หลังจากที่เราได้นำเสนอเรื่อง ชนิดของการเย็บผ้าม่าน กันไปในคราวที่แล้ว...ตามสัญญาค่ะ ในวันนี้เราจะกลับมากล่าวถึงในเรื่องของ ผ้าม่านที่ใช้ในการออกแบบ ที่จะทำให้ต่อไปเรื่องผ้าม่านกลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณค่ะ :)

     “ผ้าม่าน” ที่เราใช้กันส่วนมากในการออกแบบ จะแบ่งออกเป็น 3 ชนิดค่ะ
     ชนิดแรกคือ “ม่านโปร่ง (Sheer)”
     เพราะเป็นม่านเนื้อโปร่ง บางและเบา นอกจากแสงจะผ่านเข้ามาได้ง่ายทำให้ห้องดูสว่าง หากเปิดหน้าต่างรับลม ม่านโปร่งนี้ก็ยังจะปลิวพริ้วไปตามลมอีกด้วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายสบายตา แต่ว่าในทางกลับกัน ถ้าเป็นบริเวณที่แสงแดดส่องเข้ามากๆ ก็จะไม่แนะนำให้ใช้ม่านโปร่งค่ะ เพราะว่าม่านชนิดนี้กันแสงได้น้อยหรือถ้าใช้ก็ควรใช้คู่กับม่านทึบแสงหรือม่านที่แสงผ่านได้บางชนิด (ที่กำลังจะพูดถึงต่อไป...) เพื่อลดปริมาณแสงและความร้อนลง เช่น ติดในบริเวณห้องนั่งเล่น หรือห้องอาหารไว้รับลมชิลๆ ไปจนถึงห้องทำงานที่แดดไม่แรงมากก็ได้ค่ะ :)

     ต่อมาคือ “ม่านที่แสงผ่านได้บางชนิด (Dim out)” ค่ะ
     ม่าน Dim out...หรือก็คือผ้าม่านมาตรฐานที่เราใช้กันในปัจจุบันนั่นล่ะค่ะ :)
     ม่านชนิดนี้จะป้องกันแสงและความร้อนได้ราวๆ 50-70% ค่ะ โดยความสามารถในการกันแสงก็ต้องขึ้นอยู่กับสีของเนื้อผ้าที่ใช้ค่ะ และเพราะเป็นกึ่งๆ ลูกผสมระหว่างม่านโปร่งที่ให้แสงผ่านเข้ามาได้ กับม่านทึบที่กันแสงได้ ดังนั้นม่านแบบดิมเอ้าท์จึงเป็นที่นิยมและเหมาะที่จะใช้ในแทบจะทุกที่เลยล่ะค่ะ :)

     และสุดท้าย... “ม่านทึบแสง (Blackout)”
     ม่านทึบแสง...ก็ตามชื่อเลยค่ะ ม่านชนิดนี้ช่วยป้องกันแสงแดดและความร้อนจากแสงแดดได้มากถึง 99% เหมาะสำหรับห้องที่ต้องรับแสงมากๆ เมื่อใช้ม่านชนิดนี้ก็จะทำให้ห้องเย็นลงค่ะ แต่ถ้ามองอีกทางหนึ่งม่านแบบนี้ก็จะทำให้ห้องดูอึดอัดเพราะว่าแสงไม่สามารถผ่านเข้ามาได้ค่ะ แต่ถ้าใครชอบนอนให้หลับสบายโดยไม่มีแสงมารบกวนยามเช้าตรู่ (โดยเฉพาะยามเช้าของหน้าร้อนแบบนี้ที่แสงดูจะเจิดจ้าเป็นพิเศษ...) เอาม่านแบบนี้ไปติดไว้ในห้องนอนหรือห้องดูหนังแบบ Home Theater ก็ไม่เลวเลยล่ะ
ค่ะ :)

     แต่ในสมัยนี้เริ่มจะหาม่านแบบแบล็คเอ้าท์ยากขึ้นแล้วล่ะค่ะ เพราะผู้ผลิตเริ่มผลิตน้อยลง...เพราะว่าผ้าที่ใช้ทำม่านแบล็คเอ้าท์นั้นจะเป็นม่านเนื้อหนาและหนัก ทำให้มีราคาค่อนข้างสูงและมีแบบให้เลือกน้อยค่ะ
     ดังนั้นในปัจจุบันจึงมีการ “เย็บแบล็คเอ้าท์เสริม” ได้ หรือก็คือการเอาม่านที่เรามีอยู่ (...ส่วนใหญ่เป็นม่านที่แสงผ่านได้บางชนิด...) ไปเย็บแบล็คเอ้าท์ติดเสริมด้านหลังค่ะ เพราะวิธีนี้นอกจากจะมีคุณสมบัติใกล้เคียงกับม่านแบล็คเอ้าท์ดั้งเดิม (ม่านเนื้อหนาและหนัก) แล้ว ราคายังย่อมเยากว่าและสามารถเลือกแบบม่านที่เราต้องการได้อีกด้วยค่ะ

     แล้วก็อย่างที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ ม่านทั้งสามชนิดนี้...ม่านที่แสงผ่านได้บางชนิดและม่านทึบแสงสามารถนำมาใช้คู่กับม่านโปร่งได้ค่ะ
     ติดม่านโปร่งเอาไว้เปิดรับลมกับแสงอ่อนๆ ยามเช้าและยามเย็น พอเวลาเที่ยงที่พระอาทิตย์ส่องแสงแรงกล้าก็ปิดม่านที่แสงผ่านได้บางชนิดหรือม่านทึบลงมากันความร้อนทำให้ห้องเย็นลง...แบบนี้ก็ดีไม่หยอกเลยทีเดียวค่ะ :)

     ...แล้วก็จบลงแล้วนะคะสำหรับ ผ้าม่านที่ใช้ในการออกแบบ...
     หลังจากที่ได้รับความรู้ตรงนี้ไปแล้ว รวมกับเรื่องราวของตอนที่แล้ว (ชนิดของการเย็บผ้าม่าน) ต่อไปนี้การเลือกผ้าม่านของเราก็คงไม่ใช่เรื่องยากที่อยากจะวิ่งหนีไปไกลๆ ถอยออกไปให้ห่างๆ อีกต่อไปแล้วใช่มั๊ยล่ะคะ :)
     แต่ว่าการตกแต่งเจ้าหน้าต่างของเราให้สวยงามเนี่ยก็ไม่ใช่ว่าต้องใช้ผ้าม่านซะร้อยทั้งร้อยหรอกนะคะ สำหรับใครที่ไม่ชอบใช้ผ้าม่านอาจจะเอาอะไรน่ารักๆ มาห้อยประดับไว้ หรือว่าจะเอาต้นไม้ต้นเล็กๆ น่ารักๆ มาวางเรียงกันก็ไม่ว่ากันค่ะ :)

     เป็นยังไงกันบ้างคะ ตอนนี้ทุกคนมีไอเดียที่จะตกแต่งหน้าต่างของตัวเองให้ดูมีสีสันมากขึ้นกันแล้วใช่มั๊ยคะ เราเองก็ชักจะไฟติดขึ้นมาแล้วล่ะค่ะ! เอ ถ้าอย่างนั้นก่อนอื่นเลย...
     ก็ต้องไป เอ่อ...ไปร้านขายผ้าม่านสินะ...โอ ไฟมอดลงไปครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว...แหม...ก็อากาศร้อนแรงแผดเผาแบบนี้ไม่อยากออกไปนอกบ้านเลยนี่นา -3- (//มารขี้เกียจในใจโผล่ขึ้นมากระซิบข้างๆ หูซ้าย...)
     แต่ว่าถ้าไม่ออกไปก็ไม่มีม่านมาบังแดดที่ส่องเข้ามาน่ะสิ (//นางฟ้าขยันรีบมาบอกข้างๆ หูขวา...)
     ...อื้ม อืม...อืม...
     ระหว่างที่กำลังใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง(?) เสียงบัญชาที่ขัดไม่ได้ก็ดังขึ้นมาพอดี...
     “นี่ ลูก...อยู่ว่างๆ ถ้าไม่ทำอะไรก็ออกไปซื้อของให้แม่หน่อยสิ” ท่านแม่ที่รักพูดพร้อมยื่นรายการของที่ฝากซื้อมาให้แบบไม่มีการเว้นช่วงให้ปฎิเสธ
     โอ้โห ของเยอะแบบนี้ต้องแวะเข้าห้างสถานเดียวค่ะ ( -_____-;;)
     แต่ไหนๆ ถ้าจะแวะไปห้างมันก็ต้องผ่านร้านขายผ้าม่านอยู่แล้วนะ
     ...อื้ม อืม...อืม...อืมมม...
     เฮ้อ~ โอเค...ไปร้านผ้าม่านก็ได้...