สวัสดีค่ะแฟนๆบาริโอที่น่ารักทุกท่าน เป็นอย่างไรกันบ้างคะ ได้มีโอกาสไปเที่ยวพักผ่อนที่ไหนกันบ้างรึเปล่า? ส่วนครั้งนี้สถานที่ที่สไปร์ทจะพาไปนั้น ต้องบอกเลยว่าไม่เน้นเที่ยว เน้นชิมอย่างเดียว 555 นั่นแน่เกิดความสงสัยกันแล้วสิคะว่าสไปร์ทจะพาไปไหน ไปชิมอะไร ถ้าอยากรู้เตรียมล้างท้องแล้วตามมาเลยจ้า...

      สถานที่ที่สไปร์ทจะพาไปครั้งนี้ก็คือเกาะเกร็ดค่ะ อาจจะต้องนั่งรถต่อเรือกันสักนิดนึง แต่เมื่อไปถึงแล้ว คุณจะพบกับของกินนานาชนิดแบบละลานตามาก แถมยังน่ากินไปซะทุกอย่างเลยค่ะ ทั้งของคาวของหวานเห็นแล้วต้องร้องอื้อหือกันเลยแต่ขนมที่สไปร์ทจะพาในชิมในครั้งนี้ เป็นขนมไทยโบราณที่หาทานยากมากๆ ในสมัยนี้ค่ะ หรือบางชนิดแทบจะไม่เคยได้ยินชื่อเลยด้วยซ้ำ ถ้าอย่างนั้นสไปร์ทขอถือโอกาสพาทำความรู้จักกับขนมไทยแต่ละชนิดเลยนะคะ ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไรบ้าง...

ประวัติและความสำคัญของขนมไทย

      สมัยสุโขทัย   ขนมไทยมีที่มาคู่กับชนชาติไทย จากประวัติศาสตร์ที่ติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ คือ จีนและอินเดียในสมัยสุโขทัย มีส่วนช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ด้านอาหารการกินร่วมไปด้วย

      สมัยอยุธยา  เริ่มมีการเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับต่างประเทศทั้งชาติตะวันออกและตะวันตก ไทยเรายิ่งรับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่างๆ มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นอยู่ เครื่องมือเครื่องใช้ วัตถุดิบที่หาได้ ตลอดจนนิสัยการบริโภคของคนไทยเอง จนบางทีคนรุ่นหลังแทบจะแยกไม่ออกเลยว่า อะไรคือขนมไทยแท้ๆ อะไรที่เรายืมเค้ามา เช่น ทองหยิบ ทองหยอดและฝอยทอง หลายท่านอาจคิดว่าเป็นของไทยแท้ๆ แต่ความจริงแล้วมีต้นกำเนิดจากประเทศโปรตุเกส โดย "มารี กีมาร์" หรือ "ท้าวทองกีบม้า" "ท้าวทองกีบม้า"หรือ "มารี กีมาร์" เกิดเมื่อ พ.ศ. 2201 หรือ พ.ศ. 2202 แต่บางแห่งก็ว่า พ.ศ. 2209 โดยยึดหลักจากการแต่งงานของเธอที่มีขึ้นในปี พ.ศ. 2225 และขณะนั้น มารี กีมาร์ มีอายุเพียง 16 ปี บิดาชื่อ "ฟานิก (Phanick)" เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นผสมแขกเบงกอล ผู้เคร่งศาสนา ส่วนมารดาชื่อ "อุรสุลา ยามาดา (Ursula Yamada)" ซึ่งมีเชื่อสายญี่ปุ่นผสมโปรตุเกส ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในอยุธยา ภายหลังจากพวกซามูไรชุดแรกจะเข้ามาเป็นทหารอาสา ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไม่นานนัก ชีวิตช่วงหนึ่งของ "ท้าวทองกีบม้า" ได้เข้าไปรับราชการในพระราชวังตำแหน่ง "หัวหน้าห้องเครื่องต้น" ดูแลเครื่องเงินเครื่องทองของหลวง เป็นหัวหน้าเก็บพระภูษาฉลองพระองค์ และเก็บผลไม้ของเสวย มีพนักงานอยู่ใต้บังคับบัญชาเป็นหญิงล้วน จำนวน 2,000 คน ซึ่งเธอก็ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ชื่นชม ยกย่อง มีเงินคืนทองพระคลังปีละมากๆ ระหว่างที่รับราชการนี่เอง มารี กีมาร์ ได้สอนการทำขนมหวานจำพวก ทองหยอด ทองหยิบ ฝอยทอง ทองพลุ ทองโปร่ง ขนมผิงและอื่นๆ ให้แก่ผู้ทำงานอยู่กับเธอและสาวๆ เหล่านั้น ได้นำมาถ่ายทอดต่อมายังแต่ละครอบครัวกระจายไปในหมู่คนไทยมาจนปัจจุบันนี้ ถึงแม้ว่า "มารี กีมาร์" หรือ "ท้าวทองกีบม้า" จะมีชาติกำเนิดเป็นชาวต่างชาติ แต่เธอก็เกิด เติบโต มีชีวิตอยูในเมืองไทยจวบจนหมดสิ้นอายุขัย นอกจากนั้น ยังได้ทิ้งสิ่งที่เธอค้นคิดให้เป็นมรดกตกทอดมาสู่คนรุ่นหลัง ได้กล่าวขวัญถึงด้วยความภาคภูมิ "ท้าวทองกีบม้า เจ้าตำรับอาหารไทย"

http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m6-4/no16-20-34/kanomthai/sec02p03.html

      หลังจากที่เราทราบประวัติของขนมไทยกันไปพอสังเขปแล้ว   ก็ถึงเวลาพาไปชิมขนมไทยอร่อยๆกันแล้วค่ะ  ขอบอกเลยว่าขนมแต่ละอย่างนั้นน่าทานมากๆ งานนี้ต้องมีติดไม้ติดมือกลับไปชิมที่บ้านแน่นอนค่ะ

      ขนมไข่ปลา  เป็นขนมไทยพื้นบ้านในจังหวัดที่มีการปลูกต้นตาลค่ะ จุดเด่นของขนมคือ รูปทรงขนมที่มีเอกลักษณ์ มีกลิ่นหอมของเนื้อตาลประกอบกับความเหนียวนุ่ม หวาน มัน เค็ม กำลังดี ขนมไข่ปลาจึงอร่อยติดลิ้นของผู้ที่ลิ้มลองได้ไม่ยาก ขั้นตอนในการทำขนมนั้นก็ง่ายไม่ยุ่งยาก แต่ปัจจุบันกลับพบว่าขนมไข่ปลามีให้ซื้อรับประทานเพียงไม่กี่เจ้าเท่านั้นค่ะ ขนมไข่ปลา เหมาะสำหรับทำเลี้ยงรับรองแขก ใช้เป็นขนมถวายพระในงานบุญ หรือทำเป็นอาชีพก็ได้ นับเป็นอีกหนึ่งขนมไทยพื้นบ้านที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียวเลยค่ะ

      ขนมช่อม่วง  จัดได้ว่าเป็นอาหารว่างของคนไทยมาแต่โบราณ เป็นอาหารว่างที่ต้องใช้ความประณีต ในการจับจีบตัวแป้งหลังการห่อหุ้มไส้ด้วยแหนบทองเหลือง ให้มีลักษณะเป็นรูปดอกไม้ อาหารว่างชนิดนี้จึงมีลักษณะอ่อนหวาน นุ่มนวล แฝงไปด้วยความมีศิลปะของอาหารว่างไทยชาววัง ยิ่งรสชาติของไส้ที่มีเนื้อสัตว์ เช่น หมู กุ้ง ไก่ เป็นต้น มาผัดรวมกับรากผักชี กระเทียม พริกไทย ทำให้ช่อม่วง เป็นอาหารว่างไทยที่มีเอกลักษณ์ครบถ้วน และควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้ค่ะ

      เสน่ห์จันทร์  จันทน์ เป็น ต้นไม้ชนิดหนึ่ง มีผลสุกสีเหลืองเปล่งปลั่ง ทั้งสวยงามและมีกลิ่นหอมชวนให้หลงใหล คนโบราณจึงนำความมีเสน่ห์ของผลจันทน์มาประยุกต์ทำเป็นขนม และได้นำ "ผลจันทน์ป่น" มาเป็นส่วนผสม ทำให้มีกลิ่นหอมเหมือนผลจันทน์ ให้ชื่อว่า "ขนมเสน่ห์จันทน์" โดยเชื่อว่า คำว่าเสน่ห์จันทน์เป็นคำที่มีสิริมงคล จะทำให้มีเสน่ห์คนรักคนหลงดังเสน่ห์ของผลจันทน์ ขนมเสน่ห์จันทน์จึงถูกนำมาใช้ประกอบในงานพิธีมงคลสมรสค่ะ

      ทองเอก  ขนมไทยโบราณอีกหนึ่งตัวที่ปัจจุบันหาทานได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากใช้ระยะเวลาในการทำมาก โดยส่วนผสมหลักของขนมชนิดนี้จะมีแป้งสาลี ไข่แดง น้ำตาลและกะทิ นำมากวนจนข้น และอัดใส่ในแม่พิมพ์ ในบางครั้งจะมีการประดับทองคำเปลวที่ทานได้ลงไปด้วยค่ะ

      จ่ามงกุฎ  อีกหนึ่งขนมไทยที่ปัจจุบันหาทานได้ยาก เนื่องจากขั้นตอนและการทำที่ใช้เวลานาน โดยส่วนผสมหลักของตัวขนม จะคล้ายๆ ขนมทองเอก ซึ่งประกอบไปด้วย แป้งสาลี ไข่ไก่ น้ำตาลและกะทิ แล้วตกแต่งด้วยเม็ดแตงโมที่ชุบน้ำตาลโดยรอบให้เป็นรูปมงกุฏ ในบางครั้งจะมีการประดับทองคำเปลวที่ทานได้ลงไปด้วย ในสมับโบราณจัดเป็นขนมมงคลและนิยมจัดเป็นเครื่องเสวยในราชสำนักค่ะ

      ขนมลืมกลืน  ขนมไทยที่ทำจากแป้งถั่วเขียวหรือแป้งสลิ่ม ผสมน้ำลอยดอกไม้และน้ำตาล นำไปกวนจนใส หยอดหน้าด้วยกะทิ รสชาติหวานหอม มันๆ เค็มๆ จากตัวกะทิ ทานอร่อยจนทำให้ลืมกลืนตามชื่อขนมไปเลยล่ะค่ะ

      ขนมสัมปันนีหรือสัมปะนี  เป็นขนมไทยโบราณ จัดว่าเป็นขนมมงคลที่นิยมใช้ในพิธีแต่งงาน มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่รัชสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ส่วนประกอบก็จะมี แป้งสาลีเอนกประสงค์ กะทิข้น น้ำตาลทราย เกลือป่น และสีผสมอาหารค่ะ

     ขนมกุหลาบชาววัง  เป็นขนมไทยแต่โบราณมีรสชาดที่  หอม หวานด้วยส่วนผสมหลักคือ แป้ง กะทิ น้ำตาลและทำออกมาอย่างประณีตสวยงาม ดั่งเช่นกุหลาบจริงเลยค่ะ ขนมชนิดนี้เหมาะสำหรับใช้งานพิธีมงคลเช่น งานแต่ง เป็นต้นค่ะ

      เกสรชมพู่  เมื่อได้มองครั้งแรกอาจจะคิดว่าขนมชนิดนี้คือ “ข้าวเหนียวแก้ว” แต่ถ้าพิศมองให้ดีจะเห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน เพราะมีลักษณะแข็งกระด้างของข้าวเหนียว ส่วนเกสรชมพู่จะดูนุ่มนวล อ่อนโยน ที่ทำจากมะพร้าวขูดขาว ผัดกับน้ำและน้ำตาลทราย ใส่วุ้นกวนให้เข้ากันใส่สีชมพูแก่ แล้วตักใส่ถ้วย เรื่องรสชาติเกสรชมพู่จะมีความมัน ความหอมของมะพร้าว และมีความหวานเป็นเอกลักษณ์

      ขนมเปียกปูนดำ นับว่าเป็นขนมไทยโบราณที่หารับประทานได้ยาก เพราะเนื่องจากสีของขนม และกรรมวิธีการทำในบางขั้นตอน จึงไม่เป็นที่นิยมในการทำ เราจึงเห็นขนมเปียกปูนเขียว(เปียกปูนใบเตย)มากกว่า เนื่องจากสีดำที่ใช้ ต้องนำกาบมะพร้าวเผาไฟ และแช่น้ำ แล้วขูดด้วยกระชอนตาละเอียด ให้เป็นผงจึงนำมาใช้ได้ ข้อดีของการใช้กาบมะพร้าวเผา ทำให้สีขนมเงา สวย จับตัวเป็นก้อนได้เร็ว และ มีประโยชน์ในเรื่องของลำไส้ ตำรับนี้ มีรสชาติ หวานกำลังดี หอมกะทิ เนื้อเหนียว นุ่ม เป็นเงาสวยงาม

      เป็นอย่างไรกันบ้างคะ มีขนมชนิดไหนถูกใจแฟนๆบาริโอบ้างมั้ยคะ  ส่วนตัวสไปร์ทเองไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะ ได้ติดไม้ติดมือมาเพียบ แถมยังได้ซื้อกลับไปฝากพี่ๆที่ออฟฟิตอีกด้วย ขอบอกเลยว่าของกินที่นี่นั้นถูกมากๆค่ะ อย่างขนมที่สไปร์ทได้นำเสนอไปนั้นราคาชิ้นละ 4 – 8 บาทเท่านั้นเองค่ะ แถมรสชาดก็อร่อยมากเช่นกัน  ถึงแม้วันที่สไปร์ทไปนั้นอากาศจะร้อนไปสักนิด แต่เพื่อของกินอร่อยๆแล้ว ไม่ผิดหวังเลยค่ะ คุ้มมากกก

    สุดท้ายก็ต้องถึงเวลาจากกันไปอีกแล้ว แต่อย่าลืมนะคะ หากใครกำลังมองหาสถานที่เที่ยวหาของกินอร่อยๆย่านชานเมือง  ต้องที่เกาะเกร็ดเลยค่ะ  ส่วนครั้งหน้าสไปร์ทแซ่บซ่า จะพาไปซิ่งที่ไหนต้องคอยติดตามนะคะ บ๊ายบายย

www.foodtravel.tv
travel.truelife.com
thai-sweets.blogspot.com
teen.mthai.com
www.nooknick1.thmy.com
student.kn.ac.th
www.pooyingnaka.com