หลังจากช่วงเวลาแห่งความสุขกับการเก็บภาพ พร้อมมิตรภาพต่างภาษาแล้ว พวกเราก็ออกเดินทางไปยังเมืองท่องเที่ยวอีกแห่งที่ได้เกริ่นไว้ตั้งแต่ต้น นั่นคือ Ninh Binh ซึ่ง ณ ที่นั่น พวกเราได้แวะทานอาหารเที่ยงกันในราวๆ บ่ายโมงที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่จอดรถไปด้วยในตัว เสร็จแล้ว พวกเราจะต้องเดินต่อไปที่ท่าเรือที่อยู่ถัดไปอีกไม่ไกล เพื่อไปลงเรือแจวหัวตัดท้ายตัดที่ทำจากเหล็กขึ้นรูป และผมสังเกตุเห็นว่าเรือทุกลำจะติดป้ายทะเบียนด้วย เหมือนที่เราติดป้ายทะเบียนรถยนต์นั่นแหละครับ แต่ของเค้าติดเรือด้วย ไม่รู้ว่าจะมีการประมูลป้ายเอาเบอร์สวยๆเหมือนบ้านเราหรือเปล่า...อิอิ...

        Ninh Binh เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งของฮานอย เพราะมีลักษณะเป็นเขาหินปูนเช่นเดียวกับที่ฮาลองเบย์ แต่ดันผ่ามาตั้งอยู่ในนาข้าว ซึ่งน้ำก็ดูๆ แล้วไม่น่าจะลึกมากนัก ก็เลยได้บรรยากาศอีกแบบ ที่มีเขาหินปูนกับนาข้าวสีเขียวๆ (ไม่แน่ใจว่าเป็นข้าวพันธ์ไหน แต่คงไม่ใช่หอมมะลิแน่ๆ)

         สำหรับเรือที่ใช้โดยสาร จะเป็นเรือแจวเหล็กอย่างที่เล่าให้ฟัง โดยมีคนแจวหลักอยู่ท้ายเรือ ทำหน้าที่แจวไปด้วยและคัดท้ายเรือไปด้วย ในขณะที่ “ผู้ช่วย” ทำหน้าที่ช่วยแจว และสลับกับคนแจวหลัก หากว่าเหนื่อย นอกจากนี้ ผู้ช่วยนี้ยังมีหน้าที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือคอยขายของที่ระลึกให้กับนักท่องเที่ยว โดยขามาจะเป็นการพายมาเรื่อยๆ ทั้งสองคน แต่ขากลับ ผู้ช่วยนี่จะเน้นขายอย่างเดียว ขนาดขามา พายกันสองคนยังใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมง พอขากลับ พายกันคนเดียว ยิ่งช้าใหญ่ และถ้าคุณทนการเซ้าซี้ได้ตลอดชั่วโมงก็นับว่าเก่งมาก เพราะส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวจะต้องมาเสียเงินกันระหว่างขากลับนี่แหละครับ

        ส่วนที่ท่าเรือ ผมได้เก็บภาพสวยๆ ได้หลายภาพมาก ส่วนหนึ่งได้คัดมาลงไว้ ณ ที่นี้


 
 
 

ชีวิตชาวเรือ (Boat’s Life)

        ภาพนี้ ผมได้บรรจงจัดองค์ประกอบของภาพ ให้เห็นเส้นโค้งของท่าเรือ ที่แออัดไปด้วยเรือจ้าง ซึ่งมีชาวเรือคนหนึ่งกำลังมัดเชือกผูกเรืออยู่ ตามสูตรจุดตัดเก้าช่อง จนได้ภาพที่ผมพอใจมากที่สุดภาพหนึ่งครับ

 
 

At work
ภาพนี้ได้มาจากจุดที่ใกล้เคียงกับจุดที่แล้ว ผมเลยจัดองค์ประกอบแล้วจัดการเก็บภาพซะ...

   
 


ชายเคราขาว (White Beard)


        ภรรยาผมที่ต้องแยกไปนั่งเรืออีกลำ (เรือลำหนึ่งนั่งได้เพียงสองคน เราเลยต้องแยกกันชั่วคราว) ได้ตระโกนข้ามเรือมาว่าให้ผมช่วยถ่าย คนแจวเรือที่มีเคราสีขาวให้หน่อย ขณะนั้น ผมกำลังจะลงเรืออยู่พอดี เลยมองหา ปรากฏว่า คนเคราขาวมีอยู่เต็มไปหมด กว่าจะหาคนที่ต้องการเจอ ก็เลยฉุกละหุก ไม่ได้จัดองค์ประกอบหรือหามุมเลย เสียดายมาก



 
   
 


ตลาดน้ำ (
Floating Market)

        อันนี้ ดูเหมือนจะเป็นตลาดน้ำของเวียดนาม แต่คนยังไม่พลุกพล่านเท่า พอเรือของเราแจวไปเรื่อยๆ  ก็จะมีเรือมาคอยขายสินค้า ขายน้ำ ขายขนมอยู่เรื่อยๆ น่ารักมาก และที่ประทับใจที่สุด คือมีเรือลำหนึ่งมาคอยด้อมๆ มองๆ ที่เรือของเรา และถ่ายภาพพวกเราไว้ด้วย ซึ่งปรากฏในตอนหลังว่า เขาเป็นช่างภาพ และถามเราว่าจะถ่ายภาพหรือไม่ ผมก็เลยถามราคา เขาบอกกลับมาว่าราคาภาพละยี่สิบบาท (โดยประมาณ) คราวนี้ ผมเลยบอกว่างั้นเอามาเลยยี่สิบภาพ เป็นของเรือผมสิบภาพ และภรรยาผมอีกสิบภาพ เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก ซึ่งดูเหมือนช่างภาพคนนี้จะดีใจมาก แต่ดูเหมือนลูกสาวผมจะไม่ได้ยินการเจรจา พอช่างภาพไปถ่ายภาพแกไว้ แกก็จะหงุดหงิดและทำหน้างอๆ ใส่ ผมเลยมีภาพลูกสาวนั่งหน้างออยู่บนเรือ และมีแบ็คกราวน์เป็นภูเขาหินปูนของ Ninh binh

         พอถ่ายภาพครบยี่สิบภาพ ช่างภาพคนนั้น ก็รีบกลับไปอัดภาพเพื่อรอพวกเราที่ท่า เมื่อผมกลับไปถึง แกก็นำภาพมายื่นให้ เป็นภาพที่สวยมาก เมื่อเทียบกับการถ่ายภาพด้วยกล้องฟิลม์ที่ไม่มีระบบออโตโฟกัส และยังยืนอยู่บนเรืออีกด้วย เราเลยแลกกันดูกล้อง สุดท้าย เขาก็ช่วยถ่ายภาพครอบครัวของเรา ด้วยกล้องประจำตัวของผมไว้ภาพหนึ่ง และได้มอบฟิลม์ของพวกเราขณะอยู่บนเรือไว้เป็นที่ระลึกด้วย

 

 
   
 


ตลาดบก (Land Market)


       มีตลาดน้ำแล้วก็ต้องมีตลาดบก พอรถออกจากที่จอดรถได้นิดนึง ผมก็สังเกตุเห็นตลาดชาวบ้านที่กำลังซื้อขายกัน เลยขอให้คุณจีจอดรถ แล้วพวกเรารีบวิ่งลงไปเก็บภาพ ปรากฏว่าแทบทุกคนจะหยุดดูพวกเราซะหมด เลยไม่ค่อยจะได้ภาพการเจรจาซื้อขายที่ต้องการ ยิ่งไปกว่านั้น มีชายคนหนึ่งมาขอกล้องผมไป และช่วยถ่ายภาพแม่ค้าให้ ซึ่งได้ผลดีมาก เพราะทุกคนเต็มใจให้เขาถ่ายภาพเป็นอย่างดี

 

 
 

ชายคนหนึ่ง (One man Standing)

        ถัดจากตลาดบกไปอีกไม่ไกล พวกเราได้จอดรถอีกครั้ง แต่คราวนี้ เพื่อเก็บภาพฝูงเรือแจวที่จอดอยู่ริมแม่น้ำใต้สะพานที่เราข้ามไป ภาพนี้ ผมได้ขณะที่มีชายคนหนึ่งกำลังเดินกลับมา โดยตั้งใจจัดองค์ประกอบในแนวตั้ง เพื่อให้เกิดเป็นเส้นนำสายตาไปยังชายคนนั้น อย่างจงใจ

        พอตกดึก คุณจีได้พาผมและครอบครัวไปยังโรงละครหุ่นกระบอกน้ำ เพื่อชมการแสดงที่ลือชื่อของกรุงฮานอย โดยคุณจีไม่ได้ตามเข้าไปด้วย ปล่อยให้พวกเราเข้าไปกันตามลำพัง และที่หน้าประตู คนเฝ้าประตูได้บอกพวกเราในทำนองที่ว่า หากนำกล้องเข้าไปด้วย จะต้องเสียค่านำกล้องเข้าไปอีกคนละ 1 USD ซึ่งพวกเราก็ไม่ขัด เพียงแต่ขอทราบก่อนว่าที่นั่งของเราไกลมากมั้ย คุ้มที่จะเสียตังค์เพิ่มหรือไม่ เลยบอกให้เขาช่วยดูตั๋วให้หน่อย พอเขาดูเสร็จก็ปล่อยให้พวกเราเข้าไปได้เลย ไม่ได้พูดอะไรอีก ซึ่งก็เป็นที่รู้กันว่าที่นั่งต้องไกลมากแน่ๆ ตอนนั้น ผมก็รู้สึกเคืองๆ คุณจีอยู่พอสมควร ที่ไม่ยอมซื้อตั๋วที่ดีๆ ให้กับพวกเรา

 
 


        แต่กลายกลับเป็นว่า ที่นั่งของเรา แม้ว่าจะอยู่ด้านหลัง แต่ด้วยประสิทธิภาพของเลนส์ Nikkor 80-200 mm. ที่มีทางยาวโฟกัสถึง 200 มม. ก็ไม่ได้ทำให้ผมผิดหวัง เพราะได้ภาพที่น่าพอใจหลายต่อหลายรูปทีเดียว และที่ดีกว่านั้น คือที่นั่งตรงนั้น เป็นด้านหลัง ซึ่งหากดูไม่รู้เรื่องก็สามารถนอนหลับได้เลย ไม่เป็นการเสียมารยาทให้กับผู้ที่แสดงอยู่แต่อย่างใด (ลูกๆ ผมก็ได้หลับสบายจนจบการแสดง)

 
 

มโหรี (Vietnamese Orchestra)  

        จากเลนส์ซูมประสิทธิภาพสูง บวกด้วยที่นั่งที่ด้านหลังและสูงจากเวทีมาก ทำให้ผมได้ภาพที่ไม่ถูกใครบัง และยังได้อาศัยเบาะหน้าแทนขาตั้งกล้องในการบันทึกภาพนี้มา โดยหญิงสาวที่อยู่กลางภาพ เป็นตัวชูโรงของวงนี้ ที่ทำหน้าที่เล่นดนตรีของเวียดนามโบราณ

 


 
   
 

มังกรเล่นน้ำ (The Dragon)

        ชาวเวียดนามมักจะถือว่าตัวเองเป็นลูกหลานมังกร เช่นเดียวกับชาวจีน ซึ่งไม่แน่ว่าเป็นอิทธิพลที่ได้รับมาจากชนชาติจีนในสมัยที่ยึดครองเวียดนามอยู่ ก็เป็นได้ ภาพนี้ เป็นมังกรเล่นน้ำคู่กันท่ามกลางควันที่เป็น Effect ตลอดการแสดง

         จบการแสดงแล้ว พวกเราก็ออกมาขึ้นรถที่หน้าโรงละคร และคุณจีก็ได้รับพวกเรากลับไปพักผ่อนที่โรงแรม ก่อนที่วันต่อมา พวกเราจะได้อำลากรุงฮานอย โดยตระเวณรอบเมืองเป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็บ่ายหน้าไปที่สนามบินนอยไบ ซึ่งที่นั่น พวกเราก็ได้ร่ำลากับคุณจีและคนขับรถของเราพอสมควร ก่อนที่จะได้ขึ้นเครื่องบินเพื่อออกเดินทาง กลับกรุงเทพในที่สุด...

        ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านที่ได้ติดตามอ่านเรื่องของผมและครอบครัวจนจบ หวังว่าคงจะช่วยให้ท่านได้เห็นภาพของความสนุกของกรุงฮานอยได้บ้าง และคงจะใช้เป็นอีกแหล่งข้อมูลหนึ่งที่ใช้อ้างอิงเพื่อการเดินทางท่องเที่ยวรอบๆ กรุงฮานอยได้พอสมควรครับ... ขอบคุณอีกครั้งครับ...

   -Isyss-

 

 

Back 1 | 2    

 

 

 
Home | About Bareo | News & Events | Art of Design | Decor Guide | The Gallery | Living Young | Talk to Editor | Links
 
บริษัท บาริโอ จำกัด
50 ซอยบรมราชชนนี 4 ถนนบรมราชชนนี เขตบางพลัด กรุงเทพฯ 10700 Tel. 66 2881 8536-7 Fax. 66 2881 8538
house servic, decoration design home architect architecture interior design designer homeplan residential furniture family decorat building build planning cost news information structure arch drawing apartment idea bangkok develop foreman เฟอร์นิเจอร์ การซ่อมแซมบ้าน วัสดุแต่งบ้าน ห้องนอน ห้องรับแขก ห้องอาหาร ออกแบบ ตกแต่งภายใน ออกแบบตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์ บ้านสวย มัณฑนากร สถาปัตย์ ตกแต่ง บารีโอ บริการ ปรึกษา รับสั่งผลิตเฟอร์นิเจอร์ตามแบบ รับเหมาตกแต่ภายใน วรวุฒิ ธรรมกุลางกูร มยุรี ธรรมกุลางกูร