จากเมือง Pienza พวกเราก็ได้ขับรถย้อนขึ้นเหนือเพื่อไปสู่เมืองท่องเที่ยวที่ได้รับการยกย่องว่าน่ารักที่สุดของ Tuscany นั่นคือเมือง San Gimignano..

เมือง San Gimignano เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนยอดเขา และไม่มีรถไฟไปถึง ทางที่จะไปได้คือทางรถยนต์เท่านั้น พวกเราไปถึงก็ประสบปัญหาอย่างที่หนังสือท่องเที่ยวได้เตือนไว้แล้ว นั่นคือ ปัญหาการขาดแคลนที่จอดรถ..

เมือง San Gimignano เป็นเมืองเก่าและมีกำแพงล้อมรอบ จึงไม่อนุญาตให้คนแปลกหน้านำรถเข้าไปจอดภายในตัวเมือง (ขับเข้าไปได้ แต่ต้องรีบออกมา) โดยผู้ที่มีที่พักในตัวเมืองเก่าเท่านั้น จึงจะสามารถจอดรถค้างคืนได้..

พวกเราวนหาที่จอดรถอยู่เกือบชั่วโมง ในที่สุดจึงตัดสินใจโทร.หาเจ้าของที่พักให้ช่วยจัดการให้ ซึ่งเจ้าของโรงแรมของเราก็ดีจริงๆ เพราะขับลงมาพาเราไปหาที่จอดรถส่วนตัว Private Parking โดยเสียค่าจอดถูกมาก (ของที่โน่น) คือ 5 ยูโรต่อคืน หรือประมาณ 250 บาท

แล้วเธอก็ขับรถพาเรากลับเข้าไปในโรงแรมอีกครั้ง..

แต่เนื่องจากเราเสียเวลากับการหาที่จอดนาน เลยอดขึ้นหอคอยไปถ่ายภาพด้านบน ที่เค้าว่ากันว่าเป็นมุมคลาสิคของเมืองนี้อย่างน่าเสียดาย...

แต่พวกเราก็ได้ชดเชยโดยการไปเดินเล่นชมเมืองจนได้เวลาอาหารค่ำ..

ซึ่งต้องขอแนะนำว่า หากใครมีโอกาสได้ไปแวะที่เมืองนี้ ต้องออกมาหาอาหารทานที่นอกกำแพงเมือง เพราะมีร้านสเต็คเล็กๆ อยู่ร้านหนึ่งที่อร่อยมากๆๆๆๆๆๆๆ..

ร้านเล็กนิดเดียว โต๊ะก็คับแคบ คนก็เยอะ แต่อร่อยลิ้นมาก แนะนำสเต็คกับซอสทรัฟเฟิล..ทานกับไวน์ของ Chianti ที่ body ไม่หนักมากนัก เพลินจนมึน...

กว่าจะรู้ตัว ก็เดินเซออกจากร้านซะแล้ว..

ภาพถ่ายช่วงนี้ เป็นภาพที่ถ่ายในช่วงที่มึนๆ เลยโดนลูกๆ อำซะ...

เราเดินกันจนร้านต่างๆ ปิดกันไปเกือบหมด แต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวที่กระจายกันอยู่ตามร้านอาหารต่างๆ อยู่พอสมควร..

เลยไปถ่ายภาพ Window Display ของร้านที่เราตั้งใจจะแวะเยี่ยมในตอนเช้าซะหน่อย..

หลังจากที่ปล่อยให้ลูกๆ ลากไปๆมาๆ ซะรอบเมือง ก็ได้เวลาขึ้นนอนครับ..

เช้าวันต่อมา ที่พวกเราตั้งใจจะไปเก็บภาพในเมือง (อุตสาห์ตื่นตั้งแต่ 6 โมง) แต่ฝนเจ้ากรรมดันตกลงมาซะได้ เลยต้องนั่งรอ นอนรออยู่ในห้องพัก แต่ฝนที่โน่น ถ้าตกปรอยๆ แล้ว เป็นอันว่าตกนานนนนนนนน..

สุดท้าย เลยไม่ได้ออกไปไหน เพราะพวกเรามีโปรแกรมที่จะไปแวะเยี่ยมชมที่อื่นๆ อีก คณะของเราจึงต้องตัดใจจากเมืองที่น่ารักแห่งนี้ไปอย่างน่าเสียดาย..

หอเอนแห่งเมือง Pisa เป็นหนึ่งในสถาปัตยกรรมที่มีความพิเศษไม่เหมือนใคร คือมันเอนออกจากแนวดิ่งถึง 5.9 เมตร โดยที่ไม่ล้มลงมา (จัดเป็นความผิดพลาดที่พิเศษ คือเอียงแต่ไม่ล้ม..ว่ากันอย่างนั้น)

สำหรับหอเอนนี้ มีอาคารที่เกี่ยวข้องตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันอีกสามอาคาร คือ ด้านหน้าสุดเป็น Baptistery อาคารหลังกลางเป็น Cathedral จากนั้นก็เป็นตัวของหอเอน ซึ่งเป็น Campanile และสุดท้ายเป็นอาคารในแนวนอนที่อยู่ด้านหลัง เป็นสุสานครับผม..

บริเวณหอเอน ก็จะมีร้านขายของที่ระลึกซะเยอะ แต่มีรถจักรยานถีบให้เช่าด้วย แต่นำมาประกอบเป็นรถ มีทั้งแบบนั่งได้สองคน และสี่คน..สีสันสดใส..

จากเมือง Pisa เราก็มุ่งหน้าไปเมือง Lucca เมืองที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น The best of Small Town

พอถึงที่ Lucca เราก็เลยออกจากเมืองเพื่อไปหาที่พัก ซึ่งตั้งอยู่นอกเมือง.. Villa Volpi เป็นชื่อที่พัก ซึ่งตั้งอยู่บนเขา และมีทิวทัศน์ที่สวยงามสุดยอดจริงๆ
แถมที่พักของเรา เป็นแบบ Duplex..

ตอนนี้ เรามาถึงที่ Villa Volpi ที่เป็นที่พักสุดเริ่ดของเรา ภาพที่เห็นเป็นส่วนของอาคารใหม่ที่กำลังตกแต่ง..

มื้อค่ำนั้น พวกเราลืมกันไม่ลงทีเดียว เพราะ Villa Volpi เป็นภัตตาคารที่หรูหราที่สุดในเมือง Lucca มีสเต็คที่หนา นุ่ม อร่อยสุดขีด แถมมีไร่องุ่นเพื่อผลิตไวน์ของตนเองอีก..

(มารู้สึกตัว ตอนบัตรเครดิตเรียกมาเก็บเงินนี่แหละ..แหะ..แหะ..ซีดไปเลย..)

ตอนเช้า เรารีบตื่นมาเก็บภาพทิวทัศน์รอบๆ โรงแรมต่อ..

ถ้าใครมีโอกาสได้ไปแถวนั้น ลองพิจารณาที่พักที่นี่นะครับ..นี่คือหนึ่งในที่พักที่ผมประทับใจที่สุดแห่งหนึ่งเลยทีเดียว แถมราคาก็ไม่แพงกว่าห้องพักธรรมดาในเมืองด้วยซ้ำไป..

แล้วเราก็ได้เวลาลงเขา เพื่อเข้าไปในเมืองบ้าง..
เข้าเมืองซะที..แสงสวยด้วย..

ตอนเข้าเมือง Lucca เจ้า Garmin พาพวกเราตรงดิ่งเข้าตลาด ทั้งๆ ที่เป็นถนนคนเดิน เล่นเอาชาวเมืองขำกันเป็นแถว..

สุดท้ายต้องเอารถไปจอดตรงที่จอดรถตรงหัวมุมของเมือง แล้วรีบเดินไปเที่ยว..

โบสถ์ San Frediano สร้างในศตวรรษที่ 6 โดย Bishop ชาวไอริช ซึ่งปัจจุบันได้เป็น Saint of Lucca..