยเดช” ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลรายงาน…” เมื่อคำกราบบังคมทูล ในหลวงรัชกาลที่๙ ทรงแย้มพระสรวลอย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า “เออ ดี เราชื่อเดียวกัน…” ข่าวว่าวันนั้นผู้เข้าเฝ้าฯต้องซ่อนหัวเราะขำขันกันทั้งศาลาดุสิดาลัย เพราะผู้กราบบังคมทูลรายงานตื่นเต้นจนกระทั่งจำชื่อตนเองไม่ได้
อีกหนึ่งเรื่องราวที่ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ นั่นก็คือเรื่อง “ความรัก” พระองค์ท่านทรงมีความรักที่มั่นคงต่อสมเด็จพระราชินีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น
รักตั้งแต่วัยเยาว์จนได้ครองคู่กันเป็นคู่ชีวิตตราบสิ้นลมหายใจ ทุกวันนี้คงจะหาไม่ได้ง่าย ๆ แล้ว ยิ่งได้อ่านเรื่องราวความรักของท่าน ยิ่งรู้สึกว่าท่านเป็นผู้ชายที่ดีและเพียบพร้อมในทุก ๆ ด้านจริง ๆ
ที่มารูปภาพ : augustman.com
เรื่องเล่าน่ารัก ๆ เมื่อครั้งพระองค์ทรงได้พบพระราชินีเป็นครั้งแรก
“เมื่อตอนพระองค์อายุ 20 พรรษา ท่านเกิดประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ พอตื่นขึ้นมาพระองค์บอกว่านอกจากจะคิดถึงพระชนนีแล้ว ก็คิดถึงใบหน้าของหม่อมราชวงศ์ สิริกิต จึงให้คนเรียกมาเข้าเฝ้า จากนั้นพระองค์ก็ยื่นพระฉายาลักษณ์ของพระราชินีที่พกติดตัวตลอดเวลาให้ดูและทำการสารภาพรัก โดยบอกว่าพระองค์ชอบตั้งแต่ก่อนแรกพบกันที่กรุงปารีส เมื่อครั้งที่บิดาของ ม.ร.ว สิริกิต ได้ไปเป็นทูตประจำการที่อังกฤษ ทำให้ในหลวงต้องนั่งรถกว่า 600 กิโลเมตรเพื่อไปหาและพบหน้า ม.ร.ว สิริกิต เป็นประจำ จนวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2492 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของพระราชินี ในหลวงได้มอบแหวนและขอแต่งงาน”
ในส่วนพระราชินีนั้นทรงเล่าเหตุการณ์รักแรกพบด้วยความเขินว่า…
พระองค์บอกว่าไปรอรับเสด็จในหลวงนานมาก บอกว่าจะมาถึง 3โมง แต่ความจริงกลับมาถึงเกือบทุ่ม ทำให้ต้องฝึกถอนสายบัวรอเสียจนเมื่อย จึงเป็นการเกลียดแรกพบมากกว่ารักแรกพบ
แม้จะผ่านมาหลายปีแต่ความรักของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ก็ยัง “เหมือนเคย” ต่อ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
ที่มารูปภาพ : pinterest.com
เรื่องเล่าความน่ารักของความรักที่พระองค์ทรงมีต่อพระราชินี เป็นเรื่องราวที่ชวนอมยิ้มและมีความสุขตามจริง ๆ ครั้งหนึ่ เฟซบุ๊กส่วนตัวของ Pinkan Tansuwanrat หรือ คุณกุ๊ก-ปิ่นกาญจน์ ตันสุวรรณรัตน์ ลูกสาวของ พล.ร.อ.สุวรรณ ตันสุวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการพิเศษ กรมราชองครักษ์ ผู้ถวายงานใกล้ชิดกับในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้โพสต์เล่าเรื่องราวในวันครบรอบวันอภิเษกสมรส โดยได้บรรยายไว้ว่า…
“เรื่องเล่าจากความทรงจำ…ในวโรกาสครบรอบวันอภิเษกสมรสครั้งหนึ่งหลายปีก่อน พระองค์ทรงมีพระกระแสรับสั่งให้จัดเลี้ยงส่วนพระองค์ เป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ และเรียบง่ายที่สุด แต่ความพิเศษนั่นอยู่ที่ทรงให้เปิดพรีเซนเทชั่น ที่รวบรวมภาพของพระองค์และสมเด็จ มีทั้งภาพคู่ และภาพของสมเด็จตั้งแต่สมัยพระองค์ยังสาวแรกรุ่น โดย เพลงประกอบที่พระองค์เลือกคือเพลงที่ร้องว่า “…ก็เพราะว่าเธอน่ารัก ทุก ๆวัน จนไม่อาจเปลี่ยนใจฉัน ที่มีให้เธอได้เลย ฉันก็คงต้องบอก ฉันรักเธอ เหมือนเคย…” ซึ่งนั่นก็คือเพลง “เหมือนเคย” ของนักร้องชื่อดังอย่าง บอย โกสิยพงษ์ ซึ่งเป็นผู้ประพันธ์บทเพลง และขับร้องผ่านเสียงอันไพเราะ นุ่มนวลของนักร้องและนักแสดงชื่อดังระดับตำนานอย่าง อาต้อย เศรษฐา ศิระฉายา นั่นเอง…
อีกเรื่องราวที่แสนประทับใจของ “พ่อ” ในความเท่ทางคารมและเปี่ยมด้วยความโรแมนติก เผยแพร่จากเฟซบุ๊ก Information Division of OHM ของกองข่าว สำนักราชเลขาธิการ อาคารศาลาลูกขุนในพระบรมมหาราชวัง เป็นบทสัมภาษณ์ตอนหนึ่งที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานสัมภาษณ์นักข่าวต่างประเทศ เมื่อครั้งเสด็จ ฯ เยือนสหรัฐอเมริกา ในปี ๒๕๐๓ นักข่าวต่างประเทศกราบบังคมทูลถามว่า ความว่า…
“เหตุใดพระมหากษัตริย์ไทยจึงไม่ค่อยยิ้ม” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงผายพระหัตถ์ไปทางสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ แล้วตรัสสั้น ๆ ว่า “She is my smile”
ไม่เพียงเท่านี้ความรักของพระองค์ยังถูกถ่ายทอดออกมาเป็นบทเพลงพระราชนิพนธ์ที่ไพเราะและหวานที่สุด เนื่องจากทรงพระราชนิพนธ์แก่พระราชินี นับนับเป็นเพลงแรกที่ทรงพระราชนิพนธ์ทำนองเพลงพร้อมคำร้องภาษาอังกฤษ ขณะนั้นมีพระชนมพรรษา 40 พรรษา และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ ศ.ดร.ประเสริฐ ณ นคร ประพันธ์คำร้องภาษาไทย
มุมน่ารัก ๆ ของในหลวงรัชกาลที่ 9 กับสัตว์เลี้ยง
ในหลวงรัชกาลที่ ๙กับคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง
ที่มารูปภาพ : Sugarcane
คุณทองแดง เป็น “สุนัขประจำรัชกาล” เนื่องจากคุณทองแดงเป็นสุนัขที่ชาญฉลาดมาก เช่น พระองค์ท่านทรงเรียกให้คุณทองแดงขึ้นเฝ้า เพื่อที่จะทรงชั่งน้ำหนัก เพียงแค่รับสั่งว่าทองแดงไปชั่งน้ำหนัก คุณทองแดงก็จะเดินขึ้นตาชั่ง แต่หากตัวคุณทองแดงบังอยู่ ก็จะเบี่ยงตัวหลบ ให้พระองค์ท่านทรงก้มลงทอดพระเนตรสเกลได้โดยสะดวก คุณทองแดงเป็นสุนัขที่ไม่เคยเข้ามาเคล้าเคลียในหลวงเลยในเวลาที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนิน คุณทองแดงจะนำเสด็จอยู่ข้างหน้าพระองค์ท่านอยู่เสมอ หรือแม้แต่เวลาที่พระองค์ท่านประทับ (นั่ง) คุณทองแดงก็จะนั่งหมอบอยู่ด้านหน้า ใช้สองขาหน้าเกยกันเหมือนคนกำลังหมอบกราบ ซึ่งจะอยู่ท่านี้ตลอด
เมื่อครั้งที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ไม่ได้พำนักที่พระราชวังเป็นเวลาหลายวัน และคุณทองแดงไม่ได้เสด็จตามไปด้วย ระหว่างนั้น คุณทองแดงกินไม่ได้นอนไม่หลับ น้ำหนักลดลงมาก และป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาล ซึ่งคุณหมอสรุปอาการว่าเป็น “โรคเครียด” เนื่องจากทรงคิดถึงพระองค์ท่าน ภายหลังไม่ว่าพระองค์จะเสด็จพระราชกรณียกิจที่ไหน จึงมักจะพาคุณทองแดงไปด้วยเสมอ
แม้ในยามที่คุณทองแดงป่วย พระองค์ท่านก็คอยดูแลอย่างใกล้ชิด เมื่อครั้งที่คุณทองแดงต้องผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี ในหลวงทรงอยู่เฝ้าทั้งคืน ตื่นเช้ามาคนที่มารอรับเสด็จได้เห็นภาพในหลวงทรงเข็นคุณทองแดง ซึ่งนั่งอยู่ในกรงรถเข็น ลงจากตึกด้วยพระองค์เอง เพื่อกลับวังไกลกังวลพร้อมกัน
ที่สำคัญในหลวงทรงรักและผูกพันกับคุณทองแดงมาก จนถึงขนาดให้คุณทองแดงมาร่วมถ่ายรูปลงโปสการ์ดหรือบัตรอวยพรปีใหม่ที่ในหลวงทรงมอบคำอวยพรให้คนไทยในทุกๆ ปีด้วย
คุณติโต
ที่มารูปภาพ : media-cache-ak0.pinimg.com
“คุณติโต” แมวเพศผู้ พันธุ์วิเชียรมาศ ที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเลี้ยงคู่กับ ติต้า แมวเพศเมีย ในระหว่างที่ได้ประทับอยู่ ณ ตำหนักเมืองโลซาน ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2487 มีลักษณะเป็นแมวสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาสีฟ้าเป็นประกาย ใบหู พร้อมกับส่วนต่างๆ ของร่างกายจะเป็นสีเข้มกว่าบริเวณลำตัวซึ่งจะมีสีที่อ่อนกว่า เรียกได้ว่าเป็นแมวที่มีความน่ารัก และโดดเด่นไม่น้อย คุณติโต เป็นแมวที่ซุกซน และน่ารักเหมือนแมวเหมียวทั่วๆ ไป เช่น ชอบหนีเที่ยวเป็นประจำจนบางครั้งก็เข้าพระตำหนักไม่ได้ แต่คุณติโตก็ทำให้พระองค์ท่านประทับใจเป็นอย่างมาก เวลาที่พระองค์ทรงเล่นเปียโน คุณติโตมักจะมาเข้าเฝ้าเสมอ เหมือนกับเคลิบเคลิ้มไปกับการบรรเลงท่วงทำนองของพระองค์ท่าน
พระองค์ทรงประทับใจ ในตัวของ “ติโต” มาก จึงทรงแปล “Tito” เรื่องราวชีวประวัติของ ‘ยอซีป บรอซ ตีโต’ รัฐบุรุษชาวยูโกสลาเวีย บุคคลผู้เป็นที่มาของชื่อคุณติโต เป็นพระราชนิพนธ์เรื่อง “นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ” ให้พสกนิกรคนไทยได้ประจักษ์ถึง วีรกรรมที่ควรจะจดจำของ “ติโต” กับการเคลื่อนไหวต่อสู้อิทธิพลของฮิตเลอร์ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ปลานิล
ที่มารูปภาพ : FB. Manoch Kraiyarach
ในหลวงรัชกาลที่ 9 ไม่ทรงเสวยปลานิล เพราะพระองค์ท่านทรงเลี้ยงปลานิล เนื่องจากสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ ได้ทรงจัดส่งปลานิลทูลเกล้าถวายในหลวงรัชกาลที่ 9 พระองค์จึงได้เป็นผู้เพาะพันธุ์ปลานิล ในบ่อเลี้ยงของพระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นองค์แรกของประเทศไทย แล้วนำมาแจกจ่ายให้กับกรมประมง ปลานิลจึงกลายเป็นปลาพระราชทาน และกลายเป็นอาหารเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคนไทยในปัจจุบัน
ส่งท้ายด้วยน่ารักๆ ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่หลายคนยังไม่เคยรู้มาก่อน พระองค์ทรงโปรดการทำอะไรด้วยพระองค์เอง ครั้งหนึ่งเคยทรงขับรถไปสอนนักเรียนโรงเรียนวังไกลกังวล เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่ประทับใจมาก ดังคลิปประกอบในมิวสิควิดีโอเพลง Still on My Mind ที่เด็กนักเรียนโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัยร่วมกันขับร้องนี้