#ฉันเกิดในรัชกาลที่๙
13 ตุลาคม ปี 59 น้ำตารินทั่วถิ่นไทย
หลักธรรมพ่อให้ไว้ สถิตย์ในใจทุกคน
พ่อจ๋าอย่าได้ห่วง ลูกทั้งปวงทุกแห่งหน
มุ่งทำหน้าที่ตน สมเป็นคนของราชา
ปวงข้าพระพุทธเจ้า ขอน้อมเกล้าน้อมกระหม่อม สำนึกในพระมหากรุณาธิคุุณ หาที่สุดมิได้
ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า บริษัท บาริโอ จำกัด
นึกย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่นักเขียนยังเด็กๆ กับประโยคสนทนาสั้นๆ ที่ยังจำมาจนถึงทุกวันนี้
“ยายจ๋า ผู้ชายคนนั้นคือใคร ทำไมหนูเห็นมีรูปเขาแทบทุกบ้านเลย”
“คนนั้นนะเหรอ ก็ในหลวงไง “ในหลวงของคนไทยทุกคน” ยายพูด พร้อมยกมือขึ้นไหว้เหนือหัว
“แล้วทำไมเราต้องไหว้ และก็วางรูปในหลวงไว้สูงกว่าคนอื่นด้วยจ้ะ”
“พอโตขึ้นเจ้าจะรู้เองว่า ทำแค่นี้ยังน้อยไป กับสิ่งที่ ในหลวงทำเพื่อคนไทย มาทั้งชีวิต”
ผ่านมาแล้ว 20 กว่าปี จนถึงวันนี้เราเข้าใจแล้ว ว่าทำไม “คนไทย” ถึง “รักในหลวง” ได้มากมายขนาดนี้ ตลอดเวลาที่เด็กคนหนึ่ง นั่งดูทีวีตั้งแต่ยุคจอขาวดำ มักเห็นในหลวงเดินบุกป่า ลุยฝน ไปตามสถานที่ต่างๆ พร้อมกับในมือที่ถือแผนที่ขนาดใหญ่ และกล้องถ่ายรูปห้อยคอ ในขนาดนั้นยังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมในทุกๆ ที่ที่พระองค์ท่านเสด็จ เราจึงมักเห็น 2 สิ่งนี้เป็นประจำ
แผนที่ ประเทศไทย ก็คือบ้านของพระองค์ท่าน ตรงไหนที่ประชาชนลำบากยากแค้น พระองค์ท่านไม่รีรอที่จะเข้าไปเยียวยา และทำให้คุณภาพชีวิตของผู้คนในพื้นที่นั้นดีขึ้น เรียกได้ว่าไม่มีพื้นไหนในประเทศไทย ที่มหากษัตริย์พระองค์นี้ไม่เคยไป ต่อให้ขึ้นเขา ลงห้วย น้ำท่วม ถนนขาด พระองค์ท่านก็ไม่เคยนิ่งนอนใจ ลงพื้นที่ด้วยพระองค์เอง แม้จะลำบากขนาดไหนก็ตาม
เคยได้ยินมาว่าในหลวงทรงโปรดการถ่ายรูปเป็นอย่างมาก เราจึงคิดว่ากล้องที่ห้อยพระศอของพระองค์อยู่ตลอดเวลานั้น พระองค์คงใช้เก็บภาพทั่วๆ ไป เมื่อเสด็จไปตามที่ต่างๆ แต่ใครเลยจะรู้ว่ากล้องถ่ายรูปของพระองค์ท่านนั้น ไม่ใช่เพียงถ่ายรูปวิวสวยๆ หรือภาพของประชาชนที่มารับเสด็จเท่านั้น เพราะกล้องตัวนี้สามารถเปลี่ยนพื้นที่ต่างๆ ให้กลายเป็นพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ขึ้นมาได้ ดังเช่นครั้งหนึ่งที่พระองค์ทรงถ่ายรูปพื้นดินเปล่าๆ จนคนรอบข้างแปลกใจว่าในหลวงจะทรงถ่ายแค่พื้นดินมาทำไม จนเวลาผ่านไปทุกคนจึงเข้าใจเมื่อแผ่นดินที่แห้งแล้งว่างเปล่ากลายเป็นเขื่อนที่ช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตของประชาชนในหลายพื้นที่ได้ถึงทุกวันนี้
ซึ่งการกระทำเหล่านี้ คือคำตอบว่าทำไมคนไทยถึงรัก “ในหลวง” ที่ชื่อ “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช”
ทำไมคนไทยถึงรักพระองค์ท่านได้มากมายขนาดนี้?
ถ้าเป็นคนยุคก่อนๆ ที่ได้เห็นพระองค์ท่านทรงงาน ก็คงตอบได้ไม่ยากว่า “เพราะในหลวงเป็นมากกว่าพระเจ้าแผ่นดินที่ปกครองประเทศไทย แต่ในหลวงคือพ่อที่ให้ชีวิตลูกได้ลืมตาอ้าปาก มีชีวิตที่ดีขึ้นมาได้ พระองค์ท่านทำงานอย่างหนักเพื่อให้คนในประเทศของพระองค์พ้นจากความยากจน จนมีอยู่มีกินได้อย่างพอพียง”
แล้วคนยุคหลังๆ ล่ะ?
คนที่ไม่เคยเห็นพระองค์ท่านประกอบพระราชกรณียกิจต่างๆ อย่างเช่น ตัวผู้เขียนเอง ก็เป็นหนึ่งในคนกลุ่มนี้ ที่เคยเห็นท่านผ่านทีวีในช่วงข่าวพระราชสำนักทุกๆ วัน วันละ 15-30 นาที กับการทรงงานและการลงพื้นที่ต่างๆ ไม่ซ้ำกัน ตั้งแต่หน้าจอยังเป็นขาวดำจนเปลี่ยนเป็นจอสี ก็ยังมีให้ชมกันไม่มีหมด ประกอบกับเรื่องเล่าจากบรรพบุรุษมากมายที่ส่งต่อถึงเราจากรุ่นสู่รุ่น มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะทำให้คนยุคหลัง “รัก” พระองค์ท่านได้อย่างสนิทใจเหมือนกับที่นักเขียนเป็นอยู่ในตอนนี้
นอกจากจะเป็น “ในหลวง” ที่ทรงงานหนักในแบบที่เราได้เห็นตามสื่อต่างๆ แล้ว ในอีกมุมหนึ่งพระองค์ท่านยังเป็นบุคคลที่มีพระราชอารมณ์ขันยิ่งนัก จนทำให้คนรอบข้างที่เคยเข้าเฝ้าและถวายงาน หลงรักในความเป็นกันเองนั้น เช่นเดียวกับประชาชนทั่วไป ที่เคยรับเสด็จอย่างใกล้ชิด มักจะเล่าต่อกันมาว่าพระองค์ท่านทรงไม่ถือตัว และไม่เคยรังเกียจคนจน แถมยังให้เกียรติประชาชนด้วยซ้ำ เพราะพระองค์ท่านเคยตรัสกับพระราชินีว่าเวลาพูดคุยกับประชาชนอย่ายืนค้ำหัวประชาชน นักเขียนเองได้เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ของพระองค์ท่าน ที่อ่านแล้วชวนอมยิ้มได้ตลอด แต่มีใจความหนึ่งที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ เป็นประโยคที่ในหลวงทรงเอ่ยกับมหาดเล็กคนสนิท (ที่มา :หนังสือพระราชอารมณ์ขัน โดย วิลาศ มณีวัต)
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอันเป็นที่เคารพรักอย่างสูงของเรานั้น พระองค์ท่านทรงมีพระราชอารมณ์ขันยิ่งนัก ดังตัวอย่างที่จะเล่าต่อไปนี้
ครั้งหนึ่งได้มีการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางนิติศาสตร์ พระองค์ก็รับสั่งกับมหาเล็กใกล้ชิดว่า “ฉันได้เป็นหมอความแล้ว”
ต่อมาได้มีการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางการแพทย์ ก็รับสั่งว่า “คราวนี้ฉันได้เป็นหมอยา”
ต่อมาอีกไม่นานได้มีการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางการดนตรี ก็รับสั่งว่า “คราวนี้เป็นหมอลำ”
อีกหนึ่งเรื่องราวที่ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ นั่นก็คือเรื่อง “ความรัก” พระองค์ท่านทรงมีความรักที่มั่นคงต่อสมเด็จพระราชินีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น
รักตั้งแต่วัยเยาว์จนได้ครองคู่กันเป็นคู่ชีวิตตราบสิ้นลมหายใจ ทุกวันนี้คงจะหาไม่ได้ง่ายๆ แล้ว ยิ่งได้อ่านเรื่องราวความรักของท่าน ยิ่งรู้สึกว่าท่านเป็นผู้ชายที่ดีและเพียบพร้อมในทุกๆ ด้านจริงๆ
เรื่องเล่าน่ารักๆ เมื่อครั้งพระองค์ทรงได้พบพระราชินีเป็นครั้งแรก…
“เมื่อตอนพระองค์อายุ 20 พรรษา ท่านเกิดประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ พอตื่นขึ้นมาพระองค์บอกว่านอกจากจะคิดถึงพระชนนีแล้ว ก็คิดถึงใบหน้าของหม่อมราชวงศ์ สิริกิต จึงให้คนเรียกมาเข้าเฝ้า จากนั้นพระองค์ก็ยื่นพระฉายาลักษณ์ของพระราชินีที่พกติดตัวตลอดเวลาให้ดูและทำการสารภาพรัก โดยบอกว่าพระองค์ชอบตั้งแต่ก่อนแรกพบกันที่กรุงปารีส เมื่อครั้งที่บิดาของ ม.ร.ว สิริกิต ได้ไปเป็นทูตประจำการที่อังกฤษ ทำให้ในหลวงต้องนั่งรถกว่า 600 กิโลเมตรเพื่อไปหาและพบหน้า ม.ร.ว สิริกิต เป็นประจำ จนวันที่ 12 ส.ค. พ.ศ.2492 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของพระราชินี ในหลวงได้มอบแหวนและขอแต่งงาน”
ในส่วนพระราชินีนั้นทรงเล่าเหตุการณ์รักแรกพบด้วยความเขินว่า…
พระองค์บอกว่าไปรอรับเสด็จในหลวงนานมาก บอกว่าจะมาถึง 3โมง แต่ความจริงกลับมาถึงเกือบทุ่ม ทำให้ต้องฝึกถอนสายบัวรอเสียจนเมื่อย จึงเป็นการเกลียดแรกพบมากกว่ารักแรกพบ
ยังมีอีกหลายแง่มุมของในหลวงที่หลายคนยังไม่เคยรู้ แต่เชื่อได้เลยว่าเรื่องต่างๆ นั้น ดีเสมอ ไว้ให้ผ่านพ้นช่วงทุกข์โศกนี้ไป นักเขียนจะรวบรวมเรื่องราวของในหลวงมาให้แฟนได้อ่านกันอีกครั้ง และถึงแม้วันนี้เราจะไม่มี “พ่อหลวง” แต่ถึงอย่างไร “พ่อ”ก็ยังคงมองดูคนไทยจากบนฟ้าแน่นอน สิ่งที่ประชาชนคนไทยสามารถทำได้ในตอนนี้ก็คือ ผ่านพ้นความโศกเศร้านี้ไปให้ได้ เพราะพ่อเองก็คงไม่สบายใจที่เห็นเราเศร้านาน ร่วมกันทำความดีให้พ่อได้สุขใจ เราจะก้าวผ่านมันไปด้วยกัน
ขอขอบคุณภาพจาก
www.เรารักพระเจ้าอยู่หัว.com
www.www.facebook.com/groups/ArtisticalImage