ประเทศอิตาลีถือเป็นอีกหนึ่งประเทศบนโลกที่มีเรื่องราวมากกมาย ทั้งความงดงามของศิลปะ วัฒนธรรม ศาสนา สถานที่สำคัญ ความสวยงามของเรื่องราวในประวัติศาสตร์ และสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆที่มีมากมาย และหลากหลาย
เมื่อพูดถึงประเทศอิตาลี ก็พลาดไม่ได้ที่จะพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆที่สำคัญ ซึ่งประเทศอิตาลีเป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีชื่อเสียงที่โด่งดัง ทั้งด้านความงามทางสถาปัตยกรรม งานออกแบบต่างๆทั้งเสื้อผ้า แฟชั่น รวมทั้งงานออกแบบตกแต่งภายในของสถานที่ต่างๆ และยังเป็นต้นกำเนิดของอาหาร ดังนั้นสถานที่ท่องเที่ยวล้วนเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจสำหรับนักออกแบบ และคนรักในการท่องเที่ยว และความหรูหรา
เดือนนี้เราจึงยังคงนำเสนอสถานท่องเที่ยวที่สำคัญ และไม่ควรพลาดของประเทศอิตาลี เมื่อได้ไปเยือน นอกเหนือจากสถานที่ในทวีปยุโรป ซึ่งมีสถานที่ใดบ้างไปดูกันเลยดีกว่าค่ะ…
กรุงโรม (Rome)
สถานที่แรกที่จะพาไปคือ กรุงโรม หรือโรมา เป็นศูนย์กลางความเจริญมาตั้งแต่ยุคโบราณ จนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีระยะเวลากว่า 3000 ปี กรุงโรมถือเป็นเมืองที่มีความเจริญเป็นอย่างมากของโลก ซึ่งในอดีตอาณาจักรโรมัน ได้ขยายพื้นที่เป็นขนาดกว้าง
ปัจจุบันกรุงโรมยังคงทิ้งร่องรอยทางประวัติศาสตร์ในยุคต่างๆแสดงให้เห็นทั่วไปตั้งแต่ โรมิวลุสก่อตั้งตั้งกรุงโรมขึ้นบนเนินเขาปาลาติเน ริมแม่ทำไทเบอร์เมื่อ 753 ปีก่อนศริสตศักราช สัญลักษณ์แม่หมาให้นมทารก 2 คน กลายเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของกรุงโรมมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อเวลาเปลี่ยนไปกรุงโรมก็ขยายอาณาจักรอย่างกว้างใหญ่จนถึงปี ค.ศ. 1870 อิตาลีสามารถรวมประเทศได้และประกาศให้กรุงโรมเป็นเมืองหลวง ขณะเดียวกันสำนักวาติกันก็ได้ดินแดนไปส่วนหนึ่งทำให้เป็นนครอิสระ และปกครองตนเองโดยพระสันตะปาปา ทำให้กรุงโรมกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เพราะภายในกรุงโรมมีสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ศิลปะ วัฒนธรรมที่ยังคงเหลือไว้อย่างสมบูรณ์
กรุงโรมตั้งอยู่ในแคว้นลาซิโอค่อนไปทางชายฝั่งตะวันตก ตรงเกือบกึ่งกลางคาบสมุทรอิตาลี มีแม่น้ำไทเบอร์ไหลผ่านกลางเมือง ทำให้กรุงโรมถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1 คือทางตะวันออกเป็นเขตเมืองเก่าโรมัน สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญจะตั้งอยู่บริเวณนี้ ส่วนฝั่งตะวันตกเป็นที่ตั้งของสำนักวาติกันและเขตตราสเตเวเร เป็นย่านที่อยู่อาศัยเก่าแก่ของชาวยุคกลาง บริเวณนี้จะมีตึกราวบ้านช่องดูทรุดโทรมแต่ก็ยังคงความสวยงามเหมาะแก่การเดินเล่น ซึ่งจะได้เห็นสีสันและภาพชีวิตที่แท้จริงของชาวกรุงโรม
ความเก่าแก่ของกรุงโรมนี้ทำให้เกิดเป็นเสน่ห์ของกรุงโรม ซึ่งตึกรามบ้านช่อง สถาปัตยกรรมที่เกิดจากการบรรจงสร้างด้วยศิลปะอันโดดเด่นของแต่ละยุคสมัย ไม่ว่าจะเดินไปทางไหนก็เจองานศิลปะที่สวยงามทำให้กรุงโรมคือสถานที่สำคัญที่ไม่ควรพลาดสำหรับประเทศอิตาลี
พระราชวังวาติกัน(Vatican Palace)
กรุงวาติกัน หรือนครรัฐวาติกัน ในแง่มุมของนักท่องเที่ยวยากเราๆคงแยกไม่ออกจากกรุงโรม เพราะกรุงวาติกันได้ก่อตั้งอยู่ในกรุงโรม ซึ่งมีที่เที่ยวหลักๆ 3 สถานที่ด้วยกัน คือ จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ พิพิธภัณฑ์วาติกัน
กรุงวาติกัน เป็นรัฐที่ปกครองตนเอง มีรั้วล้อมรอบบริเวณ มีพื้นที่เพียง 0.44 ตารางกิโลเมตร แต่ไม่รวมมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ซึ่งในกรุงาติกันมีสถานที่ไม่มากนักแต่หากได้ไปเยือนกรุงโรมก็ไม่พลาดที่จะแวะเข้าไปในนครรัฐวาติกันแห่งนี้ ซึ่งถึงแม้จะเป็นรัฐเล็กๆแต่เต็มไปด้วยความเจริญมทั้งสถานีรถไฟ สถานีวิทยุ สถานีโทรทัศน์ แสตมป์ ธนาคาร ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ โรงพิมพ์ และเรือนจำ เป็นของตนเอง นอกจากนี้นครรัฐวาติกันยังครอบครองพื้นที่ภายนอกบางส่วนเช่น กัสเตลโลกันดอลโฟ พระราชวังฤดูร้อนขอพระสันตะปาปา และโบสถ์อีก 13 แห่ง ซึ่งสถานที่แห่งนี้ปกครองโดยพระสันตะปาปาเราไปดูกันว่าสถานที่แห่งนี้มีสถานที่ใดน่าสนใจบ้าง
จัตุรัสเซนปีเตอร์ เป็นลานกว้างหน้าวิหารเซนต์ปีเตอร์ เผ็นผลงานการออกแบบของแบร์นีนีซึ่งจัดวางเสาตรงทางเดินทั้งสองข้างเป็นรูปครึ่งวงรี ซึ่งสิ่งที่น่าทึ่งคือเมื่อลงไปยืนอยู่บนจุดกึ่งกลางระหว่างเสโอเบลิสก์กับน้ำพุของแต่ละด้าน จะมองเห็นเฉพาะเสาแถวหน้าแถวเดียวเท่านั้น ซึ่งถือเป็นความพิเศษของสถานที่แห่งนี้ และเมื่อเข้าไปก็จะเป็นมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ภายในจะมีประติมากรรมต่างๆมากมายให้ได้ชมกันทั้งการตกแต่งภายใน และรูปภาพบนฝาผนังแต่สถานที่แห่งนี้ควรแต่งกายอย่างสุภาพเพราะถือว่าเป็นสถานที่ทางศาสนา
ถัดมาก็คือพิพิธภัณฑ์วาติกันทางเข้าจะอยู่ทางด้านเหนือต้องเดินอ้อมกำแพงไป มีความสูง 4 ชั้นสร้างขึ้นจากฝีมือของศิลปินชื่อดังของอิตาลีอย่าง มิเคลันเจโล บรามันเต ราฟาเอล และแบร์นีนี ภายในพิพิธภัณฑ์ก็จะมีการเก็บ และจัดแสดงผลงานทางด้านศิลปะมากมาย รวมทั้งศิลปวัตถุของศาสนจักร ตั้งแต่ยุคอียิปต์ กรีก โรมัน มาจนถึงศิลปะในยุคกลาง ยุคเรอเนสซองซ์ บารอก จนถึงยุคศตวรรษที่ 15-19 ที่หาชมได้ยาก ดังนั้นการไปเยือนกรุงวาติกันถือเป็นการศึกษางานศิลปะ และงานออกแบบของยุคต่างๆเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งใครที่ไปเยือนกรุงโรม ก็ต้องแวะไปยังรัฐวาติกันแห่งนี้
น้ำพุเทรวี่ (Trevi fountain)
เป็นน้ำพุที่โด่งดังที่สุดแห่งกรุงโรม ความสวยงามจัดได้ว่าไม่เป็นสองรองใคร ซึ่งใครที่ไปเยือนกรุงโรมก็พลาดไม่ได้ที่จะแวะไปชมความสวยงามของน้ำพุเทรวี่ และต่างเก็บภาพเป็นที่ระลึก ซึ่งน้ำพุเทรวี่ยังมีความเชื่อแก่ผู้ที่ไปเยือนว่าการหันหลังให้น้ำพุ แล้วโยนเหรียญข้ามหัวไหล่ลงไป จะทำให้เราได้กลับไปเยือนยังกรุงโรมอีกครั้งหนึ่งซึ่งได้รับอิธิพลมากจากภาพยนต์เรื่อง La Dolce Vita:Tree Coins in a Fountain และจะต้องโยนเหรียญให้ครบสามเหรียญพร้อมทั้งขอพร 3 ประการ
น้ำพุแห่งนี้แตกต่างจากน้ำพุสถานที่อื่นตรงที่มีฉากหลังสูงใหญ่เหมือนเวทีละคร ตกแต่งด้วยรูปสลักหินอ่อน ตรงกลางมีรูปเทพเจ้าเนปจูนขนาบข้างด้วยเทพไตรตันที่กำลังปราบม้าพยศมีน้ำไหลเป็นแพออกมาเหมือนน้ำตกที่ถูกส่งมาจากท่อส่งน้ำตั้งแต่สมัยโรมัน นอกจากนี้น้ำพุเทรวี่มีชื่อมาจากชื่อของสาวพรหมจารีย์ชื่อทริเวีย ซึ่งได้พาทหารโรมันไปพบตาน้ำธรรมชาตินอกกรุงโรมเมื่อ 19 ปีก่อนคริสตกาล จักรพรรดิออกัสตัสจีงให้สร้างสะพานส่งน้ำมายังกรุงโรมจนถึงปัจจุบัน
ซึ่งความสวยงามของน้ำพุเทรวี่เป็นผลงานของนิโคลา ซัลวี สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1732 น้ำพุเทรวี่ได้เนรมิตด้วยศิลปะสไตล์บารอก บนโครงสร้างสถาปัตยกรรมแบบกรีกโรมันโบราณ ทำให้น้ำพุเทรวี่ถือเป็นแลนมาร์คที่สำคัญที่ไม่ควรพลาดอีกที่หนึ่งในประเทศอิตาลี
บันไดสเปน (Piazza di spagna )
ปิอัซซ่า ดิ สปัญญา และ บันได้สเปน เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่เต็มไปด้วยผู้คน จัตุรัสแห่งนี้ได้ตั้งชื่อตามสถานทูตสเปนประจำกรุงวาติกัน ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศใต้ในปาลัซโซ ดิ สปัญญา
บริเวณเชิงบันไดจะเห็นน้ำพุบาร์คัสเซียลักษณะรูปร่างคล้ายๆเรือกำลังรั่ว มีน้ำพุออกจากปากดวงอาทิตย์ลงไปสู่อ่างน้ำเบื้องล่าง ออกแบบโดย ปิเอโตร แบร์นีนี ถัดไปจะเห็นขั้นบันไดทอดขึ้นสู่เนินเขาด้านบนหลายขั้น มีเสาโอเบลิสก์ชัลลัชเชียนตั้งโดดเด่นอยู่ด้านหน้า โบสถ์ตรินิตะ เด มอน ติซึ่งเป็นที่มาของชื่อสถานที่แห่งนี้ในภาษาอิตาลีว่า Scalinata della Trinita dei Montri
บันได้สเปนสวยงามตามศิลปะแบบรอกโคโค ผู้ออกแบบคือฟราน เชสโก เด ซันติส สร้างขึ้นระหว่าง 1723-1726 ถวายแด่พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ปัจจุบันเป็นสถานที่ที่ผู้คนนิยมไปนั่งเล่น มีศิลปินเปิดหมวกบรรเลงเพลงให้ความสำราญ และยังมีจิตรกรที่คอยรับจ้างวาดภาพเหมือนให้แก่นักท่องเที่ยว และมีรถม้าบริการเที่ยวบริเวณรอบๆ นอกจากนี้บริเวณนี้ยังมีแหล่งช๊อปปิ้งบนถนนเวียคอนด็อตที่ทอดยาวอยู่ด้านหน้า ทำให้บันไดสเปนถือเป็นสถานที่นั่งพักของเหล่านักช๊อปสินค้าแบรนด์เนมหรู และนักท่องเที่ยวที่มาเยือนอิตาลี
มิลาน (Milan)
มิลาน หรือ มิลาโน เมืองหลวงของแคว้นลอมบาร์ดีทางตอนเหนือของอิตาลี และถือเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศที่รองจากกรุงโรม เป็นเมืองที่ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งแฟชั่นของโลก มีความเจริญรุ่งเรืองทางการค้า อุตสาหกรรม และการเดินทางที่สำคัญเมืองหนึ่งในทวีปยุโรป มิลานเป็นเมืองแห่งศิลปะงานออกแบบ แต่สถานที่ที่โดดเด่นมีเพียงที่เดียวคือ วิหารดูโอโม
มิลานถือเป็นเมืองแห่งแฟชั่นเพราะผู้คนภายในเมืองจะแต่งตัวอย่างโก้หรู นำสมัย และโดยทั่วไปบริเวณรอบๆก็เต็มไปด้วยตึกสูงใหญ่ และความเจริญรุ่งเรื่องเพราะเป็นเมืองที่เป็นที่ตั้งของบรรดาห้างร้าน ตลาดหุ้น รวมทั้งร้านค้าแบรนด์เนมสุดหรูคนส่วนใหญ่ที่ไปมิลานจึงมักไปดูงานออกแบบ แฟชั่น และงานศิลปะ มิลานยังมีงานออกแบบเฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งภายในเป็นประจำทุกปีทำให้เหล่านักออกแบบที่มีโอกาสไปเยือนอิตาลีก็ไม่พลาดที่จะไปเยือนเมืองแฟชั่น และงานดีไซด์อย่างเมืองมิลาน
นอกจากนี้มิลานยังมีถนนสายแฟชั่นที่เป็นพื้นที่สามเหลี่ยมระหว่างดูโอโม กัลเลเรียวิตโตริโอ เอมานูเอล เรื่อยไปตามเวียเอมานูเอลที่ทอดตัวโค้งไปทางตะวันออกไปจนถึงถนนมอนเต นาโปเลดอเน เวียเดลลา สปีกา วกกลับลงมาจนถึงปิอัซซ่า เดลลา สกาลา รวมทั้งพื้นที่ภายในวงล้อมดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นถนนสายแฟชั่นของมิลาน อยู่อย่างครบถ้วน เช่น อาร์มานี วาเลนติโน แวร์ซาเซ เฟนดี แฟร์มาโก ลาแปร์ลา มอสคีโน ปอลลีนี ฟีลา ตัคคานี ปราดา กุชชี เป็นต้น
นอกจากนี้มิลานยังได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางเมืองแฟชั่นระดับโลก เป็นเมืองหลวงของงานด้านดีไซด์ทั้งแฟชั่น รถยนต์ บรรดาสินค้าต่างๆทั้งของใช้ภายในบ้าน ต่างก็ได้รับการออกแบบจากสถาบันออกแบบตรีเอนาเลในมิลาน ส่งผลให้มิลานทำรายได้ให้แก่ประเทศอิตาลีเป็นอย่างมาก
วิหารดูโอโม่ (Duomo Cathedral)
มหาวิหารดูโอโมถือเป็นสถานที่ที่ใหญ่รองจากมหาวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ในกรุงโรม แต่ถือได้ว่าเป้นวิหารแบบโกธิกที่ใหญ่ที่สุดในโลก เริ่มก่อสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1386 สมัย จีอัน กาเลอัซโซ แห่งตระกูลวิสคอนติ ซึ่งได้สร้างถวายให้แก่พระแม่มาเรีย ซึ่งใช้ระยะเวลาที่ยาวนานมากวัสดุที่นำมาใช้ก่อสร้างคือหินอ่อน ซึ่งวิหารดูโอโมทำจากหินอ่อนเกือบทั้งหมด ภายในมีรูปสลักของพระแม่มาเรียหุ้มด้วยทองตั้งเด่นเป็นประกายสูงสุด และนอกจากนี้บริเวณยอดก็ประดับตกแต่งไปด้วยรูปสลักนักบุญองค์ต่างๆที่ทำจากหินอ่อน ส่วนอื่นๆก็มีรูปปั้นซึ่งมีมากกกว่า 2245 รูป
ผู้คนมักจะเรียกวอหารแห่งนี้ว่า “วิหารเม่น” เพราะบริเวณด้านนอกมียอดปลายแหลมสลักลวดลายอย่างละเอียด ภายนอกของวิหารดูโอ่อ่า และประณีต และภายในกลับเรียบง่าย และภายใต้ความโอ่อ่านี่เองสามารถบรรจุคนได้ถึง 40,000 คน ซึ่ง”มาร์ก ทเวน” นักประพันธ์ชื่อดัง ได้ให้ฉายาที่แห่งนี้ว่า “กวีนิพนธ์ของหินอ่อน” ซึ่งนอกจากนี้วิหารแห่งนี้ยังมีลิฟต์ที่พาขึ้นไปยังยอดบนสุดเพื่อชมทิวทัศน์ที่สามารถมองเห็นได้ไกลถึงเทือกเข้าแอลป์ที่ตั้งอยู่บริเวณทางตอนเหนือได้อย่างชัดเจน
ซึ่งค่าเข้าชมสามารถเข้าชมได้ฟรี แต่การชมทิวทัศน์บนยอดวิหารอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม วิหารดูโอโมถือเป็ฯสถาปัตยกรรมที่เดียวในมิลานที่มีความสวยงาม และอลังการ ดังนั้นสถานที่แห่งนี้หากคุณมีโอกาสไปเยือนอิตาลี และเมืองมิลาน ก็ไม่ควรพลาดที่จะแวะไปชมสถานที่ศักดิ์สิทธิที่สวยงามแห่งนี้
โบสถ์ซานตามาเรีย เดลแล กราเซีย (Santa Maria delle Grazie)
โบสถ์แห่งนี้สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1465 และ 1482 ออกแบบโดย กิลฟอร์ท โครงสร้างโบสถ์แต่ดั้งเดิมนั้นปัจจุบันเหลือเพียงรูปแบบของแท่นบูชาห้องโถงกว้าง จากหน้าประตู และ ทางเดิน ซึ่งได้ใช้ศิลปะแบบโกธิค ลอมบาร์ค เป็นต้นแบบ ซึ่งสถานที่แห่งนี้ได้พังทลายลงจากระเบิดภายในสงครามแต่ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ก็ยังคงมีชื่อเสียง และเป็นที่ต้องการของนักท่องเที่ยวเนื่องจาก โบสถ์ซานตามาเรีย เดลแล กราเซีย มีภาพวาดที่โด่งดังระดับโลกอย่าง Last Supper ซึ่งเป็นผลงานของเลโอนาร์โด ดาวินชี ซึ่งได้วาดไว้ภายในอาคาร ดาวินชีได้ใช้วิธีการวาดภาพให้มองดูลึกเป็น 3 มิติโดยใช้เทคนิคการวาดลงบนผิวผนังปูนที่รองพื้นด้วยสีขาวตะกั่วเป็นภาพบรรยากาศของการรับประทานปัสกา คือขนมปังไร้เชื้อและเหล่าองุ่น ในภาพประกอบด้วยพระเยซูคริสต์ กับสาวกของพระองค์ทั้ง 12 ท่าน ในช่วงขณะที่กำลังตกตะลึงและจับกลุ่มปรึกษากัน 4 กลุ่ม แสดงออกด้วยอากัปกิริยา สีหน้าท่าทาง ทำให้พระเยซูทรงตรัสว่า “หนึ่งในพวกท่านจะทรยศพระองค์” และในวันต่อมาพระองค์ก็ถูกทหารโรมันจับไปตรึงกางเขนประหารชีวิตอันเป็นที่มาของชื่อภาพ “พระกระยาหารมื้อสุดท้าย” นั่นเอง
ด้วยเทคนิคใหม่ที่ดาวินชีได้นำมาทดลองกับภาพวาดในยุคนั้น ทำให้ภาพบางส่วนชำรุด หลุดลอก และสีจางลง ทำให้มีการซ่อมแซมหลายครั้ง แต่การซ่อมแซมนี้เองทำให้ภาพเสียหายมากขึ้น จนกระทั่งในปี 1999 ก็ได้ซ่อมแซมภาพด้วยวิธีการสมัยใหม่ และปรับปรุงห้องให้มีอุณหภูมิและความชื้นที่เหมาะสม เพื่อให้ภาพนี้อยู่คู่โลก ทำให้สถานที่แห่งนี้จำกัดจำนวนผู้เข้าชม และมีการเก็บค่าใช้จ่าย รวมทั้งจำกัดเวลาในการเข้าชมอีกด้วย หากใครต้องการไปเยือนสถานที่แห่งนี้แนะนำให้จองคิวล่วงหน้า หรือศึกษาให้ดีก่อนเพื่อที่จะไม่เสียเที่ยว
ฟลอเรนซ์ (Florence)
ฟลอเรนซ์ หรือ ฟิเรนเซ่ เมืองหลวงของแคว้นทัศคานีซึ่งตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศอิตาลี ซึ่งเมืองแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นภูมิภาคที่มีทิวทัศน์ชนบทเทือกสวนไร่นา และขุนเขาที่สวยงามที่สุดในอิตาลี นอกจากฟลอเรนซ์แล้ว เมืองต่างๆบริเวณรอบๆ ก็ถือว่าน่าเยี่ยมชมไม่แพ้กันเช่น ปิซ่า ซีเอน่า ลุกกา กอร์โตนา อาเรซโซ และซานจีมิญญาโน เป็นต้น ซึ่งแต่ละเมืองที่กล่าวมาก็จะตั้งอยู่ในทำเลที่มีวิวทิวทัศน์สวยงามน่าหลงใหลของเนินเขา ทุ่งหญ้า และสวนองุ่น นอกจากความงามทางธรรมชาติแล้วยังมีความสวยงามจากอาคารบ้านเรือนที่มีลักษณะเก่าแก่ตั้งแต่สมัยเรอเนสซองซ์ปรากฏให้เห็นโดยทั่วไปภายในเมือง ความหลากหลายของแคว้นทัศคานีทำให้นักท่องเที่ยวทั่วทุกโมโลกนิยมแวะมาเพื่อเยี่ยมชมความสวยงามเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ทัศคานียังเนแหล่งกำเนิดของเหล่าศิลปิน นักคิด นักเขียน และนักอัจฉริยะทั้งหลายเช่น เลโอนาร์ ดาวินชีโด, มิเคลันเจโล กาลิเลโอ เป็นต้น ภายในเมืองฟลอเรนซ์ก็เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมชั้นยอดของโบสถ์ วิหาร ปาลัซโซ รวมทั้งผลงานของศิลปินต่างๆที่ได้เก็บรวบรวมไว้ในพิพิธภัณฑ์อีกหลายแห่งเช่น หอศิลป์อัคคาเดเมีย, ดูโอโม หรือมหาวิหารแห่งเมืองฟลอเรนซ์, ปิอัซซ่า เดลลา ซิญญอเรีย, พิพิธภัณฑ์อุฟฟีซี, วิหารซานตาโครเช, สะพานแวคคิวโอ และวังปิตตี เป็นต้น ซึ่งถ้าหากพูดถึงรายละเอียดบทความนี้คงไม่จบเพราะมีมากมายเหลือเกิน เอาเป็นว่าสถานที่เหล่านี้คือสถานที่ที่เราควรไปเมื่อไปเยือนเมืองฟลอเรนซ์ และที่สำคัญควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมด้วยนะคะ เพื่อความสนุกในการท่องเที่ยวของเราเองค่ะ
เวนีซ(Venice)
เวนีซ หรือ เวเนเซีย เมืองที่ไม่เหมือนใครในโลก เพราะตัวเมืองตั้งอยู่กลางทะเลสาบริมฝั่งทะเลอาเตรียติก ทางตะวันออกเฉียงเหนือในประเทศในแคว้นเวเนโต ถูกสร้างขึ้นโดยการเชื่อมเกาะเล็กๆเข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบที่มีอยู่ประมาณ 30 เกาะเป็นที่ตั้งของอาคารบ้านเรือนต่างๆ ลักษณะของตัวเมืองมีลำคลองเป็นจำนวนมาก โดยมีสะพานน้อยใหญ่มากกว่า 400 สายซึ่งทำหน้าที่เชื่อมต่อกัน
เวนีซจึงได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งเดียวในโลกที่ตั้งอยู่บนน้ำ ไม่มีรถที่วิ่งบนถนน แต่จะมีเรือโดยสาร วาปอเร็ตโต หรือเรือเมล์วิ่งแทนรถโดยสารประจำทาง มีบริการเรือข้ามฟาก รวมทั้งเรือกอนโดลา ไว้สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจในการชมวิวทิวทัศน์ นอกจากนี้เวนีซมีคลองใหญ่ไหลผ่านกลางเมืองมีชื่อว่า คานาเล่ กรันเด หรือแกรนด์คาแนล ลักษณะคล้ายรูปตัว S หลับหลัง โดยเริ่มต้นจากสถานีรถไฟกลางผ่านสะพานรีอัลโต สะพานอัคคาเดเมีย ไปสิ้นสุดที่จัตุรัสซานมาร์โคอันเลืองชื่อ เป็นจุดหมายปลายทางหลักของนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเยือนเวนีซ ระหว่างทางมีที่ให้แวะเที่ยวชมนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะมองไปมุมไหนก็มองเห็นความมีชีวิตชีวา สวยงาม และตระการตา ทำให้เวนีซเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนที่เดินทางมาแสวงหาความแปลกใหม่ หากใครที่มีโอกาสไม่เยือนอิตาลีก็พลาดไม่ได้ที่จะไปเยือนเวนีซนอกจากตัวเมืองที่น่าสนใจแล้ว ยังมีเทศกลที่โดดเด่นของเวนีซคือเทศกาลหน้ากากนั่นเอง
นอกจากที่รู้จักสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว เราจำเป็นต้องรู้เรื่องฤดูกาลด้วย เพราะการไปเที่ยวจำเป็นต้องเลือกเวลาที่เหมาะสมเพื่อความสะดวก และความปลอดภัยของร่างกายเราเอง
ประเทศอิตาลีมี 4 ฤดูด้วยกัน คือ ฤดูใบไม่ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ล่วง และฤดูหนาว ด้วยตำแหน่งที่ตั้งของประเทศอิตาลีตั้งอยู่ค่อนล่างลงมาทางด้านล่างของทวีปยุโรป และมีทะเลล้อมรอบ ในฤดูหนาวของประเทศอิตาลีจึงมีอากาศไม่หนาวมากนัก ยกเว้นบริเวณทางตอนเหนือในเขตเทือกเขาแอลป์ที่มีฤดูหนาวที่ยาวนาน และมีหิมะตกหนักเหมาะสำหรับการเล่นหิมะ ช่วงฤดูร้อนของประเทศอิตาลีจะอยู่ช่วงเดือนสิงหาคมจะมีอากาศร้อนอบอ้าว ทำให้ชาวเมืองต่างหนีออกนอนกเมือง ถัดจากฤดูร้อนจะเป็นช่วงฤดูที่ดีที่สุดแห่งการท่องเที่ยวในอิตาลีก็คือฤดูใบไม้ผลิ จะอยู่ในช่วงเดือนเมษายน ถึงมิถุนายน และฤดูใบไม้ผลิร่วงตั้งแต่เดือนกันยายน ถึงพฤศจิกายน ซึ่งช่วงนี้อากาศจะเย็นสบาย และอากาศแจ่มใส แม้บางครั้งจะมีฝนตกบ้างเป็นครั้งคราว ในช่วงรอยต่อเปลี่ยนฤดู แต่การวางแผนที่จะท่องเที่ยวในช่วงฤดูที่น่าท่องเที่ยวนี้ก็ควรที่จะวางแผนให้ดีก็จะทำให้การเดินทางของคุณราบรื่นนั่นเอง
ประเทศอิตาลีถือเป็นประเทศแห่งวัฒนธรรมที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์อีกประเทศหนึ่งซึ่งที่กล่าวมาเป็นเพียงสถานที่ส่วนหนึ่งของอิตาลี ซึ่งประเทศอิตาลีมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย ทั้งธรรมชาติ ศิลปะ และวัฒนธรรม ทำให้ประเทศนี้เป็นที่สนใจของเหล่านักโบราณคดี นักออกแบบตกแต่งภายใน และเหล่านักประวัติศาสตร์ทั้งหลาย ซึ่งอิตาลีเป็นประเทศที่มีความทันสมัยยังมาพร้อมกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และสถานที่โบราณต่างๆจำนวนมาก และยังคงเอกลักษณ์ของความเป็นอิตาลีได้อย่างชัดเจน
ขอขอบคุณ
หนังสือใครๆก็ไปอิตาลี ฉบับปรังปรุงใหม่
www.ciee.org
www.camchowda.com
www.cityhdwallpapers.com