Contact us / Join us
ออกแบบตกแต่งภายใน รับเหมาตกแต่งภายใน ตกแต่งภายใน ออกแบบภายใน Interior design Thailand |
www.bareo-isyss.com เป็น web magazine ที่ update รายเดือนเพื่อผู้อ่าน ทัศนะและความคิดเห็นใดๆ ของผู้ประพันธ์ หรือผู้สนับสนุน
|
ผ่านช่วงเวลาเฉลิมฉลองที่สนุกสนานกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลายๆคนคงได้พักผ่อนกันอย่างเต็มที่ รวมถึงตัว Beyond ที่ถือว่าได้ชาตแบทให้กับร่างกายได้เตรียมความพร้อม ในปี2557 อย่างเต็มที่ ไปเที่ยว ทำบุญ นอนหลับ พักผ่อน ตามสิ่งที่เรา อยากทำ ^^” พูดแล้วยังอดคิดถึงช่วงเวลานั้นไม่ได้ ก็มันมีความสุขนี่นา ฮ่าๆ และหยุดยาวครั้งนี้ ได้มีโอกาสไปเที่ยวมิวเซียม ถึง 2 ที่ด้วยกัน นั่นคือ พิพิธภัณฑ์เอราวัณ และ พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย (MOCA) ผ่านไปผ่านมาตั้งหลายครั้ง แต่ก็ยัง ไม่ได้โอกาสสักที หยุดยาวนี้เลยไม่พลาดที่จะไปชมซะหน่อย!! ไม่ให้เสียเวลามาเริ่ม กันที่แรกเลยดีกว่า
พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ
ถ้าใครมีโอกาสขับรถผ่านไปเส้น ถนนวงแหวนกาญจนภิเษกบ่อยๆ ก็คงอดสังเกต รูปปั้นช้างตัวใหญ่ไม่ได้ หลายคนอาจจะไม่รู้ว่านี่แหละคือ พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ ที่ถือเป็นสิ่งศักดิ์ที่มีคนนิยมเดินทางไปสักการะบูชา
ประวัติการก่อตั้งของพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณแห่งนี้เกิดจากความคิดของ คุณเล็ก วิริยะพันธุ์หรือเสี่ยเล็ก นักธุรกิจเจ้าของ บริษัทวิริยะประกันภัย ด้วยความที่ท่านเองเป็นคนชอบสะสมของเก่า และต้องการจะรักษาของโบราณ รวมถึงรูปเคารพศักดิ์สิทธิ์นั้นไว้ แต่ไม่ได้ต้องการที่จะเก็บไว้ดูคนเดียว ท่านจึงสร้างตัวอาคารพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่ จัดเก็บโบราณวัตุที่มีค่าเหล่านี้ เพื่อเก็บรักษาอย่างปลอดภัยและเผยแพร่ให้ประชาชนได้ดูนั่นเอง พิพิธภัณฑ์นี้ถือเป็น แหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดสมุทรปราการ ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท บริเวณตัดกับถนนกาณจนาภิเษก ตำบลเมืองใหม่ ครับ
พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ เป็นงานประติมากรรมลอยตัวช้างทองแดงที่ใช้เทคนิคการเคาะขึ้นนรูปด้วยมือ ที่มีความสูงจากหัวช้างลงมาสู่ฐานวัดได้ 43.6 เมตร (หรือประมาณตึกความสูง 14 ชั้น ) ความสูงเฉพาะตัวช้าง 29 เมตร ความกว้างของช้าง 12 เมตร ความยาวของตัวช้าง39 เมตร น้ำหนักของลำตัวช้าง 150 ตัน น้ำหนักเศียรช้าง 100 ตัน
เมื่อมาถึงพิพิธภัณฑ์ สิ่งแรกที่สัมผัสได้คืออากาศดีมาก ฮ่าๆ ( ก็เพราะไปในช่วงหน้าหนาวพอดี ) ไม่ใช่แค่อากาศเพียงอย่างเดียวนะ บรรยากาศด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ก็ดูสวยงาม ร่มรื่น และก็ที่โดดเด่นที่สุดก็คือช้างเอราวัณนั่นแหละครับ สูงใหญ่มากๆ แอบคิดในใจว่า “ขนาดเราคนไทยยังร้อง ว้าววว.... แล้วชาวต่างชาติจะทึ่งขนาดไหน ^^” ก่อนที่เราจะเข้าไปด้านในก็ต้องซื้อบัตรเข้าชมเสียก่อน
อัตราค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ชางเอราวัณ
ผู้ใหญ่ 150 บาท ( อายุ 6 – 15 ปี ) 75 บาท
|
ซื้อตั๊วเรียบร้อยก็ถึงเวลาเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์แล้วล่ะ อ่ะ อ่ะ !! จริงๆ มันจะมีรอบให้เข้าชม เข้าใจว่าน่าจะมีวิทยากรคอยให้คำอธิบาย แต่ตอนไปนั้น ทางพิพิธภัณฑ์บอกเข้าชมได้เลย ไม่ต้องรอรอบครับ จากนั้นก็นำตั๊วไปแลกบัตรหนีบเพื่อ เข้าชมพิพิธภัณฑ์ เดินเข้าไปใกล้ๆ ก็รู้สึกว่ามันใหญ่ใช่ได้เหมือนกันนะ คนออกแบบกับคนสร้างนี้ต้องขอปรบมือให้เลย.. จุดแรกที่มองเห็นระดับสายตาจะเจอตัวอาคารสีชมพูหวาน ออกแบบลวดลายอ่อนช้อยสวยงาม เป็นฐานของรูปปั้นช้างด้านบนครับ
ก่อนจะเข้าไป เราก็นำตั๊วไปแลก ดอกไม้ ธูปเทียน ได้ฟรีนะครับ ( แอบบอกนิดนึงว่า ก่อนจะเข้าไปจอดรถ จะมีคนดักรอ รถเราแล้วถามว่าจะไปไหว้พระหรือเปล่า? เอ๊ะ..ยังไง.... เขาจะโบกให้เราไปจอดที่อื่น แล้วซื้อดอกไม้กับเขา ถ้าเลี่ยงได้ก็ เลี่ยงซะ บอกว่าจะไปธุระ เหมือนที่บียอนทำ ฮ่าๆๆ แหมม..... ก็เสียค่าบัตรแล้วทางพิพิธภัณฑ์เขาก็มี ดอกไม้ ธุปเทียน ให้ฟรีนี่น่า แล้วทำไมต้องเสียตังอีกล่ะ จริงมะ!!! )
ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธ์แล้วก็นำบัตรหนีบที่ได้มา ไปแลกเพื่อเข้าชมพิพิธภัณฑ์กันเลย โดยพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณจะแบ่งเป็น 3 ส่วน ตามความเชื่อในหลักไตรภูมิ
1.ชั้นบาดาล
ชั้นบาดาล เป็นส่วนของสะสมโบราณวัตถุ อาทิเช่น เครื่องถ้วยชาม เทวรูป จัดแสดงนิทรรศการประวัติความเป็นมา และการ ก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณข้อมูลเกี่ยวกับเมืองโบราณและโครงการปราสาทสัจธรรมที่พัทยารวมทั้งเป็นส่วนของ ประติมากรรมรูปมนุษยนาค (พญานาคในภาคมนุษย์) ตั้งแสดงอยู่กลางห้อง (ชั้นบาดาลนี้ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพนะครับ)
ชั้นโลกมนุษย์ เป็นฐานส่วนล่างของตัวช้าง โครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก อาคารมีความสูง 14.6 เมตร กระจายน้ำหนักตัวช้างด้วยคานวงแหวนรอบนอกและรอบใน บนอาคารถ่ายน้ำหนักลงเสาแปดเสาภายนอก และสี่เสาภายใน นอกจากนี้ยังมีผลงานสถาปัตยกรรม ออกแบบตกแต่งภายใน ด้วยผลงานศิลปะอีก 3 ประเภท อยู่ในชั้นนี้อีกด้วย ได้แก่
|
1. ปูนปั้นประดับเบณจรงค์
เป็นฝีมือของ อาจารย์สำรวย เอมโอษฐ์ ช่างเมืองเพชรบุรี และทีมงาน ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีในการสร้างสรรค์งานปูนปั้นแบบโบราณ เป็นกรรมวิธีที่ใช้วัตถุดิบจาก ธรรมชาติเป็นหลัก เพราะปูนตำหรือปูนโบราณนั้นมี คุณสมบัติที่แห้งช้า จึงทำให้การตกแต่งลวดลายต่างๆได้ง่ายกว่าการใช้ปูนซีเมนต์ ประกอบกับความสวยงามของ เครื่องถ้วยเบญจรงค์ ที่มีสีสันหลากหลาย ทำให้เกิดความสวยงาม สำหรับงานปูนปั้นบางชิ้นที่มีขนาดใหญ่จะมีส่วนผสมของปูนซีเมนต์ เช่น เศียรพญานาค กินรีและกินนร เป็นต้น รูปปั้นเหล่านี้ขึ้นรูปด้วยปูนซีเมนต์ก่อนแล้วจึง ตกแต่งด้วยปูนตำปั้นทับลงไปอีกชั้นพร้อมกับประดับ เบญจรงค์
|
|
2. เสาหุ้มดีบุก
เสาทั้งสี่ต้นภายในอาคารพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณประดับ ด้วยดีบุกดุนลายจากฝีมือช่างชาวนครศรีธรรมราชและ ช่างเชียงใหม่ ซึ่งชำนาญการทำเครื่องถมและเครื่องเงิน อันเป็นงานดุนโลหะประเภทหนึ่ง ตามปกติงานดุนโลหะ มักใช้วัสดุทองแดง ทองเหลือง และเงินแต่ที่เลือกใช้ดีบุก เป็นงานดุนประดับเสาในอาคารพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ เนื่องมาจากคุณเล็ก วิริยะพันธุ์ มีความคิดที่จะสร้างช้าง ด้วยดีบุก แต่เมื่อไม่สามารถทำได้และต้องเปลี่ยนมาใช้ ทองแดงแทน คุณพากเพียร วิริยะพันธุ์ ผู้สานต่องาน จึงนำดีบุกมาประดับเสาทั้งสี่ต้น เพื่อเป็นที่ระลึกและ สืบทอดเจตนารมณ์ของบิดา เสาแต่ละต้นถ่ายทอด เรื่องราวศาสนาสำคัญของโลกประกอบด้วยศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาฮินดู และศาสนาพุทธนิกาย มหายาน(ประวัติเจ้าแม่กวนอิม) ซึ่งแต่ละต้นจะใช้ระยะ เวลาในการทำงานประมาณสามปี เสาทั้งสี่จึงเป็นเสาแห่ง ความกตัญญูและเสาสี่ศาสนาค้ำจุนโลก |
3.กระจกกสี (Stain Glass)
กระจกสีเป็นงานศิลปะในวัฒนธรรมตะวันตก ศิลปินผู้ออกแบบและวาดภาพบนกระจกสีนี้ มีชื่อว่า Jakob Schwarzkopf เป็นชาวเยอรมัน เป็นงานศิลปะในแนวทางกึ่งนามธรรมแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับโลกมนุษย์ ประกอบด้วยทวีปทั้งห้าอยู่ ตรงกลางมีดวงอาทิตย์ส่องแสงและให้พลังงานแก่สรรพชีวิต ทั้งหมดถูกล้อมรอบด้วยจักรราศี 12 ราศีและบริเวณขอบนอก สุดเป็นภาพมนุษย์ที่แสดงอากัปกิริยาต่างนานา ศิลปินใช้สีเป็นตัวแทนของธาตุทั้ง 4ได้แก่ สีเหลืองคือดิน สีแดงคือไฟ สีขาวคือลม และสีฟ้าคือน้ำ เมื่อการติดตั้งเสร็จสมบูรณ์ ทำให้ภายในอาคารทรงโดมหรือชั้นโลกมนุษย์ มีแสงสว่างสอดส่อง เข้ามาผ่านเพดานกระจกสีประดุจดั่งความดีงามที่ส่งมายังโลกมนุษย์
|
ชั้นสวรรค์
มีพระพุทธรูปปางลีลาเป็นพระประธานซึ่งถอดจำลองมาจากวัดเบญจมบพิตร บนยอดพระเกตุมาลาบรรจุพระธาตุ ถัดขึ้นไป ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์จำลอง ส่วนผนังทั้งสองด้านจัดแสดงพระพุทธรูปสมัยต่างๆ พื้นของชั้นสวรรค์นี้ใช้ไม้ มะเกลือ สีเข้มออกดำ เพราะจะได้ไม่สะท้อนเงากับโบราณวัตถุเมื่อต้องแสงไฟ (ชั้นนี้ห้ามรูปพระพุทธรูปที่อยู่ตามตู้โชว์นะครับ)
|
ครบแล้วสำหรับทั้ง 3 ชั้น โดยรวมก็ถือว่าโอเคเลยทีเดียว งานสถาปัตยกรรมด้านในก็มีความละเอียด และสวยงาม ดูท่าทางเจ้าของพิพิธภัณฑ์คงมีเจตนาและความตั้งใจที่ดีจริงๆ เพราะใส่ใจรายละเอียดในการตกแต่งแบบถี่ยิบ สำหรับใครที่เดินชมด้านในเสร็จแล้ว ด้านนอกเขาก็จัดตกแต่งสวนสวยๆ ไว้ให้เราได้เดินชมแบบชิวล์ ๆ แล้วก็ถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึกกลับไปบ้านกันด้วยนะครับ และก็ยังมีร้านของฝาก ร่วมถึง ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ให้บริการอีกด้วย (ราคาก็ไม่แพงมากนะ ^^)
การเดินทางมาที่นี้นั้น ถ้าเป็นรถยนต์ส่วนตัว ก็ใช้เส้นทางด่วน ปลายทางที่บางนา – สมุทรปราการ ลงเส้น ถนนสุขุมวิท ตรงไปทางสำโรง ผ่านคาร์ฟูร์สำโรง ชิดซ้ายแล้วเลี้ยวกลับรถใต้ทางด่วน จะมีที่จอดรถฟรีของพิพิธภัณฑ์อยู่ใต้ทางด่วน ครับ และมีรถบริการรับส่งไปที่ทางเข้าอย่างสะดวกสบาย ^^ หรือถ้าไปรถโดยสารสาธารณะ ก็มีรถประจำทาง 25,142,365 ปอ.507, ปอ.102, ปอ.508, ปอ.511, ป.536
เปิดให้เข้าชมทุกวันนะครับ เวลา 09.00 น. – 18.00 น. ครับ ไปเที่ยวกันได้นะ ^^
เสร็จจากที่นี้ ปุ๊ป.....ก็รีบขับรถไปที่ต่อไป นั้นคือ.........
|
พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย (MOCA)
พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทยร่วมสมัย ถูกสร้างขึ้นจากความ หลงใหลในงานศิลปะ ของคุณบุญชัย เบญจรงคกุล ที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถความวิจิตรและความ ประณีตของศิลปินไทย โดยเป็นคอลเลคชั่นส่วนตัวของ คุณบุญชัย จำนวนกว่า 800 ชิ้น ที่เก็บสะสมมานานกว่า 30 ปี
เรื่องราวของพิพิธภัณฑ์นี้จะถูกเรียบเรียงเป็นเรื่องราวจาก รูปหล่อของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ที่ตั้งตระหง่านอยู่ บริเวณโถงชัน G ที่มีความสูงถึง 33 เมตร จากนั้นค่อยๆ เรียงลำดับไป ช้น 2, 3, 4 และไปจบที่ชั้น 5 ซึ่งเป็นการ จัดแสดงผลงานของศิลปินไทยเทียบเคียงกับผลงานของ ศิลปินจากหลายชาติทั่วทุกมุมโลก เพื่อพิสูจน์ให้เห็นถึง ฝีมือของศิลปินไทยสามารถจัดคู่ทัดเทียมกับผลงานของ ศิลปินต่างชาติได้อย่างทัดเทียมนี่เลยถือเป็นเจตนารมณ์ ที่ชัดเจนและถือเป็นจุดกำเนิดของ พิพิธภัณฑ์ศิลปะไทย ร่วมสมัย หรือที่เรียกอย่างติดปากว่า MOCA |
|
วันและเวลาทำการพิพิธภัณฑ์ วันอังคาร – วันอาทิตย์ เวลา 10.00-18.00 น. (หยุดทำการวันจันทร์)
อัตราค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ ผู้ใหญ่ 180 บาท *ให้สิทธิ์ถึงนักศึกษาปริญญาตรีเท่านั้น
อัตราค่าเข้าชมพิเศษ ครอบครัว
บุคคลที่ได้รับค่ายกเว้นค่าเข้าชม : เด็กที่อายุไม่เกิน 15 ปี พระภิกษุ/ สามเณร/ ผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป /ผู้ทุพพลภาพ
ก่อนเข้าไปใน MOCA จะเห็นรูปปั้นดอกมะลิขนาดใหญ่สีขาวนวล ตัดกับภาพสะท้อนของน้ำที่ดอกมะลิตั้งอยู่ตรงกลาง รับรองว่าถ้าใครไปที่นี้แล้ว จะต้องหยุดยืนดู แล้วก็ถ่ายแบบกันสัก 2 3 ชอตกลับไปแน่ๆ ด้านในของ MOCA เป็นการ ออกแบบตกแต่งภายในโดย PIA Interior และออกแบบแสงสว่างโดย With Light โดยเน้นการใช้แสงสว่างจาก ธรรมชาติด้านในตึก ที่สาดส่องเข้ามาผ่านกระจกลวดลายดอกไม้ และใช้ไฟซ่อนสีเหลืองนวล ตามมุมขอบเพดานเพื่อรู้สึก ถึงความนุ่มนวลสอดคล้องกับผนังและพื้นสีขาวรอบตัวตึกด้านในนั้นเองครับ
MOCA มีทั้งหมด 5 ชั้น เริ่มกันที่
ชั้นที่ 1
เป็นห้องจัดนิทรรศการ 4 ห้อง ซึ่งจัดเป็นห้อนิทรรศหมุนเวียน 2 ห้อง และ อีก 2 ห้อง เป็นริทรรศการเชิดชูเกียรติ ศิลปินแห่งชาติ 2 ท่าน คือ ศาสตราจารย์เกียรติคุณชลูด นิ่มเสมอ ศิลปินแห่งชาติ สาขาทศนศิลป์ (ประติมากรรม) ห้องที่ 2 จัดแสดงผลงานประติมากรรมของไพฑูตย์ เมืองสมบูรณ์ ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (ประติมากรรม) ผลงานของท่าน ได้เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของประติมากรรมไทยครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์จากแนวอุดมคติสู่รูปแบบสากลโดยมี ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เป็นต้นแบบสำคัญ
ชั้นที่ 2
จัดแสดงความหลากหลายทางความคิดของศิลปะไทยร่วมสมัย อาทิเช่น ผลงานของกมล ทัศนาญชลี ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรมและสื่อผสม) และงานประติมากรรมเรื่องราววิถีชีวิตแบบมีสุนทรียภาพของคนไทย โดยเขียน ยิ้มศรี ผลงานส่วนใหญ่ในห้องนี้จะเป็นเรื่องของความเชื่อของคนไทย ค่านิยมในสงคมด้วยบริบทของความร่วมสมัยของหลาย ศิลปิน
|
ชั้นที่ 3
เป็นศิลปะเชิงความฝันและจินตนาการภายใต้ความเชื่อของคนไทย โดยสมภพ บุตราช, ช่วง มูลพินิจ ผ่านภาพเรือนร่าง ของผู้หญิงในอุดมคติ นอกจากนี้ยังมีเรือนไทยไม้สัก ที่เล่าเรื่องราวของนางพิมพลาไลย สตรีจากวรรณกรรมไทย เรื่อง ขุนช้าง – ขุนแผน โดย เหม เวชกร และสุขี สมเงิน
|
ชั้นที่ 4
จัดแสดงผลงานที่ถือว่าเป็นสุดยอดแห่งมหากาพย์ของจิตรกรรมไทยร่วมสมัย โดยประกอบด้วยผลงานทุกประเภทของ ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์(จิตรกรรม) ปราชญ์ผู้เป็นตำนานแห่งวงการศิลปะไทยร่วมสมัย ทั้งสุดยอดแห่งผลงาน วาดเส้น แลผลงานที่แสดงออกถึงความเคลื่อนไหวด้วยฝีแปรง นอกจากนี้ยังรวบรวมศิลปินแห่งชาติและศิลปินชั้นเยี่ยมอีก หลายท่าน ล้วนแต่หาชมยากๆทั้งนั้นครับ อีกฟากของอาคารเมื่อเดินทะลุสะพานข้ามจักรวาล จะได้พบกับผลงานจิตรกรรม ขนาดสูง 7 เมตร จำนวน 3 ภาพ ในชุด “ไตรภูมิ ” บอกเล่าการเวียนว่ายตายเกิดของสรรพสัตว์ใน สังวสรวัฏ ตามความเชื่อ ทางศาสนาพุทธ โดย สมภพ บุตราช, ปัญญา วินิจธนสาร และประทีป คชบัว ส่วนชอบผลงาน ชิ้นนี้นะ สวยอลังการมากๆ ^^
|
ชั้นที่ 5
|
จบไปแล้วผลงานทั้งหมดใน 5 ชั้น สวยงามแบบไม่คาดคิด เพราะตอนแรกคิดว่าคงไม่มีอะไร คงมีแค่ภาพเขียน ธรรมดา แต่ที่ไหนได้ ภาพเขียนหรือผลงานศิลปะผลงานมันสะกดตา สะกดใจจริงๆนะ ทำให้ต้องพินิจพิจารณาอยู่นานเลยทีเดียว อิอิ เดินชมเสร็จแล้ว ด้านล่างก็มีร้านเบอเกอรี่ และ ร้านของฝาก ให้ได้ใช้บริการกันนะครับ มาที่นี้ก็ถือว่าคุ้มค่านะ กับค่าเข้า 180 บาท ยังไงถ้าใครมีโอกาสผ่านไปแถวนั้นก็ลองแวะเข้าไปชมดูได้นะครับ จะได้รู้ว่าข้างในสวยอย่างที่บียอน บอกรึเปล่า ยังไงแล้วหวังว่าทุกท่านจะเต็มอิ่มกับมิวเซียมที่บียอนพาไปชมกันนะครับ แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้าสำหรับ วันนี้สวัสดีครับ อ๊ะ...สวัสดีปีใหม่ด้วยนะครับ แฮปปี้ แฮปปี้ ^^
ขอบคุณข้อมูลจาก
|