bareo: huangshan
 
about bareo
news & events
art of design
decor guide
the gallery
living young
talk to editor
links

I-service

back issue

 

 

 

          ต่อจากตอนที่แล้ว พวกเราทั้งห้า อันประกอบไปด้วย ผม, ภรรยาและลูกๆ ทั้งสอง บวกด้วย บ.ก. Hana ได้เดินทางขึ้นหวงซานโดยทางกระเช้าสาย “หยุนกู่” (Yungu Telpher) โดยไปลงที่สถานี “ห่านขาว” หรือ White Goose ที่ตั้งอยู่บนเขา และพวกเราก็จะได้ออกเดินทางด้วยเท้าจากจุดนั้น ไปตะลอนยังสถานที่ต่างๆ บนเขาหวงซานตลอดสามวันเต็มๆ และสำหรับท่านที่ต้องการอ่านตอนก่อนหน้านี้ สามารถย้อนกลับไปอ่านได้ตามนี้เลยนะครับ
          http://www.bareo-isyss.com/38/38_travel_huang-shan.html


          หลังจากซื้อตั๋วขึ้นกระเช้าแล้ว พวกเราก็เดินปร๋อขึ้นไปบนสถานีเพื่อขึ้นกระเช้าได้เลย ซึ่งผิดจากที่คาดไว้ว่าจะมีคนมารอคิวยาวสองชั่วโมงเหมือนที่ขึ้นไปบนยอดเขาหิมะมังกรหยก (Jade Dragon Snow Mountain) ในลี่เจียง การที่พวกเราไม่ต้องรอคิวนี้ ไม่ใช่ว่าคนจะนิยมหวงซานน้อยกว่าที่อื่นๆ แต่เป็นเพราะหวงซานในเดือนธันวาคมเป็นช่วงหนาวจัด มีหิมะตกหนัก คนจีนเลยไม่ค่อยจะนิยมเที่ยวกันในช่วงนี้ (ผิดกับคนไทย ที่อยากเห็นหิมะตก...)


         พวกเรานั่งคุยกันบนกระเช้าอย่างสนุกสนาน โดยไม่ค่อยจะสนใจสภาพรอบข้างเท่าใดนัก ทั้งๆ ที่มีแต่คนบอกว่ากระเช้าช่วงนี้จะสูง ตื่นเต้นและน่าหวาดเสียวมาก ไม่ใช่เป็นเพราะพวกเราใจแข็งหรืออย่างไร แต่เป็นเพราะพวกเรามองอะไรไม่เห็นเลยต่างหาก รอบกระเช้ากลายเป็นสีขาวเพราะหมอกลงจัดมาก จนกระทั่งพวกเราขึ้นมาถึงสถานีห่านขาว...


 

 
   
 



 


         เพียงแค่พวกเราก้าวลงจากกระเช้าเท่านั้น พวกเราก็ได้สัมผัสกับภาพความงามที่อลังการเหนือความคาดหมาย ทั้งๆ ที่เป็นช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยวที่อากาศหนาวจัด และหมอกลงจัด แต่สิ่งที่พวกเราได้พบเห็นนั้น มันงดงามเอามากๆ เป็นภาพของหวงซานที่เต็มไปด้วยหิมะ และน้ำแข็งที่ถูกลมพัดจนเป็นริ้วเส้นเกาะตามยอดไม้และกิ่งสนที่สวยงามสุดพรรณนา


         ภาพที่ปรากฎต่อสายตาของพวกเรา ทำให้เรารู้สึกเหมือนหลุดออกจากโลกมนุษย์ เริ่มตั้งแต่ยอดเขาที่มีรูปทรงประหลาดตาและสวยงามเหมือนสวรรค์ประทาน แซมไปด้วยต้นสนภูเขาพันธ์พิเศษที่มีวิวัฒนาการจนรากสามารถแทรกเข้าไปในหินและงอกงามได้อย่างน่าอัศจรรย์ ผสานไปด้วยหมอกขาวดุจดังเมฆที่ลอยเอื่อยผ่านหน้าพวกเราไปเป็นระยะๆ จนดูเหมือนพวกเราได้มาอยู่บน “หุบเขาแห่งเซียน”

 


 
   
 





         พวกเราจ้างคนแบกกระเป๋าให้ช่วยนำส่งกระเป๋าของพวกเราไปที่โรงแรมเป่ยไห่ (Beihai Hotel) ที่แปลว่า “ทะเลเหนือ” ซึ่งตอนแรกพวกเราจะตามไปดูกระเป๋าด้วย แต่คนแบกกระเป๋ายืนยันจะให้พวกเราไปอีกทาง โดยบอกว่าเขาจะไปทางลัด และไปรอที่โรงแรมก่อน ส่วนพวกเราให้เดินเที่ยวกันชมความงามของหวงซานกันตามสบาย


         พวกเราเริ่มต้นงัดกล้องถ่ายภาพคู่ใจออกมาเก็บภาพในบริเวณสถานี ซึ่งใช้เวลานานกว่ายี่สิบนาที พวกเราถึงจะเดินพ้นระยะ 50 เมตรจากชายคาสถานี ลองคิดดูก็แล้วกันนะครับ ว่าความงามของหวงซานอยู่ในระดับไหน พวกเราเก็บภาพแทบจะทุกก้าวเดินเลยทีเดียว


          สำหรับการถ่ายภาพในทริปนี้ ผมพกเอากล้อง Nikon D3 กับเลนส์ Nikkor 24-70 F2.8 Nano ตัวใหม่ล่าสุด ไปกับ 70-200 VR แถมด้วยเลนส์ 50 F1.4 ไปอีกหนึ่งตัว ซึ่งแตกต่างจากทริปก่อนๆ ที่ผมมักจะแบกเลนส์ไปเต็มกระเป๋า และคอยเปลี่ยนเลนส์ไปอยู่เรื่อยๆ แต่สำหรับทริปวันนั้น ผมแทบจะไม่ต้องเปลี่ยนเลนส์จาก 24-70 นาโน ไปเป็นตัวอื่นเลย เพราะทางยาวโฟกัสและมุมกล้องต่างๆ เข้ากับ CMOS Sensor ขนาด Full Frame ได้อย่างลงตัว ทำให้การถ่ายภาพวันนั้นของผมเป็นไปอย่างราบรื่น และเก็บภาพสวยงามได้มากมายจริงๆ


 

 
   
 

 

 


          นอกจากนี้ การถ่ายภาพในช่วงหนาวจับใจแบบนั้น เราจึงต้องอาศัยเสื้อกันหนาวอย่างหนาของเราช่วยให้ความอบอุ่น และที่เหนือไปกว่านั้น คือความหนาของเสื้อยังช่วยกระจายน้ำหนักของกระเป๋าเป้ได้เป็นอย่างดี ตลอดการเดินเท้าบนเขาหวงซานสามสี่ชั่วโมงนั้น เต็มไปด้วยความสนุกสนาน และเพลิดเพลิน โดยไม่มีอาการหนักบ่าหรือเมื่อยล้าแต่อย่างใด



         พวกเราเดินเท้าไปแวะตามจุดชมวิวต่างๆ บนเขา ซึ่งบางจังหวะพวกเราก็ได้เห็นยอดเขาที่แปลกประหลาดอยู่ห่างออกไป แต่บางจังหวะ พวกเราก็เห็นได้แค่ระยะไกลไม่กี่เมตรเพราะหมอกลงจัดมาก จนต้องหันมาถ่ายภาพพวกเรากันเอง ซึ่งมี Background เป็นสีขาว สวยงามและสนุกมากจริงๆ ครับ

 

 

 
   
 




         การเดินเท้าของพวกเราเป็นไปด้วยความเร็วปานหอยทาก เพราะเดินกลับไปกลับมาเกือบตลอดเส้นทาง โดยมีลูกชายของผมเป็นคนนำขบวน ตามทางก็เอาไม้เท้าฟาดไปกับกิ่งสนที่มีหิมะกองสุมอยู่ ทำให้หิมะร่วงกราวลงมา ผมก็คอยดุลูกห้ามไม่ให้ทำ แต่พอคนดูแลเส้นทางผ่านมา ก็เอาไม้เท้าฟาดไปเหมือนกัน เพื่อให้หิมะร่วงตกลงมาเสียก่อน ที่จะร่วงลงมาเองตามธรรมชาติ เพราะอาจจะลงบนหัวของนักท่องเที่ยวอย่างพวกเราก็ได้ (อันที่จริง เราอยากลองให้ตกใส่หัวอยู่เหมือนกัน รู้สึกจะเย็นดี...อิอิ) ส่วนหิมะที่ตกลงมากองข้างล่าง จะมีเจ้าหน้าที่คอยกวาดให้พ้นบันไดอยู่เกือบตลอดเวลา ทำให้นักท่องเที่ยวได้เดินเล่นอย่างปลอดภัย ซึ่งผมรู้สึกประทับใจในระบบการดูแลและเอาใจใส่นักท่องเที่ยวของรัฐบาลจีนเป็นอย่างมาก ทั้งๆ ที่พวกเราเป็นประเทศที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวมากมาย แต่ไม่เคยดูแลเอาใจใส่นักท่องเที่ยวแบบนี้เลย เสียดายจริงๆ เพราะการให้บริการที่เอาใจใส่แบบนี้ จะทำให้นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ประทับใจ และกลับไปเชิญชวนคนที่ประเทศของเขามาเที่ยวอีก ก็อยากจะฝากไว้ เผื่อใครที่มีโอกาสได้อ่าน และสามารถสั่งการได้ อยากให้เก็บเรื่องการให้บริการเล็กๆ น้อยๆ ไปดูแลนักท่องเที่ยวด้วย จะทำให้บ้านเมืองของเราน่าเที่ยวขึ้นอีกจมเลยครับ...


         ลูกสาวของผมกับ Hana บ.ก.ของเราเดินควงแขนกันไปราวกับเป็นพี่น้องกัน (เทียบเฉพาะส่วนสูงนะครับ) ตอนนี้ ลูกสาวของผมอายุย่างเข้าสิบสอง ความสูงก็เกินกว่าร้อยห้าสิบเซนติเมตร ซึ่งเขยิบเข้าไปเบียดความสูงเฉลี่ยของสาวๆ ประจำ Bareo ทุกขณะ ทำเอาบรรดาน้าๆ ใน Office ทั้งหลายออกอาการหนาวๆ ร้อนๆ เพราะใกล้จะถูกแซงเข้าไปทุกที ทั้งๆ ที่เคยอุ้มมากับมือตั้งแต่ยังแบเบาะ
ในระหว่างเส้นทางชมดินแดนที่งดงามปานสรวงสวรรค์ พวกเราก็ได้พบกับนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ บ้าง แต่ไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวเกาหลีกับญี่ปุ่น ส่วนชาวจีนมักจะมากันเป็นกลุ่มเล็กๆ โดยพวกเขาก็จะเดินมาหลังพวกเรา แต่ก็จะแซงพวกเราขึ้นไปทุกครั้ง และท่ามกลางหมอกที่ลงจัด พวกเราก็เปลี่ยนจากถ่ายภาพยอดเขาต่างๆ มาเก็บภาพความงามของกิ่งสนที่ปนหิมะอยู่รายรอบ

 


 
   
 

 

บะหมี่กระป๋องที่อร่อยที่สุดในโลก

         พวกเราเดินผ่านจุดชมวิวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Harp Pine, Guanyin Peak, Stalagmite Peak และ Beginning to Believe จนมาถึง “สนเสือดำ” ที่ต้นสนมีรูปร่างเหมือนเสือดำมองมาที่เรา ถึงจุดนั้น พวกเราก็เริ่มล้าแล้ว หลังจากที่ใช้เวลาเดินชมธรรมชาติมากว่าสามชั่วโมง ท้องก็หิว น้ำก็หมด พวกเราก็มาพบกับสะพานไม้เล็กๆ ที่มีคนเอาแม่กุญแจมาคล้องไว้เต็มไปหมด บนแม่กุญแจนั้นก็จะมีชื่อของคู่รักต่างๆ สลักเอาไว้ จากที่อ่านพบในหนังสือ คู่รักที่มาเขียนชื่อหรือสลักชื่อบนแม่กุญแจ จะเอามาคล้องไว้กับโซ่เหล็กบริเวณราวสะพาน จากนั้นก็โยนลูกกุญแจทิ้งลงไปในเหวเบื้องล่าง เพื่อสื่อความหมายรักนิรันดร์

         จำได้ว่ามีเรื่องตลกเล็กๆ เกี่ยวกับแม่กุญแจคล้องรักนี้ คือมีบางคู่ที่ไม่ยอมคล้องแม่กุญแจไว้กับราวสะพาน เพราะเกรงว่าหมดรักกันแล้ว ยังต้องทนเห็นหน้ากันตลอดไป จนกว่าจะบินมา “งม” หาลูกกุญแจไปไขแม่กุญแจออกไป เรื่องนี้ก็ต้องนานาจิตตัง ฟังแล้วก็ขำดี แต่ตอนนั้น พวกเราหิวจนเหลือจะทน เลยไม่มีอารมณ์จะไปคล้องแม่กุญแจที่ราวสะพาน

         แต่พอเลยสะพานนั้นมาเพียงไม่กี่ก้าว พวกเราก็พบกับร้านค้าเล็กๆ ที่ขายของกระจุกกระจิก และที่หน้าร้านมีหม้อต้มไข่ในน้ำสีดำๆ คล้ายๆ กับน้ำพะโล้ ซึ่งตอนแรกพวกเราตั้งใจจะเลยไปหาอาหารทานที่โรงแรม แต่ด้วยความหิวที่ประทุขึ้นมาอย่างรวดเร็วบวกกับพวกเราไม่มั่นใจว่าโรงแรมของพวกเรายังอยู่อีกห่างไกลเพียงใด เลยมีการเปลี่ยนใจกระทันหัน


 

 
 

 
 

 

         ภรรยาและลูกๆ ของผมเดินดิ่งเข้าไปซื้อบะหมี่กระป๋องราคากระป๋องละ 15 หยวน ซึ่งแพงกว่าร้านข้างล่างถึง 5 หยวน โดยเจ้าของร้านบอกว่า ราคา 10 หยวนจะไม่เติมน้ำร้อน ต้องไปหาเติมเอาเอง พูดอย่างนี้ ใครจะยอมขี้เหนียวอีกล่ะครับ ทุกคนเลยควักเงินกันออกมาคนละ 15 หยวน บวกกับค่าไข่ต้มอีกฟองละ 5 หยวนยื่นให้เจ้าของร้าน รวมเป็น 100 หยวนพอดี


         แต่เนื่องจากหน้าร้านไม่มีที่นั่ง เจ้าของร้านจึงให้พวกเราเดินเข้าไปในร้านซึ่งติดกับสถานีตำรวจที่มีขนาดจิ๋วมาก มีโต๊ะทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่แค่สองโต๊ะในห้องเล็กๆ โดยพวกเราเข้าไปนั่งในโถงเล็กๆ (อีกเหมือนกัน) หลังร้าน มีโต๊ะขาเหล็กพับหนึ่งตัว กับเก้าอี้ที่ใกล้จะหมดสภาพแล้วอีกสองสามตัว พอเจ้าของร้านเริ่มเทน้ำเดือดลงไปในบะหมี่กระป๋อง พวกเราก็เริ่มวางกระเป๋ากล้องกองรวมกันบนพื้นเหมือนกันของไม่มีค่าใดๆ (อันที่จริงเป็นเพราะไม่มีโต๊ะเหลือให้วางแล้ว)


         กลิ่นหอมของบะหมี่กระป๋องกับไข่ต้มที่ลอยอยู่ ทำให้พวกเราอดที่จะแอบกลืนน้ำลายกันไม่ได้ หลังจากรอนานสามนาทีพวกเราก็เริ่มส่งเส้นบะหมี่เหนียวนุ่ม หอมกรุ่นเข้าปาก ทั้งๆ ที่น้ำยังร้อนควันฉุย พวกเราก็ไม่สะทกสะท้าน บะหมี่กระป๋องในอุณหภูมิศูนย์องศาช่างเป็นเมนูที่เลิศรส จนทำให้ลืมอาหารอร่อยต่างๆ ในเมืองไทยไปเสียสนิท บรรยากาศตอนนั้น ทำให้ผมนึกถึงคำกล่าวที่ว่า “อาหารอร่อยไม่ได้อยู่ที่เราทานอะไร แต่อยู่ที่เราทานกับใครต่างหาก...”

 

 

 
   
 

 

         พวกเราทั้งห้าดื่มด่ำกับความอร่อยของบะหมี่กระป๋องหลังร้านเล็กๆ บนเก้าอี้โกโรโกโสที่ต้องแบ่งกันนั่งอย่างอบอุ่น มันช่างเป็นความรู้สึกของการแบ่งปันภายในครอบครัวเล็กๆ ของเราอย่างมีความสุขอย่างยิ่ง แม้ว่าบ.ก. Hana จะไม่ใช่คนในครอบครัวจริงๆ แต่ก็เป็นเพื่อนสนิทที่เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของพวกเรา และนั่งเบียดกันได้อย่างอบอุ่นและสนุกสนาน นั่นเป็นมื้อที่พวกเรามีความสุขที่สุดมื้อหนึ่งในชีวิตที่ต้องจดจำไว้ตลอดไปครับ...


         หลังจากร้านอาหาร พวกเราสอบถามเส้นทางที่จะไปโรงแรมเป่ยไห่ และถามว่าต้องเดินอีกไกลเท่าไร เจ้าของร้านบอกว่าถ้าเป็นพวกเขาเดินก็ประมาณห้านาที แต่ถ้าพวกเราเดินก็ราวๆ ยี่สิบนาที พอได้ยินดังนั้น พวกเราก็เลยเริ่มออกเดินทางอย่างมีความสุขกันอีกครั้ง

 

 
   
           

โรงแรมนี่หรือชื่อ...เป่ยไห่

         พวกเราใช้เวลาไม่นานนัก ก็เดินไปถึงโรงแรมเป่ยไห่ ที่ภรรยาผมยืนยันว่าดีที่สุดบนเขาหวงซาน ทั้งในแง่ของ Location และคุณภาพอาหาร ซึ่งพวกเรามาถึงราวๆ บ่ายสองโมงนิดหน่อย และเลยเข้าไปเช็คอิน ซึ่งอย่างแรกที่พวกเรามองหาคือกระเป๋าเดินทางของพวกเราที่ฝากคนแบกขึ้นมา ปรากฏว่ากระเป๋าทุกใบของเราอยู่ใน Lobby เรียบร้อย และคนแบกกระเป๋าเขาก็เดินมาทักทายพวกเราอย่างอารมณ์ดี บอกว่าเขามาถึงนานแล้ว แต่ก็ดีใจที่เห็นเรามีความสุขกับการเดินเที่ยว

         ผมคิดว่าการที่พวกเราได้ไปเที่ยวในสถานที่ที่ดีๆ และพบเจอที่คนดีๆ นั้นเป็นความสุขอย่างยิ่ง แม้ว่าบางครั้งเราอาจจะต้องจ่ายค่าบริการบ้าง หากไม่หนักหนาอะไร ก็ขอให้คิดว่าเป็นการซื้อความสุขก็แล้วกัน แต่ใช่ว่าพวกเราจะมีโชคดีไปซะทั้งหมด บางครั้ง ผมก็เคยโดนหลอกเอาเหมือนกัน อย่างเช่นตอนที่ไปซื้อของที่ระลึกนอกเมืองลี่เจียง ที่ตอนแรกคนขายเรียกซะ 800 หยวน ตอนนั้นผมก็กะว่าจะไม่เอาแล้ว พอคนขายขยั้นขะยอให้เขียนตัวเลขที่อยากได้ต่อเขาไป ผมเลยเขียนแค่ร้อยเดียว กะว่าโดนด่าแหง แต่กลายเป็นว่าคนขายยอมขายให้เฉยเลย ตอนนั้น เพื่อนๆ ต่างพากันยกย่องว่าผมต่อราคาได้เฉียบขาดมาก ลดลงทีเดียว 7 เท่า หากไม่ใช่ว่าพวกเราไปซื้อของต่อที่ร้านถัดไป ที่เรียกราคาสินค้าแบบเดียวกันแค่ 50 หยวน (ต่อแล้วเหลือสุดท้ายแค่ 35 หยวน) เล่นเอาผมสะอึกไปหลายวันเลยทีเดียว


 
   
 

 

         อันที่จริง พวกเรามาถึงโรงแรมจากทางเดินด้านข้าง จากนั้นก็เดินขึ้นไปตามบันไดข้างขึ้นไปบนตึกชั้นบน และทะลุเข้าไปที่ชั้นสองของโรงแรม ผ่านทางเดินหน้าห้องพักทั้งหลายอย่างลูกเป็ดหลงทาง วนไปจนลงไปถึงชั้นล่าง และไป Lobby จากด้านหลัง เล่นเอาวุ่นวายกันพอดู


         หลังจากที่ได้ห้องพัก พวกเราก็เดินขึ้นไปห้องพัก ก่อนที่จะพบว่าโรงแรมเป่ยไห่นี้เป็นโรงแรม 4 ดาวขนาดประมาณ 500 ห้องพัก ซึ่งใหญ่กว่าที่คาดคิดไว้เยอะมาก มีห้องพักมาตรฐานประมาณ 200 ห้องพัก และยังมีห้องพักขนาดประหยัดอีก 300 กว่าห้องพัก เป็นโรงแรมที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น Best Location สำหรับผู้ที่ต้องการจะขึ้นเขาหวงซานมาเยี่ยมชมพระอาทิตย์ขึ้นและตก (แน่ละ...ทุกคนที่ขึ้นหวงซานก็ต้องอยากดูพระอาทิตย์ขึ้นและตกอยู่แล้ว ไม่งั้นจะขึ้นมาทำไม ใช่มั้ยครับ)


          ตกเย็น ผมกับภรรยาไปชวนลูกๆ กับ Hana ให้ออกไปเดินเล่น แต่ทั้งสามคนปฎิเสธ โดยให้เหตุผลว่าเพลีย แต่จริงๆ แล้ว ผมว่าน่าจะตั้งวงเล่นไพ่กันแน่ๆ ยิ่งมี Hana เป็นหัวโจกอย่างนี้ รับรองร้อยทั้งร้อย ไม่ผิดแน่ๆ
ผมกับภรรยาเลยตกลงกันว่าจะเดินไปใกล้ๆ กะเวลาให้ไปกลับไม่เกินชั่วโมงนึงเพื่อให้ทันเวลาอาหารเย็น ว่าแล้วพวกเราก็ออกเดินทางไปพร้อมกับกล้องถ่ายรูปและไม้เท้าคู่ชีพ...

 

 
   
 

 

          พวกเราเดินลงมาข้างล่างก็พบกับตุ๊กตาหิมะ หน้าร้านขายของด้านนอกของโรงแรม เลยถ่ายรูปมาเป็นที่ระลึกเล็กน้อย แล้วก็ออกเดินทางต่อไปจนพบทางแยก ซึ่งผมจำได้ว่าเรามาจากทางแยกขวา เลยตกลงไปเดินเที่ยวที่ทางแยกซ้ายบ้าง เดินมาไม่ทันไร ก็เจอคนแบกของที่เดินสวนทางลงมา เลยเก็บภาพจากระยะไกลได้สวยทีเดียว

          พวกเราเดินขึ้นบันไดต่อไปอีกหน่อย ก็เจอป้ายตรงทางแยก ซึ่งบอกว่ามีจุดสนใจอะไรบ้าง ผมเลยเสนอให้เดินไปทางซ้ายก่อน แล้ววนเป็นวงกลมกลับมาจะได้ใช้เวลาไม่มากนัก พวกเราก็เดินไปได้สักสองสามนาที ก็ได้เจอกับต้นสนใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่กลางสนามหญ้าที่เต็มไปด้วยหิมะ พวกเราเลยไปนั่งเล่นดูต้นไม้อยู่พักนึง ก่อนที่จะไปเล่นเขียนชื่อบนหิมะ แล้วถ่ายรูปเก็บไว้ (บอกแล้วว่า ไม่ค่อยได้เห็นหิมะ เจอทั้งทีต้องขอเล่นหน่อย)

          สักพักนึง ก็เกือบครบชั่วโมงได้เวลาที่พวกเราต้องกลับโรงแรม พวกเราก็เลยเดินวนกลับมาที่จุดป้ายทางแยก แล้วเดินลงบันไดกลับลงมาถึงโรงแรม ซึ่งพวกเราเพิ่งจะรู้ว่าที่จริง เรายังเดินจากโรงแรมไปได้ไม่ถึง 1 กิโลเมตรเลย (แสดงว่าสนุกมาก เดินไป เล่นไป ถ่ายรูปไป...ถ้ามีโอกาสน่าจะไปนะครับ...)

 

 
   
 

 


          พอมืดลง (โดยไม่มีพระอาทิตย์ตกลงมาให้ชื่นใจเลย) พวกเราก็ทานอาหารที่ห้องอาหารชั้นล่าง แต่ปรากฏว่าเต็ม หากจะทานก็ต้องรอ ก็เล่นเปิดแค่ห้องอาหารเดียว ห้องอื่นปิดหมด ทั้งโรงแรมเลยต้องมาทานที่นี่ บวกกับแขกที่มาจากโรงแรมอื่นอีก (ได้ยินมาว่าโรงแรมอื่นใกล้เคียง ขึ้นชื่อเรื่องอาหารยอดแย่ ได้ดาวติดลบกันเป็นแถวๆ) พวกเราก็เลยต้องไปแวะอุดหนุนบะหมี่กระป๋องและหมูกระป๋อง (หมูบดอัดใส่กระป๋องจริงๆ) จากร้านค้าใน Lobby โรงแรม นำขึ้นมาทานบนห้องพัก ซึ่งคราวนี้ เราซื้อบะหมี่รสอื่นมาลองบ้าง แต่ก็ได้รับจากยืนยันจากพวกวงไพ่ว่าบะหมี่รสเนื้อกระป๋องสีแดงรสชาดดีที่สุด (ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอิ่มน้ำอัดลมหรือเปล่า เห็นแย่งกันแพ้ตลอด)


          สำหรับเดือนนี้ ผมขอจบตรงนี้นะครับ เพราะหมดหน้ากระดาษแล้ว สำหรับเดือนหน้าผมจะพาไปเที่ยวรอบโรงแรมและเดินบนเส้นทางที่หฤโหดที่สุดบนหวงซาน แล้วคอยติดตามตอนต่อไปนะครับ สวัสดีครับ...

 

 
     
     
  -- Isyss --  
           
           

 

 

 
Home | About Bareo | News & Events | Art of Design | Decor Guide | The Gallery | Living Young | Talk to Editor | Links
 
บริษัท บาริโอ จำกัด
50 ซอยบรมราชชนนี 4 ถนนบรมราชชนนี เขตบางพลัด กรุงเทพฯ 10700    Tel. 66 2881 8536-7    Fax. 66 2881 8538