|
เช้าวันที่ 3
ใส่เสื้อมากี่ชั้น เป็นคำทักทายกันของวันนี้
ชุดส่วนตัว 1 ชั้น ลองจอน 1 เสื้อ 1 เสื้อกันหนาว 1 เท่านี้แหละ เดี๋ยวเอาเสือ wool ไปเผื่ออีกตัวพอมะ
อย่าลืมผ้าพันคอ และถุงมือ ถุงเท้าหนาๆ นะ เพราะลมแรง แล้วเดี๋ยวไม่ได้ออกไปเล่นหิมะ
คนพร้อม! อุปกรณ์พร้อม! ลุย!!
อ้อ.. เดี๋ยวซื้อ อ๊อกซิเจนไปด้วยละกัน เอาไปเผื่อ เท่านั้นแหละ เพราะคราวที่แล้วพี่ก็ไม่ได้ใช้ พี่ maya กำชับ
ซือจีบอกว่าก่อนหน้าที่เราจะมา 2 วันมีหิมะตกด้วย ขึ้นเขาวันนี้หิมะคงยังมีเยอะอยู่ค่ะ
ด่านแรกต้องเสียค่าเข้าคนละ 80 หยวน อันนี้ค่าเข้าอย่างเดียว ค่าขึ้นกระเช้าใหญ่คนละ 160 หยวน ส่วนกระเช้ากลางคนละ 80 หยวน ที่ขึ้นอยู่คนละที่กัน
ภูเขาหิมะมังกรหยกมี 3 ชั้น คือ หยุน ซาน ผิง เป็นชั้นที่ต่ำที่สุด ช่วงที่ไปยังไม่มีดอกไม้บาน ชั้นต่อมาเป็น เหมานิวผิง ภูเขาหิมะมังกรหยก กระเช้ากลาง เป็นลานจามรี ให้นักท่องเที่ยวสมารถขี่จามรีขึ้นเขาได้ ชั้นสูงสุดคือ ไป อวี้โหม่วผิง หรือ กราเซียพาร์ค จะมีลานหิมะ
วันนี้เราออกช้าแล้วถ้าไป เหมานิวผิง ภูเขาหิมะมังกรหยก กระเช้ากลาง ก่อนพอลงมาอาจจะไป อวี้โหม่วผิง หรือ กราเซียพาร์ค ภูเขาหิมะมังกรหยก กระเช้าใหญ่ ไม่ทัน ที่จริงต้องขึ้นกลางแล้วค่อยสูง เพราะอันสูงจะสวยที่สุด ถ้าขึ้น กราเซีนพาร์ค ก่อนที่อื่นๆ ก็จะไม่สวยแล้ว ได้ยินดังนั้นเสียงจึงเป็นเอกฉันท์ค่ะ เราขึ้นยอดเขาเลยล่ะกัน |
|
|
|
|
|
Cable Car (กระเช้า) ที่เราใช้เป็นยานพาหนะขึ้นสู่ กราเซียพาร์ค |
|
|
ซื้อตั๋วแล้วรอขึ้นรถบัสที่จะพาไปส่งขึ้นกระเช้า ระหว่างรอ พี่ maya มีเรื่องให้ลุ้นระทึกค่ะ ก็พี่เล่นลืมอาวุธคู่มือ กระเป๋ากล้อง วิ่งหากันอุตหลุด แล้วพี่ maya ก็กลับมาพร้อมรอยยิ้ม และกระเป๋าค่ะ ลืมวางไว้ตรงที่จะซื้อตั๋วค่ะ
รถบัสพาเราไปส่งตรงประตูทางขึ้นCable Car (กระเช้า)จากนั้นต้องต่อแถววนไป-มา 4-5 ขด ข้างทางมีประวัติของภูเขาหิมะมังกระหยกให้อ่านแก้เซ็ง ใครใคร่อ่านภาษาจีน อ่าน ใครใคร่อ่านภาษาอังกฤษ อ่าน ไม่ถนัดทั้งสองเลยใคร่ไม่อ่าน อิอิ แต่เอ..ทามมายมันง่วงขนาดนี้ สงสัยเพราะยาแก้หวัด กะเมื่อคืนนอนดึกแล้วตื่นเช้าด้วยละมั้ง ระหว่างนั้นแว่วเสียงพี่ Isyss กำกับมาว่าขึ้นเขาแล้วเราต้องค่อยๆ เดิน เดินช้า หายใจยาวๆ ลึก อย่าออกแรงเยอะ โอ๊ย..ง่วงตาจะปิดอยู่แล้ว
อวี้โหม่วผิง ยังไม่ใช่ยอดเขาที่สูงที่สุดของภูเขาหิมะมังกรหยกนี้ แต่เป็นจุดที่สูงที่สุดที่เราสารถขึ้นไปได้ กระเช้าส่งเราที่ความสูง อยู่สูงถึง ระดับความสูง 4,506 เมตร ต่อจากตรงนี้มีทางออกสู่ลานหิมะ และทางเดินไปสูงสุดที่สูงที่ของบริเวณนี้คือ 4,680 เมตร จากระดับน้ำทะเล ที่ลานมีรถเลื่อนให้นักท่องเที่ยวได้เล่น หรือใครใครปั้นตุ๊กตาหิมะก็ได้ตามสบาย
|
|
|
|
|
|
canteen ที่หลบหนาว และ ที่กินมาม่าแสนอร่อย |
|
|
ออกจาก Cable Car ยังไม่ได้เดินไปไหนน้องแบมก็บอกว่าจะอ้วก พี่ maya เลยพาไปห้องน้ำ แล้วพักอยู่ใน canteen ไม่ยอมออกมา ทีแรกยังสงสัยว่าวันนี้น้องงอแงจัง อีกแป๊ป กะลังเดินออกไปที่ลานหิมะ ทรายก็ฟุบแล้วบอกว่าไม่ไหวจะอ้วก ขอนั่งตรงนี้ละกัน เราก็รีบเปิดกระป๋องอ๊อกซิเจนส่งให้ หันไปอีกทีน้องบิ๊งกับพี่นุก ก็ขอด้วย อ้าวเป็นกันหมดเลยหรอ เหลือตากล้องอีก 4 หน่วย คือ พี่ Isyss พี่maya พี่ Pat และ เรา ยังคงเดินถ่ายรูปแบบเมามัน ไม่มีใครยอมใคร แต่ hana คงต้องยอมก่อนคนอื่น เพราะรู้สึกมึนๆ หัวเลยค่อยๆ เดินบ้าง คลานบ้าง แบบค่อยเป็นค่อยไป เดินได้ไม่ทั่ว ก็ขอพักบ้างกลัวเดี๋ยง
ภูเขาหิมะมังกรหยก เมื่อมองจากระยะไกลจะเห็นทิวเขามีลักษณะคล้ายมังกรเลื้อย แล้วพื้นสีขาวของหิมะที่ปกหลุมจะดูคล้ายหยกขาว ที่ดัดกับสีฟ้าของท้องฟ้า คล้ายมังกรขาวกำลังล่องลอยอยู่บนฟากฟ้า เขาแห่งนี้จึงได้ชื่อว่าภูเขาหิมะมังกรหยก อากาศไม่หนาวมกอย่างที่กลัวที่แรก แต่เหมือนอยู่ในตู้เย็นช่อง freeze ตลอดเวลา อาจเป็นเพราะแดดที่แรงมากๆ เลยช่วยให้อากาศไม่เย็นมาก พี่ Isyss บอกว่าวันนี้น่าจะประมาณ 15 องศา ไม่เชื่อหรอก ก็หิมะยังไม่ละลายเลยจะแค่ 15 ได้งัย แล้วเราใส่เสื้อตั้งกี่ชั้นถึงไม่หนาว
|
|
|
|
|
|
น้องทราย เดี้ยงตั้งแต่เท้ายังไม่แตะหิมะ |
|
|
บนยอดเขาสวยมากๆ สามารถมองลงมานอกจากเห็นเมืองลี่เจียงทั้งเมองแล้วยังเห็นทิวเขาโดยรอบอีกด้วย ยังมีชะง่อนและธารน้ำแข็งให้เห็นอีกด้วย
พี่ Isyss โบกมือไหวๆ ให้เข้าไปพักที่ canteen กินมาม่าต้มกันจะดีขึ้น เราเลยเข้าไปบ้าง มาม่าที่เราแอบเล็งไว้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ที่สนามบินคุนหมิงแล้ว มาม่าชามใหญ่มาก เกือบจะเรียกหม้อซะแล้ว เส้นจะคล้ายๆ อุด้งบ้านเรา มีหลายรสให้เลือก อ่านแบบมั่ว ๆ ก็ชี้เอารสไก่ เผ็ด (ระวังนิดหนึ่ง เพราะที่นี่เค้ากินเนื้อกันสารพัด แล้วเราก็ไม่กินเนื้อด้วย )กินแล้วโอ้โห อร่อยอย่าบอกใครเชียว (เวอร์ไปนิ๊ด) กินเส้นหมด ตามด้วยน้ำหมด อร่อย มิน่า เค้าถึงกันเป็นล่ำเป็นสัน
ท้องอิ่มแล้ว ออกไปเดินได้อีกรอบ แต่คนที่อยู่โยงใน canteen น่าจะเป็นทราย เพราะเกาะถังขยะตลอดเวลา ไม่ยอมปล่อย น่าสงสารจริงๆ อุตสาห์มาถึงยอดเขาหิมะมังกรหยก แล้วยังไม่ได้สัมผัสหิมะเลย น้องแบมหาย เรียกว่าเป็นเร็วหายเร็ว แล้วเดินออกไปสูดอากาศข้างนอกแป๊ปหนึ่งกลับมาพร้อมหิมะให้มือบอกว่า เอามาฝากน้าทราย เดี๋ยวจะไม่ได้จับหิมะ น่ารักจริงๆ สมกับเป็นหัวหน้าแก๊ง ดูแลลูกทีมตลอด
|
|
|
|
|
|
ระเบียงฟ้า |
|
|
ข้างล่างมีโชว์IMPRESSION โชว์อันยิ่งใหญ่ โดยผู้กำกับชื่อก้องโลก จาง อวี้ โหมว ได้เนรมิตให้ภูเขาหิมะมังกรหยกเป็นฉากหลัง และบริเวณทุ่งหญ้าเป็นเวทีการแสดง โดยใช้นักแสดงกว่า 600 ชีวิต แสง สี เสียง ตระการตา เล่าเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่ และชาวเผ่าต่างๆ ของเมืองลี่เจียง แต่เราไม่ได้ดู เพราะกว่าจะลงมาโชว์ก็ใกล้จบแล้ว
บ่ายสามโมง ได้เวลาอำลาภูเขาหิมะมังกรหยก ขาลงดูอ่อนเพลียทุกคน ระหว่างรอกระเช้าขาลง hana รู้สึกปวดหัวจี๊ด เหมือนหัวจะระเบิด สงสัยอากาศเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวเย็นแล้วตากแดดจัดด้วย เลยเป็นไข้ ถึงรถได้หยิบยาพาราใส่ปาก 2 เม็ด ทันที เฮ่อ..
ท่าทางต่ละคนเดี้ยงไปตามๆ กัน พี่ maya เลยเสนอว่าไปสบายๆ แวะถ่ายรูปตามรายทางแล้วกลับที่พักกันดีกว่า (เห็นด้วย) รถบัสมาส่งตรงที่รับขึ้นไป ซือจีมารอรับแล้วพาขับรถอ้ออมไปอีกด้าน แวะให้เข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตากัน เข้าแล้วต้องร้องโอ้โห ห้องน้ำสวยมาก แถมสะอาดมาก ถ้ามีการให้ดาวกับห้องน้ำที่นี่เอาไปเลย 5 ดวง
|
|
|
|
|
|
เก็บเครื่องเล่น คล้ายๆ รถเลื่อน รอบริการนักท่องเที่ยว |
|
|
ขึ้นรถได้พี่ isyss ก็เรียก พารา 2 เม็ด พร้อมกับเดินไปนอนอยู่หลังรถ โธ่.. ไอ้เราก็นึกว่าเป็นคนเดียว อาจเป็นเพราะเข้าใจ concept ของทีมเราว่าอยากได้ที่ที่ถ่ายภาพสวยๆ ไม่ต้องไปตามสถานที่ท่องเที่ยวก็ได้ ตรงไหนก็ได้ให้สวยละกัน ซือจีจึงพาเลียบลัดเลาะภูเขาหิมะมังกรหยก ได้วิวสวยๆ หลายมุมเชียวค่ะ แบบว่าตรงไหนสวยก็จะจ๊อด ..จอดๆๆ ลงไปเก็บภาพ เป็นเมืองที่สวยมากๆ หรืออาจเป็นเพราะ ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนของเมืองก็จะเห็น ภูเขาหิมะมังกรหยก ประทับตราสัญลักษณ์ตลอดเวลา แว่วเสียงจากพี่ maya ว่า วิวสวยเหมือนชานเมืองของอิตาลีเลย แม้ว่าปวดหัวววว แต่ hana ก็ บ่ยั่น เค้าแวะกันเราก็ลงไปถ่ายๆๆๆๆ
|
|
|
|
|
|
วิวสวยเหมือนชานเมืองของอิตาลีเลย |
|
|
ก่อนถึงที่พัก ซือจี บอกว่าทางบริษัทสั่งมาว่าให้พาไปนวดเท้าให้ได้ เค้าเลยขอให้เราแวะไปหน่อย จะมีคนมานวดเท้าพร้อมกับขายยา ไม่ต้องซื้อหรอก แต่ขอให้แวะไป เข้าไปในห้องมีเก้าอี้ยาวๆ เรียงกันแถวละ 6 ตัว 2 ข้าง มีกะละมังใส่น้ำร้อนๆ มาวาง แล้วก็มีคนมาพูดๆ อธิบายบอกว่า สรรพคุณต่าง คนนวดจะเชียร์ให้เราซื้อยา เราไม่สนจานอน คนนวดๆ ไป ไม่สนจานอน เพราะถึงตอนนี้อะไรก็ไม่สนทั้งนั้นปวดหัวมากหัวจะระเบิดอยู่แล้ว อยากนอน...
ถึงที่พัก 5 โมง เร็วกว่าทุกวัน แต่จากสภาพของแต่ละคน พี่ isyss จึงบอกว่าพัก แล้ว สัก 6 โมงค่อยออกไปกินข้าวกัน ทรายแบ่งยาไมเกรนให้กิน 1 เม็ด แล้วคลานขึ้นเตียง นอน..
|
|
|
|
|
|
ถ้าไม่บอก ไม่รู้นะนี่ว่าเป็นเมืองจีน |
|
|
กริ๊ง...
ไปกินข้าวได้แล้ว น้องแบม
ไม่ไปล่ะกัน เดี๋ยวหิวค่อยหาอะไรแถวนี้กิน
นอนต่อ ตื่นอีกทีจะ 2 ทุ่มอยู่แล้ว เดินออกมานั่งหมดแรงอยู่หน้าโรงแรม ที่หน้าโรงแรมมีการก่อกองไฟ และมีการเต้นน่าซี โดยมีคนเต้นนำ 4 คน ที่เหลือเป็นนักท่องเที่ยวที่พักบริเวณนี้มาเต้นด้วย เห็นว่าจะเต้นทุกวันตอน 2 ทุ่ม ถึง 3 ทุ่ม แต่เรากลับมาหลัง 4 ทุ่มทุกวันเลยไม่เห็น ดูเค้าเต้นแล้วน่าสนุกเชียว นี่ถ้าไม่ติดว่ายังปวดหัวอยู่ แล้วก็ไม่มีแรง จะเต้นด้วยนะนี่
พี่ Isyss ไปกินข้าวเดินกลับมามียามาฝาก ยาแคปซูลสีดำ และบอกว่าที่เราเป็น คือ อาการแพ้ความสูง (Attitude Sickness) ส่วนใหญ่ คนที่ขึ้นไปที่ความสูงเกินกว่า 2500 เมตร มักจะมีอาการแพ้ความสูง คือมีอาการปวดหัว หมดแรง บางครั้งก็อาเจียน อาการหายใจไม่ทัน เคยมีคนเสียชีวิตมาแล้ว อ้อ..ที่ง่วง+ปวดหัวตั้งแต่กลางวันก็เพราะสาเหตุนี้นี่เอง ซึ่งในหมู่พวกเราก็เป็นกันเกือบทุกคน เป็นมากเป็นน้อย ยกเว้นคนเดียวคือพี่ Pat
ถ้าไม่เป็นเองคงสงสัยว่าเป็นอย่างงัย ไอ้ โรคแพ้ความสูง นี่นะมีด้วยหรอ ไม่เคยได้ยินมาก่อน พระเจ้าลงโทษ ที่ไม่สนใจหาข้อมูลก่อนมา วันนี้แยกย้ายกันเร็ว เพราะแม้แต่ผู้นำอย่างพี่ maya ก็เดี้ยงเหมือนกัน...
-- Hana --
ปล. ท่องแดนภูเขาหิมะกำลังเข้มข้น ต่อภาคจบใน issue หน้านะคะ |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|